บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 280 สระบัวยังคงอยู่ ทว่าแท่นพระไม่มีเหลือ
ตอนที่ 280: สระบัวยังคงอยู่ ทว่าแท่นพระไม่มีเหลือ
ตอนที่ 280: สระบัวยังคงอยู่ ทว่าแท่นพระไม่มีเหลือ
ครุ่นคิดสักครู่ มู่ซีก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงเครียด “ศพเหล่านี้คงจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญที่เดินทางมากันในช่วงระยะเวลาอันใกล้ เพียงแต่ไม่รู้ว่า มีคนที่บุกเข้ามาในส่วนลึกของวัดวิปัสสนาร้างแห่งนั้นจำนวนเท่าใด”
ดวงตางดงามของหนิงซือฮวามองไปที่ซูอี้ แล้วกล่าวคำ “สหายเต๋ามองออกหรือไม่ว่าพวกเขาตายอย่างไร?”
“ค่ายกลใหญ่”
ซูอี้ตอบน้ำเสียงราบเรียบ “คล้ายกับค่ายกลใหญ่ต้องห้ามในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตแห่งนั้น เพียงแต่เห็นได้ชัดว่า ค่ายกลนี้ถูกตั้งโดยผู้มีฝีมือวิถีพุทธ แต่ว่า…”
คิดสักครู่ ถึงตรงนี้ซูอี้จึงกล่าวขึ้นมาว่า “เห็นได้ชัดว่าพลังดั้งเดิมของค่ายกลนี้ได้รับการเซาะกร่อนของพลังมารอสูร ทำให้ปรากฏการณ์ประหลาดที่ค่ายกลนี้แสดงออกมาจึงมีความประหลาดและผิดธรรมดาตามไปด้วย”
เขาเบนสายตามองไปที่เงาเลือนรางของดอกบัวประหลาดสีดำที่มีมากมายนับร้อยนับพันบนท้องฟ้า ก่อนจะกล่าวคำ “หากว่าข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่ค่ายกลนี้ผนึกไว้ข้างใต้ เป็นไปได้มากว่าอาจจะเป็นพลังของมารอสูร”
มารอสูร!
ในสายตาของหนิงซือฮวากับมู่ซีล้วนฉายออกซึ่งความตะลึง
ทว่าขณะที่ซูอี้กำลังพูด เขาก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว
เสียงท่องบทสวดภาษาบาลีสันสกฤตที่คล้ายกับเสียงพร่ำรำพันของภูตผีปีศาจดังขึ้นเป็นพัก ๆ หนาวสะท้านถึงใจ
ทั่วทั้งผืนพสุธามืดมิดอึมครึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปากทางเข้าวัดวิปัสสนาร้างตรงนั้น ซากศพกองพะเนิน เลือดนองราวกับแม่น้ำ ภาพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องขนลุกซู่
ทว่าซูอี้กลับไม่ได้รู้สึกหวาดเกรงแม้แต่อย่างใด ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ทีละก้าว
หนิงซือฮวา มู่ซี กับหลานซัวติดตามอยู่ข้างหลัง ทำสีหน้าเตรียมพร้อมระมัดระวังขึ้นมา
จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูวัดวิปัสสนาที่ทรุดเอน ซูอี้จึงหยุดฝีเท้า
แทบจะขณะเดียวกัน…
ท่ามกลางหมอกทึบที่อยู่ลึกเข้าไปในประตูสำนัก ปรากฏร่าง ๆ หนึ่งในชุดหลวงจีนสีเทา มือถือลูกประคำ ฉับพลันก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ปากทางเข้าวัดวิปัสสนาร้างราวกับวิญญาณผี
สีหน้าของหลวงจีนรูปนี้เคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยวาจา “โยมทุกท่านจงหยุดก่อน ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม หากเข้าใกล้ จะได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต”
เสียงพูดดังก้องกังวานดุจดังเสียงระฆัง
หัวคิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย
หลานซัวกล่าวราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าคือหลวงจีนจากวัดซ่างหลิน?”
หลวงจีนรูปนั้นสายตาราวกับสายฟ้า ฉับพลันมองไปที่หลานซัว แล้วกล่าวคำออก “โยมหญิงท่านนี้สายตาแหลมคม อาตมามาจากวัดซ่างหลินอาณาจักรต้าฉิน มีสมญาว่า ‘เจวี๋ยเหิง’”
สมญาขึ้นต้นด้วยคำว่าเวทนา!
ดวงตาใสสว่างของหลานซัวจับจ้องเล็กน้อยราวกับตื่นตระหนก จากนั้นจึงหันไปพูดกับพวกของซูอี้อย่างรวดเร็ว
“หลวงจีนที่มีสมญาขึ้นต้นด้วยคำว่าเจวี๋ยของวัดซ่างหลินล้วนเป็นผู้มีฝีมืออยู่ในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ แต่ละคนล้วนมีความช่ำชองด้านจิตรับรู้ของสำนักพุทธที่ต่างกันออกไป ทว่าล้วนน่าหวาดกลัวยิ่งนัก บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ในโลกสามัญไม่อาจเทียบเคียงได้”
หนิงซือฮวากับมู่ซีต่างก็ตะลึงขึ้นในใจ
กำลังการฝึกตนเปรียบได้กับคนบนยอดเขา นอกจากเหนือกว่าคนในโลกสามัญ วิธีการฝึกตนที่ชำนาญเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอดยุทธ์ในโลกสามัญเหล่านั้นจะสามารถเปรียบเทียบด้วยได้
ยกตัวอย่างเช่น เป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เหมือนกัน แต่ยอดยุทธ์ที่เดินออกมาจากกำลังฝึกตนสามารถฆ่าบุคคลระดับเดียวกันในโลกสามัญได้อย่างง่ายดาย!
ก็เพราะว่ามีความแตกต่างกันในเรื่องของพื้นฐาน การสืบทอดและพรสวรรค์
ทว่าซูอี้กลับไม่ใส่ใจ กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ความเป็นตายของพวกเราไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า หากว่าเจ้าปรารถนาดีจริง ๆ จงหลีกไปเสียเดี๋ยวนี้”
พูดพลางก้าวตรงไปยังประตูสำนักที่ทรุดเอนนั้นแล้ว
“ช้าก่อน!”
หลวงจีนผู้อ้างตนว่าชื่อเจวี๋ยเหิง พลังในตัวผุดระเบิด น่าหวาดกลัวประดุจวานรกำลังคลั่ง “อาตมาบอกไปแล้ว ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม ดีที่สุดพวกเจ้าอย่าได้หาเรื่องใส่ตัว มิเช่นนั้น…”
ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้ก็สะบัดแขนเสื้อ
สวบ!
ดาบสีเขียวอ่อนอันลี้ลับปรากฏขึ้นกลางอากาศ พุ่งแทงไปยังเจวี๋ยเหิงที่ยืนอยู่ตรงปากทางเข้าวัดวิปัสสนาร้าง
“เหลวไหล!”
เจวี๋ยเหิงโกรธจัด สองมือประกบเป็นรูปสัญลักษณ์กดลงไปในอากาศ
โครม!
ตราประทับรูปพระพุทธสีทองอร่ามปรากฏขึ้นกลางอากาศ องค์พระน่าเกรงขามกดทับลงมาอย่างแรง
จิตรับรู้ของสำนักพุทธนี้มีความมหัศจรรย์เหลือคณา อีกทั้งยังดูความน่าเกรงขามเช่นนั้นแล้ว ผู้แข็งแกร่งติดอันดับสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างซือถูกงไม่อาจเทียบเคียงด้วยได้
เพียงแต่…
ดาบนี้ดาบเดียวของซูอี้ที่ดูคล้ายกับบางเบาไร้พิษสง หาใช่ธรรมดาไม่!
พอประกายดาบผุดขึ้นก็เกิดเสียงอันดัง ตราประทับรูปพระพุทธสีทองขาดเป็นสองท่านราวกับกระดาษ จากนั้นระเบิดกลางอากาศ สะเก็ดไฟแตกกระเซ็น
ทว่าดาบของซูอี้พุ่งตรงไปที่เจวี๋ยเหิง
เจวี๋ยเหิงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พลันขยับลูกประคำในมือ แสงสีทองแสบตาปรากฏขึ้นในทันใด จับตัวกันเป็นเกราะสีทองเรืองอร่ามคุ้มกันอยู่ด้านหน้า
ปัง!!!
ดาบกระแทกเข้ากับเกราะสีทอง เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วฟ้า
ท้ายสุด ถึงแม้จะบั่นทอนพลังของดาบลงไปบ้าง ทว่าบนเกราะสีทองนั้นยังคงปรากฏรอยร้าวราวกับใยแมงมุม ก่อนจะแตกจนเป็นชิ้นย่อยและสลายหายไป
ร่างของเจวี๋ยเหิงสั่นสะท้าน ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนไป พลางกล่าวคำออก “โยมท่านนี้คิดจะเป็นศัตรูกับวัดซ่างหลินของพวกเราเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้คร้านจะพูดมาก สะบัดแขนเสื้อแล้วพุ่งดาบเข้าหา
ท่าทีที่รวดเร็วฉับไวนั้นทำให้เจวี๋ยเหิงทั้งตื่นตระหนกและโกรธ
“เมตตาไม่อาจฉุดช่วยผู้ปฏิเสธ ในเมื่อพวกเจ้าหลับใหลไม่ยอมตื่น ถ้าเช่นนั้นก็รอรับภัยพิบัติก็แล้วกัน!”
เขาไม่ดึงดันต่อไปอีก และหมุนตัวพุ่งเข้าไปในวัดวิปัสสนาร้างที่มีหมอกหนาทึบ
ผลุบ~~
ทว่าดาบของซูอี้ที่พุ่งเข้าไปกลับถูกค่ายกลประหลาดทำให้หายลับไปในระลอกคลื่นอย่างไร้สุ้มเสียง
“ตามความคาดหมาย ในวัดร้างแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยค่ายกล”
ประกายสายตาประหลาดผุดขึ้นในแววตาของซูอี้
ส่วนหลานซัวที่มองเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านี้ก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “คุณชายซูไม่กลัวว่าจะถูกวัดซ่างหลินจ้องเล่นงานเช่นนั้นหรือ? นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักพุทธแห่งแรกในอาณาจักรต้าฉินของข้า ลำพังเพียงแค่บุคคลเทพเซียนเดินดินเช่นนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยแล้ว”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” ซูอี้ย้อนถาม
หลานซัวนิ่งพูดไม่ออก ลงไม้ลงมือไปแล้ว ก็แสดงว่าซูอี้ไม่สนใจวัดซ่างหลินสักนิด
หนิงซือฮวากล่าวเตือนเบา ๆ “หลานซัว ประเดี๋ยวพวกเราบุกเข้าไปในวัดวิปัสสนาร้างแห่งนี้ เกรงว่าจะต้องเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนวิถีพุทธของวัดซ่างหลิน เจ้าต้องเตรียมใจไว้ให้ดี”
หลานซัวพยักหน้า
“พวกเจ้าติดตามข้าอยู่ข้างหลัง”
พูดจบซูอี้ก็ย่างเดินไปข้างหน้าแล้ว
ครืน!
พวกของซูอี้เพิ่งก้าวเข้าปากทางเข้าของวัดวิปัสสนาร้างแห่งนั้น เมฆหมอกโดยรอบเกิดแปรปรวนขึ้นมา
แผ่นดินราวกับลาดเอียงไปในฉับพลัน หยินและหยางตาลปัตร มังกรไอหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนโอบล้อมเข้ามาจากแปดทิศทางรอบสี่ด้าน
เห็นได้ชัดว่านี่คือค่ายกลหมอกลวง ไม่เพียงแต่เป็นอุปสรรคขัดขวาง ทั้งยังเป็นค่ายกลที่น่ากลัวมากค่ายกลหนึ่ง
มังกรเมฆแต่ละตัวมีความยาวตั้งแต่หลายสิบจนถึงหลายร้อยจั้ง ทั้งหมดล้วนเกิดจากการรวมตัวของพลังแห่งความชั่วร้ายทั้งสิ้น เปรียบดังโซ่ตรวนขนาดใหญ่พาดอยู่บนท้องฟ้า โอบล้อมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
หากว่าเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น คงถูกโซ่ตรวนหมอกเมฆาเหล่านี้ทำร้ายจนกลายเป็นเศษเนื้อไปแล้ว
ทว่า สำหรับซูอี้แล้ว ค่ายกลใหญ่แห่งนี้ไม่ได้มีความหมายอันใดมากนัก
ฉับพลันนั้นเอง…
ประกายแสงเทวะในดวงตาลุ่มลึกของเขาส่องสว่างเจิดจ้า พลางสะบัดแขนเสื้อ
“เปิด!”
ครืน
ดาบเล่มหนึ่งพุ่งเข้าหาพร้อมกับเสียงดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่า จากนั้นก็กลายร่างเป็นสายรุ้งยาวใหญ่มหึมา ฟันลงไปอย่างแรง
มังกรหมอกเมฆายาวนับสิบจั้งตนนั้นถูกฟันขาดกลางอากาศอย่างง่ายดาย
ชั่วพริบตาเดียว หมอกหนาที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าร้อยจั้งถูกกวาดจนเรียบเป็นหน้ากลอง
พวกของหนิงซือฮวาเห็นเช่นนี้แล้วต่างก็ตื่นตะลึง
ดาบเล่มนี้ฟาดฟันร้อยจั้งราวกับผ่ากระบอกไม้ไผ่!
วัดวิปัสสนาร้างแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ว่าลึกลงไปเท่าใด พวกของซูอี้ก็โฉบลงไปร้อยจั้งแล้ว ทว่ามองดูทิศทางรอบด้านแล้วก็ยังคงมีแต่หมอกชั่วร้ายหนาทึบ
กลิ่นอายความชั่วร้ายเหล่านี้ถูกขับเคลื่อนโดยพลังค่ายกล สามารถสกัดกั้นการจับตามองของจิตรับรู้ ต่อให้ตอนนี้ซูอี้มีจิตสัมผัส ก็สามารถทำได้เพียงแค่สัมผัสรับรู้สภาพการณ์ในระยะสามจั้งเท่านั้น
ทว่า ซูอี้ยังคงคร้านจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้
เพียงแค่ค่ายกลหมอกลวงเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาวิธีแก้ บุกฆ่าไปตลอดทางก็ได้แล้ว
ชิ้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าปรากฏอยู่ในมือ
“ฟัน! ฟัน! ฟัน!”
ซูอี้ขับเคลื่อนพลังปราณในกาย ชุดยาวสีเขียวโบกสะบัดจนเกิดเสียง มือตวัดดาบฟันไม่ยั้ง
ด้วยผลการฝึกตนในตอนนี้ของเขา ประกอบกับกระบวนท่าวิถีดาบ อานุภาพการฟาดฟันถึงขั้นสามารถคร่าชีวิตของบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้
ขณะที่ลงมือ ดาบฟาดฟันครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับสายรุ้งเทพอันน่ากลัวพุ่งออกระลอกแล้วระลอกเล่า แหวกค่ายกลหมอกลวงนี้ให้เปิดออกเป็นทางยาว
นี่ก็คือ ‘คนแรงเยอะคนเดียวสามารสยบคนมีวิทยายุทธสิบคน’
ไม่ว่าเจ้าจะมีค่ายกลล้ำเลิศเพียงใด ข้าล้วนทำลายด้วยแรงกำลังของตัวเอง
“คน ๆ นี้เป็นปรมาจารย์ขั้นสองจริง ๆ หรือ?”
หลานซัวเห็นแล้วก็ตกตะลึง บนใบหน้าที่งดงามรูปหน้าชัดเจนเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนก
อานุภาพการฟาดฟันของดาบแต่ละดาบ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวจนเนื้อเต้น ไม่อาจคาดคิดได้ว่านี่คือพลังที่ปรมาจารย์อายุสิบเจ็ดปีจะสามารถมีได้
ทว่าสำหรับหนิงซือฮวากับมู่ซีแล้ว พวกเขาเห็นมามากจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว
อย่างรวดเร็ว คนทั้งหมดก็ผ่านค่ายกลหมอกลวงแห่งนี้ไปได้ และมาถึงสระน้ำที่แห้งเหือดไปแล้ว
ที่ตรงนี้ก็เป็นสถานที่ร้างเช่นกัน ทรุดโทรมมาก จนสามารถมองออกได้ลาง ๆ ว่าที่ตรงนี้เดิมทีเป็นลานพิธีขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่ง สระน้ำที่แห้งขอดแห่งนั้นตั้งอยู่กลางลานพิธี
สังเกตดูให้ดี สระน้ำที่แห้งขอดแห่งนั้นมีความยาวถึงร้อยจั้ง ดินโคลนภายในสระแห้งจนแตกเป็นรอยร้าว ซากกระดูกที่เน่าเละกองเกลื่อนกลาด
ทว่าบนโครงกระดูกแต่ละโครงล้วนมีดอกบัวสีดำประหลาดงอกออกมา ซึ่งมีจำนวนนับร้อยนับพันดอก แต่ละดอกล้วนเบ่งบานสะพรั่ง
พลังชั่วร้ายสีดำผุดออกมาจากดอกบัวประหลาดเหล่านั้น ปล่อยกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายหนาวเหน็บจนทิ่มกระดูกออกมา
เมื่อมาถึงที่ตรงนี้ นัยน์ตาดำของซูอี้จับจ้องเล็กน้อย จิตสัมผัสซึ่งไวต่อความรู้สึกรับรู้ได้ว่าสถานที่ตรงนี้มีค่ายกลต้องห้ามที่อันตรายน่ากลัว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ปรากฏการณ์ดอกบัวอสูรสีดำที่พวกเราเห็นมันสะท้อนอยู่ใต้ท้องฟ้าภายนอกเมื่อก่อนหน้านี้ ที่แท้ก็มาจากที่ตรงนี้นี่เอง…”
ซูอี้แสดงท่าทีตระหนักเข้าใจออกมา
“ใจกลางลานพิธีแห่งนี้มีสระดอกบัวตั้งอยู่ เดิมทีเป็นสถานที่แสดงธรรมของสำนักพุทธ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด ไม่นึกเลยว่า บัดนี้ได้กลายเป็นฐานที่มั่นของค่ายกลอสูรชั่ว”
“โครงกระดูกเน่าเละที่อยู่กลางสระเหล่านั้น คงจะเป็นผู้ฝึกตนที่มาดับชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้เมื่อนานมากแล้ว ค่ายกลแห่งนี้ดูดกลืนพลังลมปราณและเลือดเนื้อของพวกเขา รวมกันเป็นพลังที่ขับเคลื่อนค่ายกล”
“ใช้พลังแห่งเลือดเนื้อเป็นตัวนำ สร้างค่ายกลแห่งการเข่นฆ่าล้างผลาญ เห็นได้ชัดว่านี่คือวิธีการของผู้ฝึกปีศาจสำนักอสูร”
“น่าสนใจ สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นสำนักของผู้บำเพ็ญแห่งวิถีพุทธเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว ข้าเกรงว่ายังจะมีผู้ฝึกปีศาจกับพลังของสำนักอสูรร่วมอยู่ด้วย…”
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิดตรึกตรองนั้นเอง
มู่ซีที่ทนไม่ไหวจึงกล่าวขึ้นมา “ในอดีตข้าเคยมาสถานที่แห่งนี้ เพียงแต่ว่า ตอนนั้นในสระน้ำแห่งนี้ไม่ได้มีดอกบัวประหลาดสีดำเหล่านั้น และด้านหลังของสระยังมีแท่นพระที่เกิดจากการนำก้อนหินสีดำมาวางกองรวมกัน แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีแท่นพระนั้นอีกแล้ว!”
“แท่นพระนั้นมีอะไรโดดเด่นเช่นนั้นหรือ?”
หนิงซือฮวาถามด้วยความสงสัย
มู่ซีนิ่งเงียบไปสักครู่จึงกล่าว “จี้หยกโลหิตของข้า ได้มาจากแท่นพระแห่งนั้น”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ซูอี้ก็อดแสดงท่าทีตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
เขาจำได้ชัดเจน จี้หยกโลหิตของมู่ซีนั้นสร้างจากโลหิตวิญญาณแท้จริง หากอยู่ในเก้ามหาแดนดินก็ยังถือได้ว่าเป็นของล้ำค่ามาก
ไม่คิดเลยว่า จี้หยกเช่นนี้จะมาจากแท่นพระลึกลับ!
นึกถึงตรงนี้แล้ว ซูอี้ก็นึกถึงพระพุทธรูปที่ได้มาจากราชาปราการเพลิงองค์นั้นขึ้นมา
องค์พระนั้นมีขนาดประมาณเท่ากับฝ่ามือเท่านั้น ทว่าถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกวิญญาณแท้จริง สองมือขององค์พระทำสัญลักษณ์รูปดอกบัว บนตัวมีมังกรแท้พันรอบ มีความลึกลับมากเช่นกัน
ซูอี้ไม่มีทางลืมว่าตอนที่ใช้จิตสัมผัสรับรู้องค์พระนั่น เคยเห็นปรากฏการณ์ประหลาดมีหลวงจีนชุดขาวขี่มังกรท่องไปในหมู่ดวงดาว
หากคาดเดาตามคำกล่าวของมู่ซี ถ้าเช่นนั้นองค์พระองค์นั้นก็ต้องมาจากวัดวิปัสสนาร้างแห่งนี้เช่นกัน!