บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 281 วัดวิปัสสนาปัญญา สถานที่ต้องห้ามมังกรบาป
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 281 วัดวิปัสสนาปัญญา สถานที่ต้องห้ามมังกรบาป
ตอนที่ 281: วัดวิปัสสนาปัญญา สถานที่ต้องห้ามมังกรบาป
ตอนที่ 281: วัดวิปัสสนาปัญญา สถานที่ต้องห้ามมังกรบาป
ราชาสะกดขุนเขามู่ซีได้รับจี้หยกที่สร้างขึ้นจากโลหิตวิญญาณแท้จริงจากที่แห่งนี้
ราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลินก็เอาพระพุทธรูปที่หลอมจากกระดูกวิญญาณแท้จริงมาจากตรงนี้เช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถตัดสินได้ว่า หากวัดวิปัสสนาร้างแห่งนี้เป็นโบราณสถานของสำนักพุทธจริง ถ้าเช่นนั้นสำนักพุทธแห่งนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“ไปกันเถิด” ซูอี้เดินนำหน้าไปก่อน
ยังไม่ทันเดินผ่านวัดร้างแห่งนี้ ในสระที่มีดอกบัวปีศาจสีดำขึ้นจนเต็มสระแห่งนั้นก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นมา ถัดจากนั้น ดอกบัวปีศาจสีดำที่ขึ้นดกดื่นเหล่านั้นก็พากันเบ่งบานและปล่อยแสงปีศาจสีแดงออกมาจากใจกลางเกสรพุ่งทะลุขึ้นสู่ชั้นเมฆ
ครืน!
ฟ้าดินบริเวณนี้สั่นสะเทือน
มองด้วยตาเปล่า เห็นได้ว่าทางทิศตะวันออกมีเถาวัลย์สีเลือดขนาดเท่ากับถังน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา
ทางทิศตะวันตก มีพลังแห่งทองสีเลือดดังขึ้นเป็นพัก ๆ
ทางทิศใต้ มีเพลิงไฟสีทองกำลังแผดเผา
ทางทิศเหนือ มีมหาสมุทรสีเลือดที่หนาวเหน็บเข้ากระดูกก่อตัวเป็นคลื่นสูง
ส่วนใจกลางกลับมีภูเขาใหญ่สีเลือดผุดขึ้นจากแผ่นดินสูงจนเสียดฟ้า ราวกับมีเครื่องกีดขวางกีดกั้น
ภายในชั่วพริบตา พลังทั้งห้าซึ่งตรงกับธาตุทั้งห้ากลายเป็นพลังค่ายกลใหญ่สีเลือดของปีศาจ ครอบคลุมแผ่นดินและแผ่นฟ้าในบริเวณนี้
หนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ เกิดความกังวล สีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สิ่งนี้เป็นค่ายกลที่น่ากลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงอันตรายแก่ชีวิต
ทว่ากลับเห็นซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ พลางยิ้มอย่างสบายอารมณ์ขึ้นมา “หากว่าเป็นค่ายกลอื่น ข้ายังต้องลงแรงมากอยู่สักหน่อย แต่มาต่อกรกับข้าด้วยค่ายกลใหญ่ที่ใช้ธาตุทั้งห้าเป็นพื้นฐาน เป็นการหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ”
ธาตุทั้งห้า พลังพื้นฐานที่สุดของวิถีแห่งค่ายกล จากสิ่งนี้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นความลี้ลับไร้ขอบเขตของวิถียันต์
ถึงแม้ซูอี้จะไม่ใช่ปรมาจารย์ยันต์ แต่เมื่อชาติก่อนเคยอ่านตำราความรู้มาแล้วทุกเล่ม จึงมีประสบการณ์ในการตั้งและทลายค่ายกลเป็นธรรมดา
เขาก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจราวกับเดินเล่นในสวน
ครืน!
พอเดินเข้าสู่ค่ายกล ตลอดทั้งค่ายกลใหญ่ธาตุทั้งห้าเริ่มเคลื่อนตัวส่งเสียงดังขึ้นมา
อันดับแรกมีเพลิงไฟร้อนแรงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหา เพลิงไฟร้อนแรงเหล่านี้แฝงด้วยกลิ่นอายปีศาจสีเลือดที่ชั่วร้าย สามารถเผาทองคำต้มเหล็กกล้า ทั้งยังมีอานุภาพกัดกร่อนร้ายแรง
ทว่าซูอี้ไม่แม้แต่จะสนใจ เกราะป้องกันธาตุแท้ปรากฏขึ้นรอบตัว กันเพลิงไฟที่ร้อนแรงให้ห่างออกไปกว่าสามจั้ง ซูอี้เดินเข้าไปในค่ายกลช้า ๆ ทีละก้าว
ครืน!
ค่ายกลส่งเสียงดังกึกก้องออกมาเป็นพัก ๆ ราวกับโกรธแค้น
สายน้ำเชี่ยวสีเลือดถาโถมเข้ามา สายน้ำเชี่ยวเหล่านี้เป็นน้ำอันบริสุทธิ์ รุนแรงประหนึ่งคลื่นยักษ์ในมหาสมุทร
ครู่ถัดมา ดาบหอกสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาราวกับสายฝนอาวุธเวท
เถาวัลย์สีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนส่ายขยับราวกับแส้ยาวเริงระบำ ฟาดลงมาอย่างแรง
ที่น่ากลัวที่สุดคือหินสีเลือดลูกมหึมาไหลกลิ้งร่วงลงมาจากภูเขาใหญ่ที่คล้ายกับสิ่งกีดขวางลูกนั้น ราวกับฝนอุกกาบาตร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ส่งเสียงดังครืน ๆ น่ากลัวยิ่งนัก
ดิน น้ำ ไฟ ไม้ ทอง เวลานี้อานุภาพที่เกิดขึ้นจากพลังธาตุทั้งห้าได้ระเบิดขึ้นแล้ว
หนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ ต่างตื่นตระหนกหวาดกลัว แต่ละคนจับอาวุธตัวเองมั่น ระมัดระวังตัวอยู่ตลอด ทว่าต่อหน้าอานุภาพของค่ายกลที่น่ากลัวเช่นนี้ยังคงรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง ไม่อาจสะกดกลั้นความกลัวไว้ได้
เช่นนี้ทำให้พวกเขาสงสัยว่าต่อให้เทพเซียนเดินดินมาอยู่ตรงนี้ คงยากนักจะต้านทานอานุภาพของค่ายกลใหญ่เช่นนี้ได้
ทว่าเวลานี้เอง ซูอี้ได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“กลืนวิญญาณสลายกำลัง บัญญัติเป็นตัวนำ เริ่ม!”
ฉับพลันดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือก็พุ่งไปยังกลางอากาศ
บนตัวดาบที่ดำขลับประดุจราตรีกาล ลวดลายสลับซับซ้อนแฝงไว้ซึ่งความลี้ลับสะท้อนปรากฏออกมา ราวกับเกลียวคลื่นสีดำหมุนวนเป็นชั้น ๆ
บัญญัติกลืนวิญญาณ!
นี่คือหนึ่งในเก้าบัญญัติที่สืบทอดมาจากสำนักแดนอสูรปรีดี เดิมทีใช้สำหรับกลืนวิญญาณทั้งมวลในใต้หล้าเพื่อนำมาเป็นของตน
ทว่าเวลานี้ ซูอี้กลับนำมาทลายค่ายกล!
กลางอากาศว่างเปล่า สายน้ำเชี่ยวสีเลือดที่ถาโถมเข้ามาเป็นอันดับแรกถูกลวดลายบัญญัติที่คล้ายกับเกลียวคลื่นดึงดูด กลืนกิน ราวกับกระแสน้ำไหลลงสู่ทะเลใหญ่ ไม่อาจเข้าใกล้ซูอี้กับคนอื่น ๆ ได้
ค่ายกลแห่งธาตุทั้งห้าขับเคลื่อนสัมพันธ์กัน พอค่ายกลหนึ่งถูกดึงดูด ค่ายกลอื่นก็รวนเรตามไปด้วย
“ทลาย!”
ฉับพลัน ซูอี้ตวัดดาบนิลกาฬกลืนฟ้า บัญญัติกลืนวิญญาณกระชากสายน้ำเชี่ยวสีเลือดที่ถาโถมรุนแรง กวาดไปยังทะเลเพลิงสีเลือดที่พุ่งเข้ามา
น้ำกับไฟไม่ถูกกัน พลังค่ายกลใหญ่สองลูกปะทะใส่กัน ระเบิดเป็นพลังทำลายล้างแผ่กระจายไปทั่วสี่ด้านแปดทิศทาง
ภายใต้พลังกระแทกที่รุนแรงเช่นนี้ พลังค่ายกลธาตุทองที่กลายร่างเป็นหอกดาบสีเลือด พลังธาตุไม้ที่กลายร่างเป็นเถาวัลย์ยักษ์สีเลือด พลังธาตุดินที่กลายร่างเป็นภูเขาสูงใหญ่สีเลือด ก็ได้รับการกระทบกระแทกที่น่ากลัวตามไปด้วยเช่นกัน
ครืน! ครืน!
ในชั่วพริบตา ค่ายกลธาตุทั้งห้าจึงได้เสียรูปกระบวน พลังค่ายกลใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเพลิงไฟ น้ำเชี่ยว หอกดาบ อุกกาบาตก็เกิดความขัดแย้งกันเอง ทำร้ายกันเอง จนค่ายกลใหญ่แห่งนี้ตกอยู่ในสภาวะเสื่อมสลาย
เพียงแค่ชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ภายใต้สายตาจับจ้องด้วยความตื่นตระหนกของหนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ ค่ายกลยิ่งใหญ่น่ากลัวทั้งค่ายก็ล่มสลาย!
“นี่…”
ดวงตางดงามของหลานซัวเบิกกว้าง แสดงอาการราวกับมองเห็นตัวประหลาดในเวลาที่มองไปยังซูอี้
ค่ายกลน่ากลัวเช่นนี้ถูกทำลายไปง่าย ๆ เช่นนี้น่ะหรือ?
หนิงซือฮวากับมู่ซีมองตากัน ต่างก็แอบถอนใจ นับตั้งแต่รู้จักกับซูอี้มาจนถึงตอนนี้ พวกเขาทั้งสองรู้สึกราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่สามารถต่อกรกับซูอี้ได้!
หมอกควันหายไป ฝนประกายแสงพลันสลาย
เมื่อค่ายกลใหญ่นี้สูญสลาย ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็แปรเปลี่ยน
ราวกับภาพลวงตาทั้งหมดถูกทำลาย เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของวัดวิปัสสนาร้างแห่งนี้
“นั่นคือ…”
หนิงซือฮวาตะลึง
ลานพิธีร้างขนาดใหญ่มหึมาที่อยู่ไกลออกไปแห่งนั้นมีมังกรขนาดใหญ่ยักษ์นอนขดอยู่ ตัวใหญ่เท่ากับภูเขาลูกใหญ่ เกล็ดมังกรมีขนาดเท่ากับบ้าน หัวมังกรแหงนขึ้นราวกับค้ำแผ่นฟ้า
ร่างของมังกรยักษ์ปกคลุมด้วยประกายแสงสีทอง เจิดจ้าเรืองอร่าม สาดส่องไปยังผืนดินและผืนฟ้าในบริเวณนั้นจนสว่างไสว เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขาม ราวกับเทพบนแดนสวรรค์ สูงส่งจนไม่อาจแตะต้อง
ทุกคนล้วนตกตะลึง ต่างรู้สึกได้ถึงความเล็กจ้อยของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่อยู่ต่อหน้ามังกรยักษ์สีทองตนนั้น ร่างของทุกคนล้วนสั่นสะท้าน เกิดความหวาดเกรงจนแทบคุกเข่ากราบไหว้อย่างควบคุมไม่ได้
ทันใด เสียงของซูอี้ก็ดังขึ้นที่ข้างหูของแต่ละคน
“เพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น อย่าให้มันรบกวนจิตใจ”
แต่ละคำประดุจฟ้าผ่า สั่นสะเทือนจนหนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ ตัวแข็งทื่อ ตื่นขึ้นจากความรู้สึกหวาดเกรงและความเล็กน้อยบางเบาในฉับพลัน
เมื่อมองไปอีกครั้ง มังกรยักษ์ตัวนั้นก็เป็นเพียงแค่ภูเขาสีเทาลูกใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่ง เพียงแค่รูปร่างคล้ายกับมังกรเท่านั้น ไม่มีกลิ่นอายแห่งความยิ่งใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์ และสูงส่งแบบที่เห็นในตอนแรกอีก
“กร่อนภูเขาเป็นมังกร รวมวิญญาณเป็นค่ายกล ลงทุนลงแรงไม่น้อย! แต่เสียดาย ไร้ซึ่งชีวิตชีวา ไม่อาจมองเห็นทิวทัศน์เมื่อวันวานของภูเขาลูกนี้ได้อีก…”
ซูอี้รู้สึกเสียดาย
เขาเบนสายตามองไปยังจุดสูงสุดที่อยู่ไกลออกไปของภูเขาลูกนั้น ตำแหน่งส่วนหัวมังกร มีเจดีย์ตั้งตระหง่าน
“พวกเราจะไปที่นั่น”
ซูอี้พุ่งออกไปในทันใด
หนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ รีบติดตามไปติด ๆ เดินทางมาจนถึงตอนนี้ ซูอี้กลายเป็นแกนนำของพวกเขาไปเสียแล้ว
หากว่าพวกเขามากันเอง คงไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปเช่นนี้
ขณะที่เดินขึ้นเขาที่คดเคี้ยว ราวกับเดินอยู่บนหลังมังกรยักษ์ ตลอดทางไม่พบเหตุการณ์อะไรอีก
ทว่าซูอี้สังเกตพบว่าแต่ละจุดของเทือกเขานี้มีความพิถีพิถัน เคยถูกตั้งภาพค่ายกลลี้ลับยากคาดเดา
แต่เสียดาย ชีวิตชีวาของเทือกเขานี้ได้มลายหายไปสิ้นตั้งนานแล้ว ภาพค่ายกลเหล่านั้นก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน
ทว่า ซูอี้สามารถคาดเดาได้คร่าว ๆ ว่าเทือกเขาลักษณะคล้ายมังกรแห่งนี้เหมือนกับแท่นบูชาหนึ่งร้อยแปดแท่นในหุบเขามารบุปผาโลหิต พร้อมสรรพด้วยกำลังแห่งการสะกด ผนึก และกักขัง!
เพียงแต่ว่าเทือกเขาแห่งนี้มีไว้เพื่อสะกดกำลังอันใด ก็ไม่อาจทราบได้
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ
พวกของซูอี้ก็มาถึงยอดเขา ซึ่งเป็นส่วนหัวมังกรนั่นเอง
เดินเข้าไปใกล้จึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน เจดีย์ที่ตั้งตระหง่านแห่งนั้นสูงถึงร้อยจั้ง มีลักษณะเป็นรูปแปดเหลี่ยม ปลายหลังคางอนชะโงก สูงใหญ่โดดเด่น
ตัวเจดีย์เป็นสีดำสว่างใส แบ่งออกเป็นเก้าชั้น หน้าประตูใหญ่ชั้นล่างสุดมีป้ายหินสองแผ่นตั้งวาง
แผ่นหินบิ่นแตกไปแล้ว ทว่ายังคงสามารถมองเห็นตัวอักษรที่สลักอยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ ไม่ว่าจะเป็นหนิงซือฮวา มู่ซี หรือหลานซัว ต่างก็อ่านตัวอักษรเหล่านั้นไม่ออก และไม่เคยเห็นอักษรเช่นนั้นมาก่อน ตัวอักษรแปลกประหลาดบิดเบี้ยวคดงอราวกับไส้เดือน
ด้วยสามัญสำนึก พวกเขาจึงเบนสายตามองไปที่ซูอี้
ดังคาด ตามที่พวกเขาคิดไว้ไม่ผิด ซูอี้ชี้ไปที่ป้ายหินที่อยู่ข้างซ้าย แล้วกล่าวคำออก
“บนนี้สลักอักษรสันสกฤตของนิกายมหายาน อ่านได้ว่า ‘วัดวิปัสสนาปัญญา’”
เขาเบนสายตาไปที่ป้ายหินข้างขวา กล่าว “ตัวอักษรบนนี้เป็น ‘อักษรลับวิญญาณแท้’ ซึ่งเป็นตัวอักษรโบราณที่สร้างขึ้นจากที่ตั้งแห่งวิญญาณแท้ ว่ากันว่า ตัวอักษรเช่นนี้สร้างตามรอยวิถีอันเป็นที่ตั้งในร่างโดยกำเนิดแห่งวิญญาณแท้ แต่ละขีดหล่อหลอมด้วยรอยมหาวิถีอันมีเอกลักษณ์ มีความลี้ลับอย่างที่สุด”
ซูอี้จ้องดูป้ายหินแผ่นนั้นแล้วครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงกล่าว “อักษรลับวิญญาณแท้บนนี้อ่านได้ว่า ‘สถานที่ต้องห้ามมังกรบาป’”
หนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ ต่างก็นิ่งเงียบไป ภายในใจมีแต่ความตื่นตระหนก
หนิงซือฮวายังดีหน่อย อย่างน้อยนางยังเคยได้ยินตัวอักษรสันสกฤตนิกายมหายาน รู้ว่าเป็นตัวอักษรโบราณที่มีต้นกำเนิดมาจากสำนักพุทธ
ทว่ามู่ซีกับหลานซัวได้แต่พากันงง ตัวอักษรสันสกฤตนิกายมหายานก็ดี ตัวอักษรลับวิญญาณแท้ก็ดี อย่าว่าแต่เห็นเลย พวกเขาไม่เคยแม้กระทั่งได้ยินมาก่อน
เพราะเหตุนี้ เมื่อซูอี้เอ่ยความหมายของตัวอักษรบนแผ่นหินออกมา พวกเขาถึงรู้สึกตื่นตระหนกเป็นพิเศษ
ในใจอดสงสัยไม่ได้ ในโลกนี้ยังมีอะไรที่ซูอี้ไม่รู้บ้าง?
“วัดวิปัสสนาปัญญา คงจะเป็นชื่อของกองกำลังผู้บำเพ็ญแห่งวิถีพุทธในที่แห่งนี้ ส่วนสถานที่ต้องห้ามมังกรบาป…” ซูอี้ครุ่นคิด “หรือว่า ภายในภูเขาลูกนี้ เคยสะกดมังกรแท้ที่ทำความผิดมหันต์ไว้?”
คิดถึงตรงนี้แล้ว ซูอี้ก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เคยเห็น…
หลวงจีนชุดขาวขี่มังกรท่องหมู่ดาว!
“วัดวิปัสสนาปัญญาแห่งนี้ช่างน่าสนใจขึ้นมาแล้ว ไป พวกเราเข้าไปดูกัน”
ซูอี้ไม่เสียเวลาอีก ย่างเท้าเดินเข้าไปในเจดีย์ชั้นที่หนึ่ง
ผลักประตูเข้าไปก็เห็นชั้นที่หนึ่งของเจดีย์เป็นตำหนักกว้างขวางโอ่อ่า
เสาหินสามสิบหกต้นตั้งตระหง่าน บนผนังรอบสี่ด้านแขวนตะเกียงทองสัมฤทธิ์หลายดวง แสงตะเกียงบริสุทธิ์สว่างจ้า มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ให้ความรู้สึกสงบใจ
ซูอี้ทำจมูกฟุดฟิด พลางกล่าว “จุดตะเกียงด้วยน้ำมันพุทธ สามารถส่องสว่างไม่มีดับ ดูท่าแล้วในช่วงเวลาที่วัดวิปัสสนาปัญญาแห่งนี้รุ่งโรจน์คงจะมีผู้มากความสามารถประจำอยู่ที่นี่ไม่น้อย”
มองดูผนังรอบสี่ด้านอีกครั้ง ถึงแม้ภาพลวดลายที่วาดแต่ละภาพจะถูกวันเวลากัดกร่อนเสื่อมสลายไปมากแล้ว แต่ยังคงมองเห็นได้ว่านั่นคือภาพถ่ายทอดธรรม ในภาพมีมังกรฟ้าโลดแล่น พญาหงส์โบยบิน ดอกสวรรค์โปรยปราย หลวงจีนมากมายดั่งก้อนเมฆบนท้องฟ้า…
ทั้งหมดนี้ล้วนเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม
ทว่าหัวคิ้วของซูอี้กลับย่นขึ้นมา รู้สึกตะหงิด ๆ ถึงความไม่ชอบมาพากล