บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 278 วัดซ่างหลินแห่งอาณาจักรต้าฉิน
ตอนที่ 278: วัดซ่างหลินแห่งอาณาจักรต้าฉิน
ตอนที่ 278: วัดซ่างหลินแห่งอาณาจักรต้าฉิน
ซูอี้เปิดดูสิ่งที่ปักษาเวคินนำมาส่งให้ และเมื่อเห็นสมบัติในนั้น ชายหนุ่มก็อดที่จะตกใจไม่ได้
หินวิญญาณหลากสีสันกองอยู่ในนั้น ทั้งหมดเป็นหินระดับสี่จำนวนห้าสิบห้าชิ้น
โอสถวิญญาณสามสิบสามอย่าง เป็นระดับสี่ถึงยี่สิบชนิด และมีระดับห้าอีกแปดชนิด
นอกจากนี้ยังมีวัตถุวิญญาณล้ำค่าอีกกว่าสี่สิบอย่าง…
สมบัติทั้งหมดนี้มากพอที่จะทำให้บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อิจฉาตาร้อน
และนี่เป็นเพียงเก้าส่วนของสมบัติที่ได้รับจากหอสิบทิศ ซึ่งขายข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ของซูอี้ในครั้งนี้
หลังเห็นสิ่งของเหล่านี้… ก็เป็นไปได้มากทีเดียวว่าหอสิบทิศ ซึ่งมีชื่อเสียงในการรวบรวมและขายข่าวกรองในสามอาณาจักร ทั้งต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉิน ว่านี่เป็นวิธีสะสมเงินที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง!
นอกจากสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น ยังมีกระดาษอีกหนึ่งแผ่น
ในกระดาษเขียนไว้ว่า ‘จงระวังหลี่ตงหลิวแห่งสำนักดาบมังกรเร้น’
หลังจากอ่านแล้ว ซูอี้ก็ฉีกกระดาษเป็นชิ้น ๆ
หลี่ตงหลิว?
นี่เป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคย ระดับการฝึกบำเพ็ญ ต้นกำเนิด หรือตัวตนของเขา ซูอี้ไม่รู้อะไรเลย และเขาก็ไม่ได้สนใจนัก
มันเพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะจำไว้เพียงว่าหลี่ตงหลิวมาจากสำนักดาบมังกรเร้น
……
สองวันต่อมา วันที่แปดของเดือนสี่
ณ ห้องอาหารหลิงเยียน เมืองจินหลิว
ที่นั่งริมหน้าต่างบนชั้นสาม
“ในอาณาจักรต้าฉิน การเดินธุดงค์ในครานี้ของ ‘วัดซ่างหลิน’ จะไปที่ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาหรือไม่? ”
หนิงซือฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตรงข้ามกับนางคือหญิงสาวผู้มีใบหน้าบอบบางและสวยงามราวกับภาพวาด
หญิงสาวผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีเทา ผิวขาวราวหิมะ ผมยาวถูกปิ่นหยกสีขาวซีดม้วนขึ้นไป เผยให้เห็นคอระหงส์เรียวยาว ร่างกายของนางแผ่ความสูงส่งและเย็นชาออกมา กำลังนั่งสบาย ๆ แต่กลับกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
นางคือหลานซัวที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากซูอี้ จากพิษของ ‘ปีศาจวิญญาณเร้น’
หญิงสาวผู้นี้มาจากสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนแห่งอาณาจักรต้าฉิน
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องการไป แต่เมื่อสามวันก่อนพวกเขาไปที่ส่วนลึกของขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาแล้ว”
หลานซัวหยิบจดหมายลับออกมาแล้วยื่นให้หนิงซือฮวา “นี่คือข่าวที่ข้าได้รับเมื่อวานนี้ เจ้าดูก็จะรู้เอง”
หนิงซือฮวามองดูจดหมายลับ ภายในนั้นเขียนไว้ว่า
‘ในวันที่ 27 เดือนสาม ‘จี้เหอ’ หัวหน้าผู้อาวุโสอารามหลานฮั่นแห่งวัดซ่างหลิน ได้นำสมาชิกสิบแปดคนเดินทางร่วมกัน เพื่อนำ ‘รูปสลักแสงทอง’ ไปยังขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาในต้าโจว…’
เมื่อเห็นสิ่งนี้หนิงซือฮวาจึงถามว่า “หัวหน้าผู้อาวุโสอารามหลานฮั่น ‘จี้เหอ’ มีพลังระดับใด?”
“ยี่สิบปีที่แล้ว บุคคลผู้นี้ก้าวเข้าสู่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์และฝึกฝน ‘พระสูตรต้าโหลวพิชิตปีศาจ’ จนเชี่ยวชาญ ภูมิหลังของเขาน่ากลัวยิ่งนัก และบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ในดินแดนนี้ก็ไม่สามารถเทียบได้กับเขาเลย”
หลานซัวกระซิบ ดวงตาที่สวยงามของนางจับจ้องไปที่หนิงซือฮวา “ในความคิดของข้า แม้ว่าเจ้าจะเคลื่อนไหว แต่ข้าเกรงว่าคงเป็นการยากที่จะเอาชนะคนผู้นี้”
หนิงซือฮวาตะลึงไปครู่หนึ่ง พูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น จี้เหอคนนี้ก็เป็นบุคคลที่ต้องระวังให้ดี”
อาณาจักรต้าฉินมีกองกำลังหลักสามแห่ง ได้แก่ สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน วัดซ่างหลิน และวัดเสวียนเยว่
ภูมิหลังของกองกำลังทั้งสามนี้ยิ่งใหญ่กว่าสำนักดาบมังกรเร้นหลายเท่านัก
โดยเฉพาะ วัดซ่างหลินซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกฝนวิถีพุทธ’ ในอาณาจักรต้าฉิน แม้แต่ในราชวงศ์ก็ยังมีผู้ศรัทธาวัดซ่างหลินแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
แต่ตอนนี้จี้เหอหัวหน้าผู้อาวุโสอารามหลานฮั่นแห่งวัดซ่างหลินได้นำสมาชิกสิบแปดคนของอารามมาที่ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาด้วยกัน จึงเป็นการยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หนิงซือฮวาจึงถามอีกครั้ง “ที่แท้ พวกเขามาทำอะไรที่ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนากันแน่?”
“ข้าไม่รู้ แต่คงจะเหมือนกับเราที่มาแสวงหาโอกาส”
หลานซัวกล่าวเบา ๆ “ท้ายที่สุดแล้ว ในส่วนลึกของขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาก็มากไปด้วยความลึกลับสุดหยั่งถึง”
มีซากปรักหักพังของวัดมากมาย ซึ่งคาดว่าจะเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา นี่จึงย่อมดึงดูดความสนใจของวัดซ่างหลินที่เป็นสำนักศึกษาวิถีพุทธเป็นธรรมดา”
“เจ้าตำหนักหนิง คุณชายซูยังไม่มาหรือ?”
ในเวลานี้มู่ซีราชาสะกดขุนเขาขึ้นมาจากบันไดของห้องอาหาร แต่งกายด้วยชุดหยก สวมมงกุฎ ย่นคิ้วหนา สายตาเปล่งประกายจ้องมองไปยังคู่สนทนา
ขณะที่เขาพูด มู่ซีก็นั่งลงข้างหนิงซือฮวาและหลานซัวแล้ว
“ยัง”
หนิงซือฮวาส่ายหัว
มู่ซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ลดเสียงลง “ข้าเพิ่งสำรวจบริเวณโดยรอบขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนามา และยังไปสอบถามข่าวในเมือง ว่ากันว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้คนมากมายได้เดินทางเข้าไปยังส่วนลึกของขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังแปลก ๆ พวกนั้น!”
หนิงซือฮวาพูดด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับซากปรักหักพังนั่น?”
มู่ซีกล่าว “ยังไม่ชัดเจน”
ทั้งสามสนทนากันครู่หนึ่ง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากบริเวณบันได จากนั้นก็มีร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้น
ชุดสีเขียวราวกับหยก แต่ซีดราวกับฝุ่น
เขาคือซูอี้
“สหายเต๋า ในที่สุดท่านก็มา”
หนิงซือฮวายิ้ม และยืนขึ้นเพื่อทักทาย
ส่วนหลานซัว เมื่อนางเห็นซูอี้ ท่าทีของเจ้าตัวก็พลันกลายเป็นเขินอายและอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะรีบหลบตา
นางจะลืมไปได้อย่างไรว่าตนเองได้รับการช่วยเหลือจากชายผู้นี้ขณะตัวเกือบเปลือยเปล่า!
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่า จนถึงวันนี้นางก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่ดี
มู่ซีพูดด้วยความประหลาดใจ “คุณชายซู ไม่ได้เจอกันนาน ท่านเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสองแล้ว?”
หลังจากสิ้นคำ หนิงซือฮวาพลันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่ม อันเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความก้าวหน้าในการฝึกฝนของเขาอย่างชัดเจน
สิ่งนี้ทำให้นางประหลาดใจเช่นกัน
เพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่กลับสามารถทะลวงขึ้นไปอีกขั้น! หากคนทั้งโลกหล้าได้รับรู้ พวกเขาคงต้องตกตะลึงเป็นแน่!
“เพียงเรื่องเล็กจ้อยเท่านั้น ไม่ควรพูดถึง”
เมื่อซูอี้พูด สายตาของเขากวาดไปเจอหลานซัว “นางเองก็ต้องการไปที่ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาด้วยหรือ?”
แน่นอน เขาไม่มีทางลืมรูปร่างที่เกือบจะเปลือยเปล่าของหญิงสาวผู้นี้ที่มีที่สัดส่วนอันสวยงามและน่าทึ่งลงได้
หลานซัวลุกขึ้น สบตาซูอี้และกล่าวว่า “คุณชายไม่ยินดีหรือ?”
สีหน้าของนางเย็นชา รูปร่างได้สัดส่วนงดงาม หากแต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับเปี่ยมไปด้วยความสูงส่ง
หนิงซือฮวาที่อยู่ด้านข้างอธิบายว่า “คุณชายซู หลานซัวผู้นี้มาจากสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน และนางยัง… ”
ซูอี้ขัดขึ้นเล็กน้อย “ตราบใดที่ไม่เป็นภาระ”
หลานซัวตกตะลึง ความเย่อหยิ่งในกายของนางคล้ายถูกกระตุ้นจากคำว่า ‘ภาระ’ นางจึงได้กล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“คุณชายซูไม่ต้องกังวล หลานซัวผู้นี้สามารถดูแลตัวเองได้ ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความเย็นชา
ซูอี้ตอบรับหนึ่งคำโดยไม่สนใจร่องรอยของความไม่พอใจในน้ำเสียงของหญิงสาวผู้นี้ เขามองไปที่หนิงซือฮวาและมู่ซี ก่อนจะเอ่ยถาม “พวกเจ้าพร้อมหรือไม่?”
ทั้งสองพยักหน้า
“งั้นพวกเราไปกันเถิด”
ซูอี้ตัดสินใจทันที
……
ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาตั้งอยู่ห่างจากเมืองจินหลิวราวสิบลี้เห็นจะได้
ขุนเขาแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่แห่งความชั่วร้ายมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดและสัตว์อสูรอาศัยอยู่ พวกมันล้วนบ้าคลั่งและมีพิษ นอกจากนี้ยังมีวิญญาณชั่วร้ายจำนวนมากในนั้น ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดา แม้แต่ผู้ฝึกตนบำเพ็ญที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็ไม่กล้าเข้าไปลึก
เมื่อซูอี้และพรรคพวกของเขามาถึงที่ชายป่าขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา มันก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
สามารถเห็นท้องฟ้าเหนือขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนามีเมฆก้อนใหญ่ทึมทึบปกคลุม เพิ่มบรรยากาศที่น่าหดหู่ให้ภูเขาและแม่น้ำโดยรอบ
รับชมสิ่งนี้จากระยะไกล…
แววตาของซูอี้อดไม่ได้ที่จะสับสนเล็กน้อย พลังงานปีศาจพุ่งขึ้นไปบนท้องนภา แล้วกลั่นตัวไอชั่วร้ายจนกลายเป็นหมู่เมฆหนาทึบ…
สถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดจริง ๆ!
“สหายเต๋า หากไม่มีอุบัติเหตุใดระหว่างทาง ภายในครึ่งวัน พวกเราสามารถไปถึงซากปรักหักพังที่ว่าในส่วนลึกของขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาได้”
หนิงซือฮวากล่าวเบา ๆ “อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่เราได้รับ คราวนี้นอกจากพวกเราที่ไปสำรวจซากปรักหักพัง ก็ยังมีพวกหลวงจีนจากวัดซ่างหลินแห่งอาณาจักรต้าฉินด้วย”
“คนสำนักพุทธ?”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เป็นเช่นนั้น”
หนิงซือฮวารีบแบ่งปันข่าวของจี้เหอหัวหน้าผู้อาวุโสอารามหลานฮั่นแห่งวัดซ่างหลินแก่ซูอี้อย่างรวดเร็ว
“เข้าใจแล้ว”
ซูอี้พยักหน้า เมื่อคิดอีกเรื่องหนึ่งได้ ก็มองไปที่หลานซัวและกล่าวว่า “ในเมื่อแม่นางมาจากอาณาจักรต้าฉิน ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยได้ยินเรื่อง ‘สำนักเทียนอิ่น’ หรือไม่?”
ดวงตาที่สวยงามของหลานซัวหยุดนิ่งทันที ราวกับว่านางรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก และกล่าวว่า “ท่านรู้เกี่ยวกับขุมพลังกลุ่มนี้ได้อย่างไร?”
ซูอี้ไม่ได้ปิดบัง “เมื่อสองสามวันก่อน ข้าสังหารเสี้ยววิญญาณของผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณ ว่ากันว่าบุคคลนี้ชื่อ ‘ปราชญ์หลิวฮั่ว’ และนางมาจากสำนักเทียนอิ่น”
“ปราชญ์หลิวฮั่ว!?”
หลานซัวร้องออกมา ใบหน้าที่สวยงามและละเอียดอ่อนของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน เป็นไปได้อย่างไรที่จะสังหารร่างเสี้ยววิญญาณของปราชญ์หลิวฮั่ว?”
ซูอี้ไม่ตอบ แต่เมื่อดูปฏิกิริยาของหญิงสาว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้เกี่ยวกับปราชญ์หลิวฮั่วคนนี้ ซึ่งนี่ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย
ไม่ต้องสงสัย ดังที่หนิงซือฮวากล่าวในตอนต้น สถานะของหลานซัวนี้คงไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีโอกาสรู้เกี่ยวกับผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณเลย
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หนิงซือฮวาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หลานซัวเกิดอะไรขึ้นกัน? ปราชญ์หลิวฮั่วและสำนักเทียนอิ่น… เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย?”
หลานซัวสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งสติให้มั่นคงและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ข้าได้ยินผู้อาวุโสพูดถึง ว่าในอาณาจักรต้าฉิน มีคนลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ‘ปราชญ์หลิวฮั่ว’ ซึ่งอาจเป็นผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณจากอาณาจักรต้าเซี่ย”
หลังจากหยุดชั่วคราว นางก็กล่าวต่อ “ถึงอย่างนั้นข้าก็รู้เพียงสิ่งนี้ แต่ผู้อาวุโสของข้าเคยสั่งว่าในกรณีที่พบผู้ฝึกตนบำเพ็ญที่เรียกตัวเองว่า ‘สำนักเทียนอิ่น’ ให้หลบหนีซ่อนให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิฉะนั้นเกรงว่ามันจะทำให้เกิดปัญหาอันไม่คาดคิด”
“นี่…”
หนิงซือฮวาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
นางรู้ดีว่าหลานซัวมีเกียรติเพียงใดในอาณาจักรต้าฉิน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อพูดถึงสำนักเทียนอิ่นและปราชญ์หลิวฮั่ว อีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยความกลัวและรู้เรื่องนี้น้อยมาก!
มู่ซีเองก็แปลกใจเช่นกัน เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ถ้าเจ้าบอกว่าปราชญ์หลิวฮั่วเป็นผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณจากอาณาจักต้าเซี่ย เช่นนั้นก็หมายความว่าสำนักเทียนอิ่นน่าจะเป็นขุมพลังของอาณาจักรต้าเซี่ยใช่หรือไม่? ”
“มันควรจะเป็น… เช่นนั้น…”
หลานซัวไม่แน่ใจ นางมองไปที่ซูอี้ด้วยความประหลาดใจ
ชายผู้นี้ฆ่าเสี้ยววิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของปราชญ์หลิวฮั่ว!!
เก่งกล้าเกินไปหรือไม่?
เขาไม่กลัวที่จะตกเป็นเป้าหมายของมหาปราชญ์สวรรค์เลยอย่างนั้นหรือ?
ไม่เพียงแค่หลานซัว แต่หนิงซือฮวาและมู่ซีก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาไม่เคยคิดว่าซูอี้จะทำได้ถึงขนาดนี้
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้ไม่พูดอะไรมาก และตรงไปที่ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา
หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ จึงรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าร่างของพวกเขาก็หายไป
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
อสูรนกดุร้ายที่มีปีกสีขาวราวกับหิมะได้บินข้ามท้องฟ้าและร่อนลงบนที่ที่ซูอี้และคนอื่น ๆ อยู่ก่อนหน้า
ตามมาด้วย… คนสี่คนลงมาจากข้างบนหลังนกยักษ์นั่นทีละคน
โดยเป็นชายผู้สวมเสื้อคลุมยาวมีใบหน้าซีดเย็นเยียบราวกับก้อนหินก้าวลมมาคนแรก…
เขาคือหลี่ตงหลิวผู้อาวุโสของสำนักดาบมังกรเร้น!