บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 274 ยามราตรีในอารามอวิ๋นเทา
ตอนที่ 274: ยามราตรีในอารามอวิ๋นเทา
ตอนที่ 274: ยามราตรีในอารามอวิ๋นเทา
ชายชราในชุดคลุมและพรรคพวกของเขาสังเกตเห็นซูอี้
ท่าทางของพวกเขาทั้งหมดเปลี่ยนเป็นระมัดระวังในทันใด
ค่ำคืนกำลังคืบคลานเข้ามา ส่วนลึกของภูผาเขาวัวนั้นอันตรายอย่างถึงที่สุด แล้วในเวลานี้ใครจะกล้าเข้ามาที่นี่คนเดียว?
ในสายตาของพวกเขา แม้ว่าซูอี้จะดูหนุ่ม แต่ความสามารถย่อมโดดเด่น เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนหนุ่มธรรมดาทั่วไป
“ระวัง” ชายชราในชุดคลุมกระซิบ
ชายสามคนและหญิงหนึ่งคนราวกับถูกแช่แข็ง
จนกระทั่งพวกเขาพบว่าซูอี้ไม่ได้สนใจพวกตนและเดินไปข้างหน้า ชายชราในชุดคลุมและคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
แต่ในเวลานี้ หญิงสาวผู้เดียวในหมู่พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “คุณชาย ในภูเขาข้างหน้านั่นมีพยัคฆ์เพลิงเขาทองอยู่ มันอันตรายมาก!”
น้ำเสียงที่เฉียบคมเอ่ยออกไป
ในที่ไกลออกไปภายใต้ความมืดมิดของค่ำคืน ซูอี้ตกใจที่แม่นางผู้นั้นมีจิตใจดีถึงเพียงนี้
เขาโบกมือให้โดยไม่หันกลับมา กล่าวว่า “ไม่เป็นไร”
เสียงยังคงลอยอยู่ แต่ร่างสูงของเขาค่อย ๆ เดินลับไป
“ศิษย์น้องเสี่ยวเหอ ชายผู้นั้นเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่มีภูมิหลังไม่ทราบที่มา เหตุใดเจ้าถึงต้องเตือนเขาด้วย?”
ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินขมวดคิ้วพลางตำหนิ
หญิงสาวผู้นั้นอายุยังไม่มาก ประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี พูดอย่างเขินอายว่า “ศิษย์พี่ ข้าเพียงแค่กังวลแทน…”
ชายชราในชุดคลุมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พอแล้ว เสี่ยวเหอไม่จำเป็นต้องอธิบาย สหายน้อยผู้นั้นก็ไม่ใช่คนเลวอะไรเสียหน่อย”
“อาจารย์ลุง นี่ก็ค่ำแล้ว อีกอย่างยังมีพยัคฆ์เพลิงเขาทองอยู่ข้างหน้านั่นอีก หากคิดพัก ณ อารามอวิ๋นเทา ข้าเกรงว่าอาจต้องใช้ทางอ้อมไป”
ชายหนุ่มชุดทองครุ่นคิดพลางเสนอ
“ไปทางอ้อมก็ไม่เสียหาย ไปกันเถอะ”
ชายชราในชุดคลุมกล่าวจบ เขาก็พาชายสามคนและหญิงหนึ่งคนเดินออกไป
สองชั่วยามต่อมา
ชายชราในชุดคลุมและพรรคพวกของเขาข้ามอ้อมภูผาเขาวัว มาถึงบริเวณที่ราบสูง แม้ว่าจะมีสันเขาเล็ก ๆ บ้าง แต่ก็ไม่เป็นอันตราย
“ท่านปู่ ข้างหน้าคืออารามอวิ๋นเทา มันถูกทิ้งร้างไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ไร้ผู้คน พวกเราจะอยู่ที่นั่นในคืนนี้และจากไปตอนรุ่งสาง”
ชายหนุ่มชุดทองชี้ไปที่เนินเขาเตี้ย ๆ ซึ่งไกลออกไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิตวิญญาณของทุกคนก็เบิกบาน
การมีที่ค้างคืนในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้นั้นหายากอย่างไม่ต้องสงสัย
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ชายชราในชุดคลุมเองก็ผ่อนคลายมากเช่นกัน
ครานี้เขาพาศิษย์ออกมาหาประสบการณ์ เดินผ่านภูเขารกร้างและผืนน้ำที่แห้งขอด ทำให้จิตใจของพวกเขาอยู่ในสภาวะตึงเครียดอยู่เสมอ
ทว่าการที่ต้องมาเผชิญกับพยัคฆ์เพลิงเขาทองอย่างก่อนหน้านี้ ถือเป็นเรื่องผิดพลาด จนทำเอาชายชราหมดแรงไปไม่น้อย
เวลานี้คงเป็นการดีที่สุดที่จะมีค่ำคืนที่ดี
ในไม่ช้า กลุ่มของพวกเขามาถึงเนินเขาเตี้ย ๆ และเห็นอารามที่ทรุดโทรม
เห็นได้ชัดว่าอารามแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี วัชพืชรก ผนังชำรุด ชายคาทรุดโทรม และประตูผุพัง ทำให้มันดูรกร้างมากขึ้นไปอีก
“เดี๋ยวก่อน… ดูเหมือนจะมีใครอยู่ในอารามอวิ๋นเทานั่น!”
ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินประหลาดใจ เมื่อชำเลืองมองเห็นว่าในโถงใหญ่ของอารามอวิ๋นเทา มีกองไฟกำลังโหมกระหน่ำ
…การที่มีแสงไฟเช่นนี้ในยามค่ำคืน ย่อมเป็นธรรมดาที่มันจะโดดเด่นสะดุดตา
“ระวัง”
ชายชราในชุดคลุมหรี่ตา เขาเดินเข้าไปก่อน
ทันทีที่ชายชราเข้าไปในโถงใหญ่ที่ทรุดโทรม เขาเห็นเก้าอี้หวายข้าง ๆ กองไฟ กับชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวนั่งเอนกายอย่างเกียจคร้าน สองตาหลับพริ้ม ราวกับว่ากำลังนอนหลับอยู่
ชายชราในชุดคลุมรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือชายหนุ่มที่เขาพบเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งมันทำให้เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ในเวลานี้ คนอื่น ๆ เองก็เห็นซูอี้เช่นกัน ก่อนที่หญิงสาวนามเสี่ยวเหอจะกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ที่แท้คือคุณชายผู้นั้น เจ้า… เจ้าไม่ได้พบพยัคฆ์เพลิงเขาทองนั่นหรือ? โชคดีจริง ๆ!”
ซูอี้ลืมตาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ควรจะบอกว่าสัตว์ร้ายตัวนั้นโชคดีถึงจะถูก”
หญิงสาวชะงักครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะเข้าใจความหมายของมัน และอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากหัวเราะ เห็นได้ชัดว่านางคิดว่าคำพูดของซูอี้เป็นเพียงเรื่องตลก
“คุณชาย พวกเราพบกันอีกแล้ว”
ชายชราในชุดคลุมประสานมือเข้าหากันไว้ที่หน้าอกเพื่อทักทาย “พวกเราจะพักอยู่ที่นี่ด้วยสักคืนหนึ่งได้หรือไม่? ”
ซูอี้ส่ายหัว พลางกล่าวว่า “ข้าแนะนำให้พวกเจ้าอยู่ห่างจากที่นี่เอาไว้”
ชายชรางุนงงเล็กน้อย
แต่กลับเป็นชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินที่ขมวดคิ้ว กล่าวอย่างไม่พอใจ “อารามอวิ๋นเทาแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาหลายปีแล้ว เป็นที่ไร้เจ้าของ ทว่าเหตุใดจึงมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถครอบครองสถานที่แห่งนี้ได้?”
ซูอี้ชำเลืองมองอีกฝ่าย ไร้ซึ่งแววโทสะ เพียงกล่าว “ถ้าในเวลาอื่น มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า แต่คืนนี้ต่างออกไป มันอันตรายเกินไปสำหรับพวกเจ้าที่จะอยู่ที่นี่”
ชายหนุ่มชุดน้ำเงินเย้ยหยัน “อันตราย? อันตรายกว่าการเจอพยัคฆ์เพลิงเขาทองรึ?”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อ คิดว่านี่เป็นข้ออ้างของซูอี้ที่จะผูกขาดสถานที่แห่งนี้เพียงคนเดียว
“ในเมื่ออันตราย เหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ที่แห่งในนี้กันเล่า?”
ชายหนุ่มที่สวมชุดสีทองพูดอย่างเย็นชา ไม่พอใจอย่างมากกับท่าทีของซูอี้
ซูอี้ส่ายหัว กล่าววาจา “ถ้าอยากอยู่ก็อยู่เถิด”
พูดจบก็หลับตาลง
คำพูดเช่นนั้นของซูอี้ถูกมองว่าเป็นการขี้ขลาด สายตาของชายหนุ่มชุดน้ำเงินจึงเปลี่ยนเป็นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามไม่น้อย
ชายชราในชุดคลุมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เนื่องจากเขาเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ จึงไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินเข้าไปข้างในพร้อมคนอื่น ๆ
เขานั่งลง และเริ่มทำสมาธิ
เหล่าชายสามหญิงหนึ่งจุดกองไฟ นำอาหารออกมาและเริ่มกินดื่ม
“คุณชาย อยากกินอะไรบ้างหรือไม่? ”
หญิงสาวนามเสี่ยวเหออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ก่อนที่ซูอี้จะได้ตอบ ชายหนุ่มชุดน้ำเงินก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ศิษย์น้องเสี่ยวเหอ เมื่อครู่ชายผู้นั้นตั้งท่าจะขับไล่พวกเราออกไป เจ้ายังคิดอยากแบ่งอาหารให้เขาอีกหรือ?”
คำพูดของเขาไม่ได้ปกปิดแม้แต่น้อย ราวกับเขาอยากให้ซูอี้ได้ยิน
หญิงสาวเสี่ยวเหอก้มหัวด้วยความรู้สึกอึดอัด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มในชุดสีทองที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถอนหายใจเบา ๆ “เสี่ยวเหอ เจ้ายังผ่านโลกมาไม่มากนัก เจ้าไม่รู้หรอกว่าจิตใจของผู้คนช่างเลวร้าย เจ้าควรจำไว้ว่าถ้าเจ้าพบกับคนแปลกหน้าเช่นนี้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในถิ่นทุรกันดาร จะต้องไม่ลดการป้องกันลง”
หญิงสาวเสี่ยวเหออดไม่ได้ที่จะกระซิบ “แต่ข้าไม่คิดว่าคุณชายผู้นี้จะเป็นคนเลว… ”
“รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินเยาะเย้ย “อย่างที่ชายผู้นั้นพูดเมื่อสักครู่ ที่นี่อันตรายมาก แต่ทำไมเขาถึงยังอยู่เล่า? อีกอย่าง ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกถึงอันตรายกัน?”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่อ “ถึงแม้ว่าจะอันตรายจริง แต่ด้วยระดับการฝึกฝนปรมาจารย์ขั้นสี่ของอาจารย์ลุง ท่านจะไม่สามารถปกป้องเราได้เชียวหรือ?”
ชายหนุ่มในชุดสีทองกล่าวเสริม “ศิษย์น้องหลี่กุ้ยพูดมากเกินไปแล้ว เจ้ากำลังโต้เถียงอะไรกับคนแปลกหน้าผู้นี้? ไม่เห็นหรือว่าทุกคนเงียบไปแล้ว?”
“นั่นเป็นความผิดของเขา”
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินที่ชื่อหลี่กุ้ยพ่นลมเย็นชา “อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่พูดถูก มันไม่คุ้มที่จะสนใจคนผู้นั้นจริง ๆ”
หญิงสาวเสี่ยวเหอลังเล รู้สึกว่าศิษย์พี่ทั้งสองคนดูเหมือนจะก้าวร้าวเกินไป
ในขณะนั้น นางก็เห็นว่าซูอี้ซึ่งเอนกายนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเงียบ ๆ พลันลืมตาขึ้นและมองออกไปข้างนอก
หญิงสาวจึงมองตามไปโดยไม่รู้ตัว
ในความมืดมิดของยามราตรี จู่ ๆ ก็มีลมกระโชกแรง หญ้าและต้นไม้สั่นไหว เช่นเดียวกับประตูห้องโถงใหญ่ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด
นัยน์ตาของเสี่ยวเหอสั่นไหว ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างผอมบางเข้ามาในโถงใหญ่!
คนผู้นี้สวมชุดดำ ผิวขาวซีด เบ้าตาลึกทว่ากลับไม่อาจกลบซ่อนนัยน์ตาอันเย็นชาและไม่แยแสคู่นั้นได้เลย
ขณะที่เขาปรากฏตัว ไอเย็นยะเยือกและกระหายเลือดอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ขยายออกไป ทำให้กองไฟในห้องโถงดูราวกับจะดับลง และอากาศก็คล้ายจะหยุดนิ่งชะงักงัน
เสี่ยวเหอสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่งดงามของนางเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุม
“นั่นใคร!?”
ชายชราในชุดคลุมที่กำลังนั่งสมาธิดีดตัวลุกขึ้น เมื่อเห็นชายชุดดำถนัดตา ทั้งตัวของเขาพลันนิ่งค้าง แผ่นหลังเย็นวาบ
บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์!!
ชายหนุ่มชุดน้ำเงิน ชายหนุ่มชุดทอง และคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ และทุกคนก็ลุกขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
ชายชุดดำผู้นี้คือใคร?
ทำไมเขาจึงน่ากลัวเช่นนี้?
และที่สำคัญ… คนผู้นี้มาทำอะไรที่นี่!!?
ความตื่นตระหนกที่อธิบายไม่ได้แผ่เข้าสู่ในหัวใจของชายหนุ่มชุดน้ำเงิน
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก ชายชราในชุดคลุมก็เอามือประกบกัน ณ กลางอกเพื่อทักทาย “ข้าเหวินฉงหยวน ผู้อาวุโสแห่งตำหนักฉางหนิง มาเดินท่องไปพร้อมกับเหล่าศิษย์ของข้าเพื่อหาประสบการณ์ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอันใด?”
เขาถามก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด
ทว่าสิ่งที่น่าอับอายคือชายในชุดคลุมสีดำดูเหมือนจะไม่สนใจเขาเลย
ตั้งแต่เข้ามาในโถงใหญ่ เขาเพียงเหลือบมองชายชราในชุดคลุมและคนอื่น ๆ ก่อนหันมองจ้องไปยังซูอี้ซึ่งนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย
หลังจากนั้น เขาเดินไปนั่งห่างไม่ไกลจากซูอี้ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายซู ให้ข้าแนะนำตัวเองสักหน่อย ข้ามีนามว่าซือถูกง มาที่นี่เพื่อรบกวนคุณชาย”
ลมหายใจของเขาอัดแน่นไปด้วยไอเย็นและความกระหายเลือด ทำให้รอยยิ้มบริเวณมุมปากดูน่าสะพรึงยิ่ง ผิดกับคำพูดของเขาที่สุภาพ จนผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
ทันทีที่ได้ยินนามของชายชุดดำ เหวินฉงหยวนก็พลันตกตะลึง หนังศีรษะชา และในที่สุดก็รู้ว่าชายชุดดำผู้นี้คือใคร!
หนึ่งในสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ‘ดาบอาบโลหิต’ ซือถูกง!
ชายชราที่เกษียณจากโลกหล้ามาหลายปี
เมื่อหลายปีก่อน เขาได้สังหารกองกำลังศัตรูจากต้าเว่ยนับหมื่นพันในสนามรบชายแดนด้วยดาบ สังหารแม้กระทั่งปรมาจารย์หลายร้อยคน และมีชื่อเสียงไปทั่วดินแดน
แม้แต่ในต้าเว่ย ก็ยังมีข่าวลือถึงการกระทำอันดุเดือดและนองเลือดของเขา!
เช่นเดียวกับในต้าโจว ที่ซือถูกงถูกนับเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามยิ่ง!
เหวินฉงหยวนไม่คาดคิดเลย ว่ายามค่ำคืนในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้… บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อย่างซือถูกงจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่
ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมา
เมื่อมองไปที่ซูอี้อีกครั้ง สายตาของเหวินฉงหยวนก็เปลี่ยนไป ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่งม ย่อมสามารถรู้ได้ว่าซือถูกงมาที่นี่เพื่อมาหาชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมเขียวผู้นี้!
ซูอี้ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างสบาย ๆ กล่าวว่า “คืนนี้เจ้าไม่ได้มาคนเดียวใช่หรือไม่?”
ซือถูกงยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “ดวงตาของคุณชายซูเปรียบเสมือนคบเพลิง ความจริงแล้วต่อหน้าบุคคลที่โดดเด่นอย่างคุณชายซู อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์คนอื่น ๆ ในต้าโจวก็ไม่มีใครกล้าละเลย ดังนั้นเมื่อข้ามาพบในครั้งนี้ ข้าจึงชวนสหายบางคนมาด้วย”
ซูอี้ส่ายหน้าเบา ๆ “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้สหายของเจ้าเข้ามาด้วยเล่า?”
ซือถูกงหัวเราะดังลั่นเสียจนโถงใหญ่สั่นไหว “คุณชายซูช่างกล้าหาญนัก ทว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนไป มาฟังความตั้งใจของข้าก่อนเป็นอย่างไร?”
ซูอี้หยิบน้ำเต้าออกมาจิบเล็กน้อย “ข้าไม่ชอบเรื่องไร้สาระ เจ้าควรพูดตรง ๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
คำพูดเหล่านี้ไม่แยแส ราวกับว่าเขาไม่เห็นตัวตนอันน่าสะพรึงของ ‘ดาบอาบเลือด’ ซือถูกงในสายตา ทำให้เหวินฉงหยวนตะลึงงัน
เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มชุดน้ำเงินและคนอื่นที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขาเองก็ตกตะลึงไปแล้วเช่นเดียวกัน