บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 282 ดาบเดียวก็ทลาย!
ตอนที่ 282: ดาบเดียวก็ทลาย!
ตอนที่ 282: ดาบเดียวก็ทลาย!
ที่แท้แล้วตรงไหนกันแน่ที่ไม่ชอบมาพากล?
ซูอี้สงบใจตั้งสมาธิ แล้วเพ่งจิตสัมผัสออกไป สัมผัสรับรู้ถึงตำหนักยิ่งใหญ่ชั้นที่หนึ่งของเจดีย์แห่งนี้ทั่วทุกซอกทุกมุม
ตำหนักแห่งนี้โอ่อ่ากว้างขวาง สามารถรองรับหลวงจีนนั่งวิปัสสนากรรมฐานสวดพระธรรมได้เป็นพันรูป เสาหินสามสิบหกต้นตั้งตระหง่าน บนเสาแต่ละต้นสลักอักษรสันสกฤตที่มีความลึกลับซับซ้อน
อืม?
เมื่อจิตสัมผัสของซูอี้ตรวจจับไปไกลเกือบจะถึงระยะยี่สิบจั้ง จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกติดขัดขึ้นมา ในสมองปรากฏภาพค่ายกลขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
“ที่แท้แล้วก็เป็นค่ายกลใหญ่ที่ซ่อนอำพรางตัวนั่นเอง…”
ฉับพลัน ซูอี้ก็เข้าใจได้ถึงสาเหตุของความไม่ชอบมาพากล
“พวกเจ้าระวังตัวกันหน่อย ที่ตรงนี้มีค่ายกลใหญ่ปกคลุม หากว่าข้าเดาไม่ผิด คงจะเป็นผู้บำเพ็ญตนของวัดซ่างหลินเหล่านั้นเป็นผู้ตั้ง”
ซูอี้กล่าวเตือนเบา ๆ
ทว่าเขากลับใช้กำลังแห่งจิตสัมผัสรับรู้ถึงความลี้ลับของค่ายกลใหญ่ซ่อนเร้นแห่งนั้นอย่างสงบ
หนิงซือฮวา มู่ซี กับหลานซัวจับอาวุธของตนเองอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
หนิงซือฮวาถือง้าวจันทร์แรมเพลิงครามด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายกำดาบเรียวยาวดังปลาล้อน้ำสีแดงชาดทั้งเล่ม
มู่ซีถือหอกรบสีทอง เตรียมตัวพร้อม
คนที่เกินเหตุที่สุดคือหลานซัว นางหยิบจี้หยกอักขระลึกลับที่แขวนคอออกมา เหน็บมีดบินสีทองคู่ใจข้างเอว ใช้ดาบหยกแหลมเล็กสีม่วงเลื่อมทั้งเล่มเหน็บผม แล้วหยิบเกราะป้องกันข้อมือทั้งสองที่สลักอักขระซับซ้อนออกมาใส่…
คิดสักครู่ ราวกับยังไม่วางใจ นางหยิบยันต์หยกวิถีต้นกำเนิดปึกหนามาถือเต็มมือสองข้าง จากนั้นจึงพ่นลมออกจากปากด้วยความผ่อนคลาย ดวงตาใสหยดเยิ้มเริ่มคันไม้คันมือขึ้นมา
ภาพทั้งหมดนี้ทำให้มู่ซีตาแทบลาย!
เคยเห็นคนแต่งตัวพร้อมรบ แต่ไม่เคยเห็นใครถูกของวิเศษปกคลุมทั่วร่างเช่นนี้มาก่อน!
หนิงซือฮวาแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา หากว่านี่คือการจับกลุ่มรวมกันของผู้นิยมการต่อสู้ประเภทหนึ่ง ควรจะเรียกว่าเป็น… กลุ่มทุ่มเงินหรือไม่นะ?
คงรู้สึกอึดอัดที่ถูกคนทั้งสองมอง หลานซัวจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยความขัดเขิน
“ตอนที่ข้าออกบ้านมา ผู้อาวุโสในบ้านยัดเยียดให้ข้า บอกว่าลูกผู้หญิงอยู่นอกบ้านจะต้องปกป้องดูแลตัวเองให้ดี เอ่อ… ไม่ต้องประหลาดใจไปหรอก”
หนิงซือฮวากับมู่ซีต่างก็เบนสายตาไปทางอื่น แอบทอดถอนใจว่า คนเรานี่นะ เกิดมาไม่เท่าเทียมกัน!
ชิ้ง!
เวลานี้เอง ซูอี้ตวัดดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือ ดาบพุ่งออกไป
ฉับพลันที่ดาบสีดำฟาดฟันออกไป มันแฝงไว้ซึ่งจังหวะวิถีลี้ลับยากจะคาดเดา พุ่งเข้าไปในอากาศว่างเปล่าที่อยู่ไกลออกไปยี่สิบจั้ง
โครม!
สะเก็ดไฟแตกกระเซ็น ยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ค่ายกลใหญ่ที่ปกคลุมด้วยพุทธรังสีทองปรากฏท่ามกลางสายตาของทุกคน
ทว่าหลังจากที่ดาบของซูอี้ฟันลงไป ราวกับฟาดโดนหลังงู ฉับพลันค่ายกลใหญ่สีทองที่มีพลังยิ่งใหญ่นั้นมลายหายไปสิ้นพร้อมกับเสียงดึงกึกก้องราวกับกระดาษถูกฉีกเป็นเศษเล็กเศษย่อย
“นี่…”
“ผู้ใดกันที่บังอาจถึงเพียงนี้ กล้าทำลายงานใหญ่ของข้า?”
เสียงโกรธเกรี้ยวโหวกเหวกดังขึ้น
ลึกเข้าไปในตำหนักใหญ่มีหลวงจีนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ต่างก็มองมายังซูอี้กับพรรคพวกด้วยสีหน้าโกรธไม่พอใจ
“โยมทุกท่านสามารถมีชีวิตจนมาถึงที่แห่งนี้ได้ เกินความคาดหมายของอาตมานัก”
ทันใดเสียงอันหนักหน่วงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ผู้ที่พูดก็คือเจวี๋ยเหิงนั่นเอง
หลวงจีนที่อยู่ข้างกายมีมากถึงสิบเจ็ดรูป บนตัวหลวงจีนแต่ละรูปล้วนมีพลังของบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์แผ่กระจาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงจีนเฒ่าผู้เป็นหัวหน้าผู้มีคิ้วขาวเคราขาว พลังในตัวน่าเกรงขามที่สุด น่ากลัวยิ่งกว่าหลวงจีนอีกสิบเจ็ดรูปมาก
ทว่าจุดที่ไกลออกไปของตัวตำหนักกลับมีการต่อสู้อย่างดุเดือด
คน ๆ นั้นเป็นหลวงจีนหนุ่มรูปงาม สวมจีวรที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ หน้าตารูปลักษณ์น่ายำเกรง
มือหนึ่งของเขาประคองบาตรสีม่วง มือหนึ่งตวัดดาบตัดกิเลสสีขาวสว่างประดุจหิมะ พุทธรังสีในตัวส่องสว่างเจิดจ้าไปถึงหมื่นจั้ง อานุภาพน่าหวาดเกรง
สิ่งที่น่าตื่นตระหนกก็คือ คู่ต่อสู้ของหลวงจีนหนุ่มรูปนั้นคือมังกรแท้สีทอง! ขนาดของมันยาวจั้งกว่า ๆ มีพลังน่าหวาดกลัวแผ่กระจายออกมาจากทั่วตัว
เสียงร้องคำรามของมังกรดุจดั่งเสียงฟ้าผ่า อานุภาพมังกรอันน่ากลัวแผ่กระจายออกมาจากตัวมังกรที่ยาวจั้งกว่า ๆ ดุจดังคลื่นมหาสมุทรลูกยักษ์สามารถพังทะลายภูเขาได้
เพียงแค่มองดูไกล ๆ ก็รู้สึกหายใจติดขัดแล้ว
“ในโลกนี้มีมังกรอยู่จริงหรือ?”
มู่ซีตื่นตระหนกจนหนังหัวชาไปหมด
หนิงซือฮวากับหลานซัวก็ตื่นตระหนกกับภาพที่เห็นเช่นนี้ หลวงจีนของวัดซ่างหลินเหล่านี้ต้องการจะปราบมังกร ณ ที่แห่งนี้!!
หากว่าไม่ได้มาเห็นกับตา ใครกันจะกล้าเชื่อ?
“ในโลกนี้มีมังกรอยู่จริง แต่ตัวที่เห็นตรงหน้านี้ไม่ใช่มังกรแท้ แต่เป็นอานุภาพของหยดเลือดเข้มข้นของมังกรแท้หยดหนึ่งแสดงออกมา”
ดวงตาลุ่มลึกของซูอี้ลุกวาว
มังกรแท้เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่สูงส่งและโบราณที่สุดในบรรดาสัตว์วิญญาณแท้จริง! มีอานุภาพยากเกินจะคาดเดา ดุจดั่งเทพเทวาที่ดำรงอยู่ในโลก มีความแกร่งกล้าอย่างเหลือเชื่อ
แม้กระทั่งในสายตาของผู้ฝึกตนขอบเขตจักรพรรดิ การดำรงอยู่ของมังกรแท้ก็ยังเป็นตัวตนที่เรียกได้ว่าดุร้ายไร้เทียมทาน แข็งแกร่งจนไม่อาจคาดประมาณได้
สิ่งมีชีวิตเช่นนี้ มีพรสวรรค์เกินธรรมดา มีมหาบารมีแต่กำเนิด ใหญ่จนสามารถสร้างความโกลาหลไปทั่วแผ่นฟ้า เล็กจนสามารถซ่อนตัวในผงธุลี ขี่เมฆขับวายุ เดินทางไปทั่วท้องนภา!
เพียงแต่ว่า มังกรแท้นั้นลึกลับจึงพบเห็นได้ยาก แทบจะดำรงอยู่แต่ในตำนานเท่านั้น
ณ เก้ามหาแดนดิน ในวันเวลาที่ยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่เคยพบเห็นสิ่งมีชีวิตลึกลับเช่นนี้จริง ๆ แทบสามารถนับจำนวนคนได้!
ส่วนใหญ่แล้ว ข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับมังกรแท้จะเป็นคำเล่าลือที่ไร้ซึ่งหลักฐาน
ถึงแม้เมื่อชาติก่อนจะเคยอยู่ในเก้ามหาแดนดิน ทว่าซูอี้เคยเห็นเพียงแค่รังที่มังกรแท้ทิ้งไว้และเก็บเกล็ดมังกรที่บิ่นแตกมาได้บ้างเท่านั้น
มังกรแท้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยเห็นแม้แต่สักครั้ง
ทว่าตอนนี้ ณ ซากปรักหักพังซึ่งอยู่ในส่วนลึกของขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาแห่งนี้ ภายในเจดีย์เก้าชั้นซึ่งอยู่บนยอดเขารูปร่างมังกรแห่งนี้ กับมังกรซึ่งแปลงมาจากโลหิตหนึ่งหยดแห่งมังกรแท้ปรากฏ!
ซูอี้ถึงกับตื่นตระหนก ไม่คาดคิดมาก่อน
เพราะที่แห่งนี้คือโลกธรรมดาสามัญ!
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด หลวงจีนสิบแปดรูปของวัดซ่างหลินก็โอบล้อมเข้ามา แต่ละคนดุดันน่ากลัว
“สถานที่แห่งนี้มีอันตรายร้ายแรง เชิญโยมทุกท่านย้อนกลับไปทางเดิม อย่าได้เอาชีวิตตัวเองเข้ามาเสี่ยง”
หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวเคราขาวพนมมือพลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เสียงดังราวกับเสียงระฆังยามทำวัตรเช้า มีความน่าเกรงขามไม่อาจบิดพลิ้ว
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “หลวงจีนทั้งหลาย ข้าช่วยพวกเจ้ากำราบสิ่งดุร้ายนี้เป็นอย่างไร?”
หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวกล่าวสีหน้าราบเรียบ “โยมทุกท่านมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้ จักต้องเก่งเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปเป็นแน่ ทว่าหากไม่เชื่อฟังคำกล่าวเตือน ยังคงหลับใหลไม่ตื่น จักต้องเจอภัยถึงชีวิต”
ขณะนี้เอง หลานซัวมองไปที่หลวงจีนหนุ่มที่อยู่ไกลออกไปรูปนั้น ทันใดนั้นก็โพล่งออกมา
“ผู้อาวุโสจิงเหอ ข้าคือหลานซัวศิษย์สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน อาจารย์ข้าคือ ‘ท่านอวิ๋นหลางซ่างเหริน’ หากว่าต้องต่อสู้กัน จะไม่เป็นการดีต่อพวกเราทั้งสองฝ่าย ตามความเห็นของข้า สู้พวกเราช่วยกันสยบตัวรูปร่างมังกรนั้นร่วมกัน จากนั้นแบ่งปันโอกาสนี้อย่างเท่าเทียมกัน เป็นอย่างไร?”
พวกของหลวงจีนคิ้วขาวต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
ท่านอวิ๋นหลางซ่างเหริน!
เขาเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดผู้มีกำลังการต่อสู้เป็นอันดับหนึ่งของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน! เป็นหนึ่งในสามนักดาบผู้แข็งแกร่งที่สุดในต้าฉิน มีอานุภาพไปทั่วแปดดินแดนสี่ทะเล!
ทว่าตอนนี้ ศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงของท่านอวิ๋นหลางซ่างเหรินมาถึงที่นี่แล้ว ใครจะกล้ามองข้าม?
พอเห็นสีหน้าของหลวงจีนเหล่านั้นแล้ว มู่ซีก็รู้แล้วว่าอาจารย์ของหลานซัวมีกิตติศัพท์น่าเกรงขามมากเช่นกัน
แต่ที่ผิดจากความคาดหมายของทุกคนคือ หลวงจีนหนุ่มจิงเหอที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อย่าว่าแต่เจ้าผู้เป็นเพียงแค่ศิษย์ของท่านอวิ๋นหลางซ่างเหรินเลย ต่อให้อวิ๋นหลางซ่างเหรินมาด้วยตนเอง ก็อย่าคิดเลยว่าจะแย่งโชคลาภในมือวัดซ่างหลินของพวกเราไปได้!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวเด็ดขาด
หลานซัวหน้าสลดไปในทันใด บนดวงตางดงามปรากฏประกายความโกรธและอับอาย ราวกับไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้อาวุโสจิงเหอแห่งหอสยบมังกรของวัดซ่างหลินจะไม่ไว้หน้ากันถึงเพียงนี้
สีหน้าของหลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวเปลี่ยนไป มีแต่ความความเย็นชา
“ทุกท่าน จงถอยไป!”
หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวกล่าวเสียงเคร่งเครียด สายตาน่ากลัวประดุจดวงไฟ
สีหน้าของหลวงจีนรูปอื่น ๆ ล้วนไม่เป็นมิตร
“เป็นผู้บำเพ็ญตน ทว่าจิตใจเข่นฆ่าและละโมบกลับรุนแรงถึงเพียงนี้ ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากวิถีอสูรร้ายเหล่านั้นเลย” ซูอี้ส่ายหน้า
เมื่ออดีตชาติ เขาเคยถกพระธรรมกับหลวงจีนผู้สามารถของ ‘แดนบูรพาน้อย’ อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของสำนักพุทธ ความโอบอ้อมอารี จิตใจเอื้อเฟื้อ และสติปัญญาเช่นนั้นทำให้ซูอี้ชื่นชมและนับถือเป็นอย่างมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว เหล่าหลวงจีนตรงหน้านี้ไม่คู่ควรเหมาะสมที่จะเรียกตนว่าเป็นผู้ฝึกธรรมเลย
“คนชั่ว เจ้ายังกล้าทำปากดีอีก สมควรลงนรกรับโทษตัดลิ้นยิ่งนัก!”
เจวี๋ยเหิงตะคอกด้วยความโกรธ ก่อนหน้านี้เขาเคยประมือกับซูอี้ มีความไม่พอใจอยู่ก่อนหน้าเป็นทุนเดิม พอเห็นว่าซูอี้ดูแคลนพวกเขา จึงแสดงความโกรธออกมาในทันใด
ซูอี้คร้านจะพูดพล่ามด้วย แล้วชูดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือขึ้น ฟันออกไปในระยะไกล
สวบ!
พลังดาบส่องประกายสว่างเจิดจ้า ราวกับสายรุ้งยาวสีเขียวแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายแห่งความไร้เทียมทาน ฟันไปที่ตัวของเจวี๋ยเหิง
หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวขมวดคิ้ว ซัดฝ่ามือออกไปกลางอากาศ
ฟิ้ว!
ฝ่ามือสีทองส่องประกาย มีขนาดใหญ่ประมาณแท่นบด ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า อานุภาพยิ่งใหญ่
แต่เมื่อปะทะกับดาบของซูอี้แล้ว ฝ่ามือสีทองนี้ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนในทันใด เกิดเป็นเสียงดังกึกก้องจนแสบแก้วหู
ทว่าพลังดาบของซูอี้ยังคงไม่ลดกำลัง พุ่งฟันไปที่ตัวเจวี๋ยเหิง
เจวี๋ยเหิงหลบโดยสัญชาตญาณ
ปัง!!!
ดาบพุ่งแทงจุดที่เจวี๋ยเหิงยืนแต่เดิมอย่างหวุดหวิด ขณะที่สะเก็ดไฟเจิดจ้าแสบตาของดาบแตกกระเซ็น แทงโดนผิวของเจวี๋ยเหิง เจ็บจนหน้าเปลี่ยนสี
เพียงแค่ดาบเดียว อานุภาพรุนแรง ทำให้หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวกับพรรคพวกพากันแสดงสีหน้าคลางแคลง รู้ถึงความร้ายกาจของซูอี้
“บาปกรรม ปล่อยไว้ไม่ได้ ศิษย์น้องทั้งหลายจงลงมือพร้อมกับข้า ฆ่าคนชั่วเหล่านี้ให้หมด ขจัดภัยร้ายแก่โลกมนุษย์!”
หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวกล่าวเสียงเครียด
“อมิตาพุทธ!”
หลวงจีนอื่น ๆ สิบเจ็ดรูปส่งเสียงรับพร้อมกัน
จากนั้น หลวงจีนวัดซ่างหลินจากอาณาจักรต้าฉินผู้อยู่ในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เหล่านี้ก็ลงมืออย่างดุดัน
ครืน!
อานุภาพในตัวของพวกเขาระเบิด แขนเสื้อพองโต หยิบอาวุธวิเศษออกมา เช่น ดาบตัดกิเลส ไม้เท้าสมาธิ ไม้เรียวตัดกิเลส กระบองยาว ดาบพิทักษ์กฎ บาตร เป็นต้น
จากนั้น พวกเขาเคลื่อนย้ายร่างกาย เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้นก็กลายเป็นค่ายกลต่อสู้ที่มีกลิ่นอายแห่งความน่ากลัวและดุดัน
ใบหน้าเรียวงามของหลานซัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่งเสียงกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “นี่คือ ‘ค่ายกลพระโพธิสัตว์ปราบมาร’ ของอารามหลานฮั่นแห่งวัดซ่างหลิน โดยมีบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์สิบแปดรูปแสดงกำลังพร้อมกัน สื่อพลังถึงกันและกัน มีอานุภาพร้ายแรง สามารถกักขังเทพเซียนเดินดินได้!“
ไม่ได้กล่าวเกินกว่าเหตุเลย เมื่อหลายปีก่อน อาณาจักรต้าฉินเคยมีเทพเซียนเดินดินอยู่ท่านหนึ่ง แต่โดน ‘ค่ายกลพระโพธิสัตว์ปราบมาร’ ของวัดซ่างหลินจับกุมตัว สุดท้ายถึงแม้จะหนีการจับกุมได้ ทว่าได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส!
ครืน!
ขณะที่พูด พวกของหลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวก็บุกโจมตีเข้ามาโดยอาศัยอานุภาพของค่ายกลต่อสู้ บนตัวของแต่ละคนปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า หน้าตาดุดันน่าสะพรึงกลัว
ทั้ง ๆ ที่มีด้วยกันถึงสิบแปดคน ทว่าต่างให้ความร่วมมือประสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไร้ซึ่งช่องโหว่ ไม่อาจบุกโจมตีได้
ชั่วขณะนั้น หนิงซือฮวากับมู่ซีเพ่งสายตาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทว่าซูอี้กลับแสดงสีหน้าดูแคลนออกมา
“เช่นนี้ก็คู่ควรเรียกว่าค่ายกล? ก็เพียงแค่วิชารวมพลังต่อสู้ธรรมดามากวิชาหนึ่งเท่านั้น ดาบเดียวก็ทลาย!”
เสียงราบเรียบเพิ่งดังขึ้น ซูอี้ก็เดินไปข้างหน้า