บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 28 สำนักแพทย์ซิ่งหวง
ตอนที่ 28 : สำนักแพทย์ซิ่งหวง
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ชีวิตของซูอี้ค่อนข้างปกติดี
ช่วงเช้าตรู่จะไปยังป่าหม่อนริมแม่น้ำต้าฉางเพื่อบ่มเพาะ กลับเข้าเมืองช่วงกลางวันเพื่อซื้อสมุนไพร จากนั้นจึงกลับไปที่พักเพื่อต้มสมุนไพรใช้ขัดเกลาร่างกาย
เพียงสามวัน
หินดำผลึกวิญญาณขนาดเท่าเมล็ดงาทั้งสองจึงถูกดูดซับหมดสิ้น
การบ่มเพาะของซูอี้ เข้าสู่ขั้น ‘ขัดเกลาภายใน’ เต็มครบสิบส่วน!
ก้าวถัดไปจากนี้ คือการเริ่ม ‘ขัดเกลาเส้นเอ็น’
ความเร็วการบ่มเพาะนี้ กล่าวได้ว่าชวนสะพรึง มันรวดเร็วยิ่งกว่าที่ซูอี้คาดเดาไว้แต่เดิมถึงสิบวัน!
อย่างไรแล้ว เรื่องราวย่อมมีเหตุผล
เพราะอย่างไรเสีย สมุนไพรโอสถที่เขาใช้ในทุกวันมีค่าไม่น้อยกว่าหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง อีกทั้งหินดำผลึกวิญญาณที่ใช้บ่มเพาะยังหาได้ยากมาก ดังนั้นเมื่อรวมเข้ากับเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง มันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หากการบ่มเพาะจะไม่ก้าวหน้ารวดเร็ว
“เหลือเงินอีกเพียงสองพันตำลึง…”
ใต้ต้นพุทราที่ลานสวน ซูอี้นอนเกียจคร้านบนเก้าอี้หิน อาบไล้แสงตะวัน รับแสงที่เป็นประกายสาดส่องเล็ดลอดจากพุ่มพุทรา เป็นผลให้ดวงตาต้องหรี่เล็กลง
เขาเพิ่งบ่มเพาะอย่างสุดโต่ง ร่างกายจึงต้องการพัก
เพียงแค่สิบวัน ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงที่จื่อจิ่นมอบให้ กลับใช้ไปแล้วถึงแปดพันตำลึง เป็นเหตุให้ซูอี้ต้องเริ่มคิดหนทางการหาเงิน
“ช่างเถอะ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องหาเงินก็ต้องมีทางออก”
ซูอี้ยกมือขึ้น คว้าจับแก้วชาโสมที่วางไว้ข้างกายขึ้นมา และจิบมัน
ทันใดนี้เองที่ความอบอุ่นสดชื่นพลันเข้าสู่ร่างกายเขาผ่านลำคอ มันกระจายสู่ทั้งแขน ขา และกระดูกประหนึ่งคลื่นน้ำ เลือดในกายพลันเดือดพล่าน ร่างกายที่หมดเรี่ยวแรงกำลังฟื้นกลับคืนรวดเร็ว
เพียงชั่วครู่ อาการเหนื่อยล้าหายเป็นปลิดทิ้ง!
มันคือชาโอสถจากใบของโสมราชันเก้าใบ ซูอี้ยังเติมโป่งรากสน เถาวัลย์ข้ามราตรี รวมถึงสมุนไพรโอสถอื่น เป็นผลให้มันเปี่ยมด้วยพลังวิญญาณอันท่วมท้น
“นำใบมาทำชา รากมาทำน้ำแกง ลำต้นมาเคี้ยวสด โสมราชันเก้าใบเป็นแรงขับดันการบ่มเพาะของข้าได้หลายวันอยู่บ้าง” ซูอี้พึมพำกับตนเอง
โสมราชันเก้าใบคือสมุนไพรวิเศษระดับที่สอง สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมลมปราณ มันคือสมบัติชั้นเลิศในการช่วยบ่มเพาะ
“เรื่องตีดาบคงต้องพรุ่งนี้เช้า!”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาซูอี้ค่อยกระจ่างขึ้นมา
ชีวิตก่อนหน้านี้ของตัวเขาคือผู้เป็นเลิศในวิถีดาบ ดาบของเขาสามารถบดขยี้ดวงดาวบนฟากฟ้า ในเก้ามหาแดนดิน เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับเรียกขานเป็น ‘ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน’
ด้วยฐานะมือดาบผู้ไร้เทียมทาน จะปล่อยให้มือว่างเว้นจากดาบได้อย่างไร?
“นายน้อย แม่ยายของท่านเรียกท่านไปยังโถงหลัก เพื่อพูดคุยหารือบางเรื่องราว”
เสียงหญิงรับใช้พลันดังขึ้นจากภายนอกลานสวน
ซูอี้เกิดประหลาดใจ ทว่าก็รับคำ “ได้”
…
โถงหลัก
ขณะซูอี้มาถึง เหวินฉางไท่ผู้เป็นพ่อตาและฉินชิ่งผู้เป็นแม่ยาย ต่างก็นั่งที่โต๊ะอาหารอยู่ก่อนแล้ว
โต๊ะอาหารนั้นเต็มด้วยอาหารมื้อกลางวันที่ยังร้อนฉุย
“นั่งลงก่อนแล้วร่วมทาน” เหวินฉางไท่หันมองทางซูอี้ พร้อมกล่าวคำบอก
“เดี๋ยว!” ฉินชิ่งเผยท่าทีไม่พอใจมองเหวินฉางไท่
เหวินฉางไท่พลันชะงักปาก พร้อมก้มศีรษะลงทานต่อโดยเงียบงัน
ซูอี้ไม่คิดประหลาดใจ เหวินฉางไท่นั้นเป็น ‘ช้างเท้าหลัง’ เสมอ ใช้ชีวิตอยู่แค่กับความพึงพอใจเพียงเท่านี้ ไม่คิดจะมีปากมีเสียงกับใครทั้งสิ้นโดยเฉพาะกับภรรยาของตนเอง
ฉินชิ่งวางถ้วยและตะเกียบลงก่อนจะเอ่ยคำ “ซูอี้ เจ้าทราบหรือไม่ ว่าหลิงเจาได้เป็นศิษย์ตรงของรองเจ้าตำหนักเทียนหยวนแล้ว?”
ซูอี้พยักหน้าตอบ “ได้ยินมาบ้าง”
ช่วงวันที่สองหลังจบงานเลี้ยงวันเกิดนายหญิงเฒ่า ข่าวคราวนี้ได้ปรากฏออกมา เหวินหลิงเจาเป็นที่โปรดปรานของจู้กู่ชิงผู้เป็นรองเจ้าตำหนักเทียนหยวน ทั้งยังวางแผนรับนางเป็นศิษย์สายตรง
จู้กู่ชิงเป็นหนึ่งในยอดยุทธ์เพียงไม่กี่คนของเขตปกครองอวิ๋นเหอ ชื่อเสียงโด่งดัง สำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไปแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้มันเปรียบดั่งได้ขี่มังกรเทวะทะยานฟ้า
เหวินหลิงเจาได้เป็นที่โปรดปรานของปรมาจารย์ยอดยุทธ์ เป็นเรื่องที่ผู้คนตระกูลเหวินต่างยินดี
ยามข่าวคราวนี้ปรากฏทั่วทั้งเมืองกว่างหลิงพลันสั่นสะเทือน เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วจนไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าใดอุทานร้อง
แต่สำหรับซูอี้ มันก็เป็นเพียงเรื่องราวอันเล็กจ้อย
ก็เพียงแค่ศิษย์ผู้หนึ่งของผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมกำเนิด มีอะไรน่ายินดี?
ฉินชิ่งที่ยังคงเปี่ยมสุขยินดีกล่าวขึ้นต่อ “ถือเป็นเรื่องดีอันยิ่งใหญ่ของพวกเราตระกูลเหวิน เช้าวันนี้ ผู้นำตระกูลรับปากด้วยตนเอง ว่าจะมอบทองคำหนึ่งร้อยชั่งให้แก่ครอบครัวพวกเรา รวมทั้งไข่มุกสิบกล่อง ที่ดินเก้าแห่ง ทั้งยังมอบ ‘สำนักแพทย์ซิ่งหวง’ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวิหคเขียวในเมืองกว่างหลิง!”
กล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้านางทั้งกระจ่างและเจิดจ้า เป็นความภาคภูมิอันล้นพ้น
ช่วงไม่กี่วันนี้เป็นช่วงเวลาอันแสนสุขของฉินชิ่ง ไม่ว่าผู้ใดพบเจอนาง ก็มักจะกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยคำเยินยอไม่ขาด
แม้กระทั่งพบเจอนายหญิงเฒ่าและผู้นำตระกูล ทั้งสองยังมีท่าทีนับถือนางมากขึ้นอย่างเด่นชัด!
เรื่องนี้มันทำฉินชิ่งรู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
“ช่างเป็นเรื่องราวอันน่ายินดี” ซูอี้กล่าวคำราบเรียบ
ฉินชิ่งพลันระแวดระวังกล่าวคำออก “ของเหล่านั้นไม่ใช่ของเจ้า อย่าแม้เพียงคิด!”
ซูอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาขาดแคลนเงินก็จริง แต่เขามีวิธีหามามากมาย เหตุใดยังต้องละโมบด้วย?
ฉินชิ่งไม่ทราบว่าซูอี้คิดสิ่งใด ใบหน้าขาวนวลแปรเปลี่ยน สุดท้ายราวตัดสินใจบางอย่างได้จึงกล่าวคำขึ้น
“เจ้ามาเรือนของพวกเราก็ปีหนึ่งแล้ว ตลอดมาไม่เคยทำการใดที่เป็นประโยชน์ ดังนั้นข้าจึงคิดให้เจ้าช่วยดูแลกิจการ ‘สำนักแพทย์ซิ่งหวง’ เสียหน่อย!”
ซูอี้ชะงักงัน
แม้ถนนวิหคเขียวจะไม่ใช่แหล่งพลุกพล่านที่สุดของเมืองกว่างหลิง แต่มันก็ยังมีประชากรหนาแน่น เป็นสถานที่รวมของผู้คนที่ดำเนินชีวิต
สำนักแพทย์ซิ่งหวงตั้งอยู่บนถนนสายนี้ เปิดทำการยาวนานหลายปี เรื่องกิจการแทบไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
เรื่องนี้ทำให้ซูอี้เกิดสงสัย แม่ยายผู้ซึ่งตลอดมาปฏิเสธและเกลียดชังตัวเขา เหตุใดจึงใจดีถึงขั้นมอบผลประโยชน์ก้อนใหญ่เช่นนี้ให้?
ฉินชิ่งพบเห็นท่าทีแปลกประหลาดของลูกเขยจึงกล่าวคำย้ำเตือน “ข้าขอเตือน แม้ข้าให้เจ้าดูแลสำนักแพทย์ซิ่งหวง เจ้าก็ยังต้องจ่ายตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงแก่ข้าทุกเดือน หากน้อยกว่าจำนวนนี้ ก็จงอย่าได้กล่าวโทษที่ข้าโหดเหี้ยม!”
ซูอี้พลันได้ตระหนัก เป็นเช่นนั้นนี่เอง นี่สิถึงเป็นแม่ยายที่เขารู้จัก เป็นไปไม่ได้ที่นางจะส่งมอบผลประโยชน์โดยบุ่มบ่าม
“หนึ่งพันตำลึงต่อหนึ่งเดือน?” เหวินฉางไท่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำ
ฉินชิ่งกล่าวอย่างภาคภูมิ “ข้าอยู่โยงทั้งคืน สุดท้ายค่อยไล่เรียงบัญชีของสำนักแพทย์ซิ่งหวงได้ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นตอนนี้ สำนักแพทย์ซิ่งหวงอย่างดีก็มีรายได้เดือนละหนึ่งพันตำลึง มากที่สุดก็ไม่เกินสามพันตำลึง!”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นกับการคิดคำนวณของแม่ยายตนเอง นี่มันหมายความว่าให้ตัวเขาทำงานหนัก โดยที่ตัวเขาอาจไม่ได้รับประโยชน์อันใดเลยไม่ใช่หรือ…
นี่มันเรื่องราวใดกัน?
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้ซึ่งแข็งแกร่งหาผู้ใดเปรียบในเก้ามหาแดนดินเมื่อชีวิตก่อนหน้า ขณะนี้หวนคืนเกิดใหม่มาเพื่อให้แม่ยายเอารัดเอาเปรียบงั้นหรือ?
“แล้วหากซูอี้หาตั๋วเงินได้ไม่มากพอหนึ่งพันตำลึงต่อเดือนล่ะ?” เหวินฉางไท่เอ่ยคำถาม
ฉินชิ่งพ่นลมหายใจก่อนจะกล่าวคำออกมา “ข้าไม่ใช่คนโหดเหี้ยม ผู้สกุลซูย่อมสามารถติดหนี้ค้างไว้ก่อนได้สามเดือนจากนั้นค่อยชำระให้ครบถ้วน!”
หลังเงียบงันไปครู่ นางจึงกล่าวคำเชื่องช้า “แต่ในกรณีเช่นนั้น อาจจำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยสักจำนวนหนึ่ง ยิ่งติดค้างเท่าใด ดอกเบี้ยก็ยิ่งมากเท่านั้น หากไม่จ่ายกลับคืนภายในสามเดือน ถึงเวลา เงินที่ติดค้างพร้อมดอกเบี้ยจะเท่าทวีสะสม และทบต้นทบดอกเช่นนั้นต่อไป”
ได้ยินถ้อยคำ คนสัตย์ซื่อเช่นเหวินฉางไท่อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก กระทั่งนึกเวทนาต่อซูอี้
ฉินชิ่งจิบน้ำชาดับกระหาย ก่อนจะหันสายตามองซูอี้ประหนึ่งคมมีด “เจ้าคงไม่อยากเป็นหนี้กระมัง?”
ซูอี้เอ่ยคำถาม “หากข้าได้รับมากกว่าหนึ่งพันตำลึงต่อเดือนเล่า?”
ฉินชิ่งยิ้มรับภาคภูมิ “มีความทะเยอทะยานดี! เช่นนั้นข้าขอบอกที่ตรงนี้ ว่ากรณีที่เจ้าหาได้เกินกว่าหนึ่งพันตำลึงต่อเดือน ทั้งหมดเป็นของเจ้า”
“ได้ ตกลงตามนั้น!” ซูอี้ตกปากรับคำโดยไม่ลังเล
ฉินชิ่งชะงักงัน นางไม่นึกคาดคิดว่าซูอี้จะยินดีตอบรับ มันทำให้นางเกิดรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
หลังครุ่นคิด นางกล่าวคำย้ำเตือนอีกครั้ง “หากเจ้ากล้าเล่นลูกไม้ใด อย่าได้กล่าวโทษที่ข้าหยาบคาย!”
ถัดจากนั้น ซูอี้ค่อยหันกลับและจากไป
ฉินชิ่งกล่าวบอกให้เขาไปยังสำนักแพทย์ซิ่งหวงในวันพรุ่งนี้ ภายหน้าให้ทั้งกินและอยู่ที่นั่น
แท้จริงแล้วเรื่องนี้ ถือว่าดีต่อซูอี้
หากอยู่แต่ที่จวนตระกูลเหวินโดยตลอด มันออกจะไม่สะดวกในการกระทำบางเรื่องราว หากอยู่ที่ภายนอกจึงเป็นอีกเรื่อง
โถงหลักเวลานี้เหลือเพียงเหวินฉางไท่และภรรยา
เหวินฉางไท่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เหตุใดต้องการให้ซูอี้รับผิดชอบที่สำนักแพทย์ซิ่งหวง ทั้งที่พี่รองควบคุมดูแลที่นั่นมาตลอด นับตั้งแต่แพทย์จนถึงผู้ช่วย ทั้งหมดล้วนเป็นของครอบครัวพี่รอง”
“หากให้ซูอี้ไป หมายถึงการให้พวกเขากลั่นแกล้งทุกวี่วัน เจ้าเพิ่งก่อเรื่องราวใดลงไปรู้ตัวหรือไม่”
สุดท้าย เขาอดไม่ได้จนต้องถอนหายใจลากยาว
ฉินชิ่งกล่าวตอบกราดเกรี้ยว “หากเจ้ามีอำนาจเหมือนดังพี่รอง มีหรือนายหญิงเฒ่าจะให้ซูอี้เข้าร่วมตระกูลเราได้? ทราบหรือไม่ว่าบุตรีของเราเช่นหลิงเจาต้องทุกข์ตรมกับการสมรสและอับอายเพียงใด?”
“ดูเช่นพี่ใหญ่เจ้า ศีรษะเชิดเงยภาคภูมิในตระกูลเหวิน มีสัดส่วนอำนาจยิ่งกว่าใครจนได้รับหน้าที่ดูแลตระกูล แต่เมื่อหันมองเจ้า เจ้าไม่มีความสำเร็จใดในตระกูลเหวิน ผลประโยชน์ทั้งหมดจึงถูกพี่ชายของเจ้าช่วงชิงไปทั้งสิ้น!”
“หลายปีมานี้ หากไม่ใช่ข้าดูแลครอบครัวของเราด้วยตนเอง ด้วยความสามารถเจ้า ครอบครัวของเราคงมีแต่ถูกกลั่นแกล้งโดยผู้อื่นในตระกูลเหวินจนตกตาย”
เหวินฉางไท่ผู้ไม่เคยกล้าเอ่ยปากอยู่แล้ว ขณะนี้จึงทำได้เพียงแต่ยิ้มขื่นขม ตัวเขาก็เป็นเช่นนี้ เขาทราบดีว่าเทียบเปรียบกับพี่ชายทั้งสองแล้ว ตนเองนั้นธรรมดาเพียงใด
และยิ่งไปกว่านั้น ความเฉลียวฉลาดของฉินชิ่ง มันยิ่งบ่งชี้ความไร้สามารถของตัวเขามากยิ่งขึ้น
ผ่านไปพักหนึ่ง ในที่สุดฉินชิ่งค่อยสงบใจลงได้ ก่อนจะเอ่ยคำ “ข้าทราบว่าสำนักแพทย์ซิ่งหวงเป็นของครอบครัวพี่รอง แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีต นับจากวันนี้ มันเป็นของพวกเรา!”
“ส่วนที่ว่าซูอี้จะถูกกลั่นแกล้งรังแกหรือไม่… เหอะ อย่าได้ปรามาสบุตรเขยของพวกเราไป”
เหวินฉางไท่เกิดประหลาดใจ “เจ้าหมายความถึงอะไร?”
“ข้าได้ยินว่าไม่กี่วันก่อน ซูอี้จัดการหวงเฉียนจวินที่ภัตตาคารรวมเซียน นึกว่าตระกูลหวงจะไม่ละเว้น แต่ผู้ใดกันคาดคิด ว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ยังอยู่รอดปลอดภัย กระทั่งไร้รอยขีดข่วน”
ฉินชิ่งแค่นเสียงขึ้นจมูก “แม้ว่าไม่อาจทราบเหตุผล แต่สัญชาตญาณบอกต่อข้า ว่ามันจะต้องมีเรื่องผิดแปลกเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”
หลังเงียบไปครู่ นางค่อยถอนหายใจ “โชคร้าย หากเขายังเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอ การสมรสหลิงเจากับตัวเขาคงไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสียมากนัก”
“แต่ทว่าตอนนี้ หลิงเจาได้เป็นศิษย์ของยอดยุทธ์แล้ว! แต่หันกลับมองซูอี้ เขาก็ยังไร้ประโยชน์เช่นเดิม!”
ภายในน้ำเสียงของนางแฝงไว้ซึ่งความนึกเสียดาย
เหวินฉางไท่กล่าวปลอบ “หากเขาไม่สูญเสียการบ่มเพาะ เกรงว่าเขาคงไม่ได้เป็นบุตรเขยของพวกเรา เพราะในช่วงเวลานั้นหลิงเจาก็ยังไม่ได้เข้าร่วมตำหนักเทียนหยวน”
“เงียบปากเจ้าไป!”
ฉินชิ่งตบโต๊ะกล่าวขัดคำอย่างกราดเกรี้ยว “เจ้ากำลังกล่าวปลอบข้า หรือกำลังเย้ยหยันลูกสาวของเราเองกันแน่?”
เหวินฉางไท่ก้มหัวด้วยความเกรงและเงียบเสียงไป