บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 284 พ่ายแพ้
ตอนที่ 284: พ่ายแพ้
ตอนที่ 284: พ่ายแพ้
ซูอี้รู้สึกมีความสุขมาก
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกถึงโลหิตในกายที่เดือดพล่านซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว และจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาดูเหมือนจะถูกจุดขึ้น
ในการต่อสู้ที่ผ่าน ๆ มา ส่วนใหญ่เขาจบการต่อสู้ด้วยดาบเดียวทั้งนั้นซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเปล่าเปลี่ยว
และตอนนี้ แม้ว่าจิงเหอเพิ่งจะทะลวงระดับการบ่มเพาะ แต่อีกฝ่ายก็นับเป็นเทพเซียนเดินดินซึ่งการเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ทำให้ซูอี้พบกับความสนุก
ผู้ฝึกตนพัฒนาได้ด้วยการการต่อสู้
หากไม่มีการต่อสู้ จะมีสิ่งใดลับคมวิถีแห่งดาบได้?
ซูอี้ต่อสู้อย่างตรงไปตรงมาราวกับคนคลุ้มคลั่งทว่าไร้เทียมทาน เขาร่ายรำดาบอย่างอิสระด้วยพลังใจอันสูงล้ำ
ในมือของเขา ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าส่งเสียงคำรามก้องชัดเจนและเต็มไปด้วยเจตจำนงสังหาร ปราณดาบทุกครั้งที่ฟาดฟันออกแฝงไปด้วยอำนาจอันล้นพ้นราวกับสามารถพลิกท้องฟ้า
บางครามันบังเกิดเป็นประกายแสงเจิดจ้าประหนึ่งดวงอาทิตย์สาดแสง
บางคราปราณดาบนั้นใสดั่งผลึก สยบออกไปทั้งทศทิศ
หรือ…
ความลึกล้ำของเพลงดาบสุดปรีดี ถูกสำแดงออกอย่างสุดขีดโดยซูอี้ในการต่อสู้ครั้งนี้
ในทางกลับกันทางด้านของหลวงจีนหนุ่มจิงเหอ ยิ่งเมื่อการต่อสู้ดำเนินไปใบหน้าของเขาก็ยิ่งมืดหม่นขึ้นเรื่อย ๆ
ในท้ายที่สุด คิ้วของเขาขมวดแน่นอย่างควบคุมไม่ได้
จิงเหอที่เพิ่งฝ่าทะลวงระดับการบ่มเพาะ คิดว่าตนเองสามารถล้มซูอี้และคนอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย
แต่ใครจะคิดว่าซูอี้เพียงผู้เดียวก็สามารถทัดเทียมตนเองได้แล้ว!
เขาใช้ทั้งทักษะลับเฉพาะตัว ปลดปล่อยท่าไม้ตายก้นหีบของตนเอง และแม้กระทั่งใช้พลังแห่งแสงธรรมอันเหนือธรรมชาติโดยไม่มีออมแรง แต่ซูอี้กลับแก้ไขทุกสิ่งอย่างได้อย่างง่ายดาย
หากไม่ใช่เพราะเขามั่นใจเต็มสิบส่วนจากกลิ่นอายพลังของซูอี้ว่าอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสอง เขาคงไม่มีทางเชื่อแน่นอนว่าจะมีสัตว์ประหลาดที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ในโลกนี้!
สิ่งที่ทำให้จิงเหอเหลือเชื่อยิ่งขึ้นก็คือยิ่งการต่อสู้ดำเนินไป พลังดาบของซูอี้ก็ยิ่งรุนแรงและน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนถึงตอนนี้ มันทำให้เขารู้สึกกดดัน และความกดดันยังคงเพิ่มขึ้น!
เป็นไปได้อย่างไร?
ชายผู้นี้ยังเป็นมนุษย์จริง ๆ งั้นหรือ?
สัตว์ประหลาดเช่นนี้ดำรงอยู่ในดินแดนต้าโจวตั้งแต่เมื่อใดกัน
หรือเป็นไปได้หรือไม่ว่าชายผู้นี้คือสัตว์ประหลาดเฒ่าที่สวมใส่หนังคนหนุ่ม?
ความสงสัยมากมายท่วมท้นในใจของจิงเหอ
ไม่!
เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว!
จิงเหอตระหนักว่าถ้าเขาไม่เปลี่ยนสถานการณ์การต่อสู้นี้ มันจะเป็นเขาเองที่ถูกพลิกกระแสการต่อสู้!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขากัดฟันแน่นและแววตาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“โคจรเต็มกำลัง!”
กลิ่นอายร่างกายของจิงเหอกล้าแกร่งยิ่งกว่าเดิม ทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยพุทธรังสีสีทองหนาแน่น และจากนั้นพลังทั้งหลายเริ่มหลั่งไหลไปยังดาบสั้นในมือของเขาจนมันเปล่งประกายเป็นสีทองเข้มคล้ายกับกำลังถูกหลอมเดือด
ตูม!
ห้องโถงสั่นสะเทือน และไม่ว่าจะเป็นหนิงซือฮวา คนอื่น ๆ หรือหลวงจีนทั้งหลายล้วนตระหนักว่าขณะนี้ปราณวิญญาณที่ไหลเวียนในห้องโถงถูกดึงเข้าหาจิงเหออย่างบ้าคลั่ง
ร่างของจิงเหอขณะนี้ลอยอยู่กลางอากาศ อากาศโดยรอบหมุนวนพุ่งเข้าหาเขา ทำให้คล้ายเกิดพายุหมุนอันน่าสะพรึงกลัว
ในพายุนั้น เปลวไฟสีทองกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง
เมื่อมองจากระยะไกล ร่างของหลวงจีนหนุ่มจิงเหอคล้ายเหมือนพระพุทธองค์ประทับอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงใจกลางพายุ ปลดปล่อยแรงกดดันจนทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน
“นี่…”
หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกถึงกลิ่นอายที่อันตรายอย่างยิ่ง
“เผาผลาญพลังชีวิตและจิตวิญญาณของตนเองเพื่อฝืนบังคับใช้พลังฟ้าดิน… สิ่งนี้ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายแม้แต่น้อย”
เมื่อเห็นฉากนี้ ซูอี้อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการเป็นหินลับดาบของข้าอีกต่อไป เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปตามทาง”
ซูอี้เหยียดร่างกายของตนเอง
ปราณวิญญาณในร่างโคจรรุนแรงจนมีเสียงสูบฉีดดังลั่นคล้ายแม่น้ำแยงซีไหลบ่า ผิวพรรณอันเรียบเนียนราวกับหยกปูดโปนไปด้วยเส้นลมปราณอันแข็งตึง
ทั้งจิตวิญญาณ ลมปราณ โลหิต รากฐานการบ่มเพาะและความแข็งแกร่งทางกายภาพทั้งภายในและภายนอกถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ในขณะนี้ จนก่อเกิดเป็นสภาวะกล้าแกร่งอย่างที่ซูอี้ที่ไม่เคยสำแดงมาก่อน
“ตัด!”
ทันใดนั้น จิงเหอผู้ซึ่งเตรียมพร้อมอย่างสุดขีดตะโกนอย่างดุดันก่อนจะสับดาบสั้นในมือออกอย่างสุดแรง
ตูม!
พลังแห่งสวรรค์และโลกอันยิ่งใหญ่ที่เขาควบแน่นในดาบสั้นถาโถมออกเสมือนน้ำหลากจากเขื่อนซึ่งพังทลาย มันกวาดไปทางซูอี้ประหนึ่งฟ้าถล่ม
ความน่าตื่นตาของพลังนี้อยู่ไกลเกินจินตนาการของเหล่าผู้ชมทั้งหลาย
ห้องโถงกว้างใหญ่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อากาศถูกแยกจนเห็นชัดเจนด้วยตาเปล่าจากปราณดาบยาวหลายสิบจั้งซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
ปราณดาบนี้รุนแรงเสมือนใบมีดที่ลุกโชติช่วงด้วยดวงอาทิตย์ทองคำ ปล่อยแรงกดดันฉีกกระชากสรรพสิ่งออกได้เป็นสอง
เมื่อเห็นฉากนี้ หนิงซือฮวา และคนอื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้และหลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวต่างก็กลั้นหายใจและมองดูพวกเขา
ดาบสั้นนี้ไร้เทียมทานนัก!
ซูอี้จะต่อต้านอย่างไร?
ทว่าสีหน้าของซูอี้ยังคงไม่แยแส ดวงตาของเขาไม่สั่นคลอน และลึกลงไปในหัวใจของเขา เจตนาฆ่าที่ยาวนานปะทุขึ้นในทันใด
ชิ้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าสั่นสะท้าน และพร้อมกับการท่องบทสวดโบราณแปลก ๆ ซูอี้แทงดาบออกไปอย่างฉับพลัน
ทว่าดาบนี้ดูไม่น่าตื่นตาเลยแม้แต่น้อย มันดูธรรมดาคล้ายเป็นการแทงดาบออกโดยมนุษย์ธรรมดาผู้ไร้ซึ่งปราณวิญญาณ
แต่ในความเป็นจริงนั้น เหตุผลที่ดาบนี้ดูธรรมดาเป็นเพราะพลังทั้งหมดที่อัดแน่นอยู่ในดาบเล่มนี้ถูกจำกัดไว้จนสุดขั้ว และไม่มีการรั่วไหลแม้แต่เล็กน้อย
มันไร้ซึ่งการรั่วไหลของพลังจนมองด้วยตาเปล่าแลเห็นเป็นความเรียบง่ายอย่างสุดแสน
แต่แล้ว ทันใดนั้นเมื่อดาบสำแดงอำนาจของมันออกมา
ตูม!
ทุกคนต่างรู้สึกประหนึ่งวิญญาณถูกทิ่มแทง และในภวังค์ พวกเขาคล้ายเห็นปราณดาบลอยหนาแน่นเต็มท้องฟ้า ปล้นชิงพลังแห่งการสร้างสรรค์จนหมดสิ้น ดาบนี้หาใช่สิ่งที่ใช้ออกได้โดยมนุษย์ปุถชนคนเดินดิน แต่มันคือดาบที่สำแดงได้เฉพาะเทพเซียนอมตะบนท้องฟ้า มันสามารถสยบโลกปุถุชนได้โดยไม่อาจมีใครสามารถจะขัดขืน
แน่นอนว่านี่เป็นภาพมายาที่เกิดจากผลกระทบของดาบของซูอี้ต่อจิตใจของผู้คน
ในขณะเดียวกันนี้ ดาบของจิงเหอซึ่งดูคล้ายจะสามารถแยกฟากฟ้าออกเป็นสองได้บรรจบกับดาบของซูอี้อย่างรุนแรง
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดราวกับฟ้าถล่มดังสนั่นหวั่นไหวไปนับสิบลี้ ปราณดาบยาวหลายสิบจั้งของจิงเหอแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปทีละฉื่อเนื่องจากโดนพลังของดาบของซูอี้แทงกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในท้ายที่สุด เมื่อปราณดาบหลายสิบจั้งหายไป พลังของดาบของซูอี้ก็หมดลงเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าดาบทั้งสองเมื่อครู่นี้เท่าเทียมกัน!
แต่โดยไม่รอให้ทุกคนตอบสนอง จู่ ๆ จิงเหอก็คำรามก้องพร้อมกับจับดาบสั้นและกระโจนขึ้นไปในอากาศ
ร่างของเขาดูคล้ายถูกเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ ปราณในร่างเดือดพล่านจนแทบจะหลอมละลายโลหะได้ แววตาและสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่น
ในใจของเขารู้สึกสุขสงบประหนึ่งได้มองเห็นสัจธรรมของวิถีแห่งชีวิตและความตาย ไม่เกรงกลัวชัยชนะหรือความพ่ายแพ้
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาก่อนจะสะบัดดาบแล้วแทงออกไป
ตูม!
ห้องโถงสั่นสะเทือนด้วยคลื่นกระแทกจากปราณดาบทั้งสองสายซึ่งรุนแรงจนเกินจินตนาการ แสงสะเก็ดไฟจากการปะทะสว่างวาบจนดวงตาผู้คนพร่ามัว แม้แต่หูของทุกคนกลายเป็นหนวกไปชั่วคราวจากเสียงอันแหลมก้องจากดาบทั้งสองซึ่งปะทะกัน
หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ต่างต้องหยุดสู้ชั่วคราวเพื่อถอยหนีคลื่นกระแทกอันน่าสะพรึง แต่ละคนดูหวาดกลัวและประหม่า
ใครชนะและใครแพ้?
ในสายตาของหลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวและหลวงจีนคนอื่น ๆ ด้วยความเลิศล้ำของจิงเหอที่เพิ่งทะลวงเป็นเทพเซียนเดินดินนั้นดูจะมีความหวังกว่า ไม่ว่าซูอี้จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นสอง
แม้แต่หนิงซือฮวา มู่ซี หลานซัว ต่างก็มีความคิดคล้ายกันนี้
ถึงในอดีตซูอี้จะสามารถสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้อีกฝ่ายคือเทพเซียนเดินดินที่แสนจะกล้าแกร่ง! เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเหนือมนุษย์ปุถุชนจะต่อกร!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโจมตีที่แลกด้วยชีวิตของจิงเหอนั้นทรงพลังเกินไป!
ซูอี้สามารถแก้ไขวิกฤตร้ายแรงเช่นนี้ได้หรือไม่?
ส่วนหนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ความมั่นใจของพวกเขาสั่นคลอน
“นี่มัน!?”
ทันใดนั้นใบหน้าของหลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน
หลังจากนั้นหลวงจีนอีกเจ็ดรูปที่อยู่รอบตัวเขาก็มีสีหน้าที่เริ่มแปรเปลี่ยนตามกันไป
ในทางกลับกัน หนิงซือฮวา และคนอื่น ๆ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
หลังจากควันและฝุ่นจางไป ในส่วนลึกของห้องโถง หลวงจีนหนุ่มจิงเหอคุกเข่าอยู่ที่พื้น
ศีรษะก้มต่ำดวงตาหลับลง ลมหายใจรวยริน ดาบสั้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ กระจัดกระจายอยู่ข้างหน้าเขาไม่ไกล
และด้านหน้าของจิงเหอ ร่างสูงของซูอี้ยืนตระหง่านอย่างเฉยเมย สงบเหมือนเช่นเคย ไร้ร่องรอยบาดแผลปรากฏให้เห็น
ระยะห่างระหว่างทั้งสองขณะนี้คือสามฉื่อเท่านั้น
แต่คนหนึ่งคุกเข่า อีกคนยืนตระหง่าน ผลลัพธ์ได้ถูกตัดสินแล้ว!
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันที่ข้าย่างก้าวเข้าสู่การเป็นเทพเซียนเดินดิน จะเป็นวันที่ข้าตายเช่นกัน… โชคชะตาของข้าน่าขันเสียนี่กระไร…”
จิงเหอเอ่ยคำออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจและความเปล่าเปลี่ยว
จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก มองที่ซูอี้ด้วยดวงตาขุ่นมัว “ก่อนตาย ขอถามอะไรสักอย่างหนึ่งได้หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า “ว่ามา”
จิงเหอสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่าน… ท่านคือสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้ซึ่งชิงร่างชายหนุ่มผู้นี้อย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ในระยะไกล หนิงซือฮวา และคนอื่น ๆ ต่างรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ไม่ใช่”
ซูอี้ตอบกลับโดยไม่ลังเล “หากเจ้าสามารถสำเร็จ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ‘ชีพจรลับ’ และ ‘เต๋ากัง’ ในขณะที่เจ้าอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ และเมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตหลอมกำเนิดเจ้าสำเร็จ ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถแข็งแกร่งได้เท่าข้า”
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ แต่ ‘ชีพจรลับ’ ‘เต๋ากัง’ และ ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ นั้นไม่เคยได้ยินแม้แต่น้อย… มีความลึกลับมากเท่าใดกันที่ซ่อนอยู่ในมรรคาแห่งการบ่มเพาะ?”
ใบหน้าของจิงเหอเต็มไปด้วยความสับสนและโง่งม
เขาต้องการคำตอบก่อนตายเพื่อที่เขาจะได้ตายตาหลับ
แต่ใครจะไปคิดว่าคำตอบของซูอี้นั้นกลับยิ่งลึกลับ ซึ่งทำให้เขาสับสนและสับสนมากขึ้น
หลังจากส่งเสียงฮึมฮัมอีกเพียงครึ่งอึดใจ จิงเหอยิ้มอย่างขมขื่น หลับตาลงอย่างเงียบ ๆ
พลังชีวิตในร่างของเขาจางหายไปราวกับสายลมผ่าน และในเวลาอีกไม่กี่ลมหายใจถัดมา ร่างของเขาแข็งค้างกลายเป็นศพ ทว่าบนหว่างคิ้วยังคงมีร่องรอยของความสับสนหลงเหลือ
ผู้อาวุโสแห่งหอสยบมังกรจากวัดซ่างหลินได้สิ้นชีพแล้ว
ทว่าเขาหาได้สิ้นชีพจากดาบซูอี้ แต่มันเป็นเพราะดาบอันไร้เทียมทานเมื่อครู่นี้ที่เขาสำแดงออกมันได้ดูดใช้พลังชีวิตของเขาไปจนเหือดแห้ง
วันนี้เป็นวันที่แปดเดือนสี่ตามปฏิทินแห่งต้าโจว เป็นเวลาห้าวันแล้วที่ซูอี้ออกเดินทางสู่นครหลวงอวี้จิง
นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ซูอี้ต่อสู้กับเทพเซียนเดินดินตั้งแต่เขากลับชาติมาเกิด
ท้ายที่สุด ด้วยขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสอง เขาคือผู้กำชัยชนะ!
ในระยะไกล หนิงซือฮวา มู่ซี หลานซัว และคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง
หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวและหลวงจีนคนอื่น ๆ หน้าซีดเผือดไม่อาจขยับ
ดวงตาของซูอี้เบนทางมุมที่ส่วนท้ายของห้องโถงใหญ่
มีเงามังกรสีทองยาวประมาณสิบฉื่อกำลังโบยบินไปมาราวกับพยายามหลบหนีจากความโกลาหล