บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 285 ความลึกลับของเจดีย์
ตอนที่ 285: ความลึกลับของเจดีย์
ตอนที่ 285: ความลึกลับของเจดีย์
เงามังกรทองยาวสิบฉื่อนี้คล้ายกับมีชีวิต
แต่ซูอี้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงการสำแดงออกจากพลังของหยดเลือดมังกรที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริง
“สังหารต่อไป”
ซูอี้โบกมือไปทางด้านหลังเพื่อบอกให้หนิงซือฮวาสู้ต่อไป
หนิงซือฮวา มู่ซี และหลานซัวชำเลืองมองกันและกัน อารมณ์ที่ตกใจในตอนแรกหายไปหลายส่วน
การที่ซูอี้เพิ่งเอาชนะตัวตนอย่างจิงเหอที่เพิ่งทะลวงเป็นเทพเซียนเดินดินได้นั้น เขาไม่ใส่ใจเลยอย่างนั้นหรือ?
“ไป!”
หลวงจีนเฒ่าคิ้วขาวและพรรคพวกวางแผนที่จะหลบหนี
ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้รับบาดเจ็บมากกว่าครึ่ง และเมื่อจิงเหอตายตกไปแล้ว พวกเขาจะกล้าอยู่ต่อได้อย่างไร?
ทว่าขณะเดียวกันนี้ หลานซัวก็ยกมือขวาขึ้น
ฟิ้ว!
ริบบิ้นสีเงินลอยขึ้นไปในอากาศ และจากนั้นมันขยายใหญ่ออกก่อนจะพุ่งไปปิดกั้นประตูของห้องโถงอย่างสมบูรณ์
นางปรบมือของนางอย่างชอบใจ และพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “นี่คือ ‘เส้นใยสวรรค์’ เมื่อใดที่มันถูกใช้งาน มันจะไม่ต่างจากตาข่ายสวรรค์ ศัตรูผู้ถูกกักขังไม่อาจจะหนีพ้น”
มู่ซีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างชมเชย “ยอดเยี่ยมนัก!”
หนิงซือฮวาลอบถอนหายใจ อวดร่ำรวยไปถึงไหนกัน? ไม่สิ มันเป็นแค่การใช้ชีวิตตามปกติของนางก็เท่านั้น…
กลุ่มของหลวงจีนเฒ่าคิ้วขาว ขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นสิ่งนี้
ตูม!
การต่อสู้อันดุเดือดเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ทว่าซูอี้หาได้สนใจการต่อสู้ธรรมดาที่เกิดขึ้นไม่
เขาก้าวไปเข้าใกล้เงามังกรทอง
โฮก!
เงามังกรสีทองวาววับคำรามลั่นอย่างตื่นตระหนกราวกับเห็นภัยกำลังมาเยือน มันกำลังจะหลบหนี แต่ผ่านไปครึ่งทางมันกลับถูกดาบขวางไว้และต้องหลบไปอีกฝั่งหนึ่ง
จากนั้นไม่ว่ามันจะพุ่งไปในทิศทางใด คมดาบนั้นกลับเหมือนมีดวงตา สามารถดักทางล่วงหน้ามันก่อนได้หนึ่งก้าวเสมอ
ซูอี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงพร้อมกับบังคับเงามังกรทองให้ถอยกลับไปที่มุม
“อย่ากลัว ตราบใดที่เจ้าเชื่อฟัง ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”
ซูอี้เอ่ยปาก และจากนั้นถ้อยคำที่ออกไปจากริมฝีปากของเขามันกลายเป็นภาษาแปลกประหลาดที่มีพยางค์สลับซับซ้อนและคลุมเครือ ทว่าแฝงไปด้วยความสง่างามเฉพาะตัวในน้ำเสียงที่ลึกล้ำของเขา
นี่คือภาษาบรรพกาลที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าวิญญาณที่แท้จริงแห่งสวรรค์และโลก
ยิ่งกว่านั้น เมื่อซูอี้พูด เขาก็ได้นำเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างของตนเองผสานเข้าไปด้วย ทำให้เมื่อเสียงของเขาเปล่งออกไป มันจึงคล้ายกับตัวตนจากบรรพกาลกระซิบ
เงามังกรสีทองแข็งค้างราวกับตกตะลึง
ฉากนี้ทำให้ซูอี้ประหลาดใจอย่างลับ ๆ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงหยดเลือดมังกรแท้จริง ทว่าอำนาจของมันกลับกล้าแข็งถึงขนาดคล้ายกับมีชีวิตและปัญญาเป็นของตนเองซึ่งน่าทึ่งอย่างเหลือล้ำ
หากหยดเลือดยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แล้วในอดีตยามที่มันเป็นมังกรตัวเป็น ๆ มันจะมีพลังถึงขนาดใดกัน?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็พลิกฝ่ามือหยิบพระพุทธรูปขนาดเท่าฝ่ามือออกมา พระหัตถ์ของพระพุทธรูปหงายวางอยู่ตรงหน้าท้องทำจีบเป็นรูปลักษณ์ดอกบัว และจากไหล่ไปด้านหลังมีมังกรขดพันอยู่โดยรอบ
นี่คือพระพุทธรูปลึกลับที่สร้างจากกระดูกวิญญาณแท้จริงซึ่งไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไป
“ข้าให้โอกาสเจ้า จงเข้าไปสถิตในนี้แต่โดยดี”
ซูอี้ชี้ไปที่พระพุทธรูปในมือของเขาและพูดกับเงามังกรทอง โดยยังใช้ภาษาบรรพกาลที่ลึกลับซึ่งไม่มีผู้ใดฟังออก
เงามังกรทองลังเลและอืดอาด
ซูอี้ยืนรออย่างสงบและผ่อนคลาย
ในท้ายที่สุด เงามังกรทองกลายเป็นแสงทอง พุ่งเข้าใส่พระพุทธรูปในมือของซูอี้ก่อนจะหายลับไป
โอม~~
จะเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าพระพุทธรูปองค์นี้จู่ ๆ ปรากฏรัศมีสีแดงสดงดงามเปล่งประกายเจิดจ้า
โดยเฉพาะมังกรที่พันขดอยู่ด้านหลังองค์พระคล้ายกับเหมือนมีชีวิต มันเปล่งพลังและจิตวิญญาณหนาแน่นจนหาที่เปรียบมิได้ออกมา
“อย่างที่คาดไว้ พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นจากกระดูกมังกรแท้จริง ดังนั้นหยดเลือดมังกรแท้จริงนี้จึงสามารถผสมเข้ากับมันได้อย่างลงตัว”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของซูอี้
สำหรับเขาแล้ว แม้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้จะทำมาจากกระดูกของมังกรจริง แต่จิตวิญญาณของมันได้สลายหายไปนานแล้ว ดังนั้นจึงทำให้มันมีประโยชน์ค่อนข้างต่ำ อย่างดีที่สุดก็เพียงสามารถใช้เป็นโล่ได้
ในทางกลับกัน แก่นแท้ของเลือดมังกรหยดนี้มีค่ามากจนไม่ต่างจากการได้รับโชคใหญ่ ด้วยมันถือได้ว่าเป็นโอสถวิญญาณระดับโลกหล้า
แม้แต่ผู้บ่มเพาะวิถีวิญญาณก็ยังต้องน้ำลายไหลเมื่อเห็นมัน!
น่าเสียดายที่มันเป็นเพียงหยดหนึ่ง หากยังมีอีก… แม้แต่เหล่าตัวตนยิ่งใหญ่เช่นผู้ที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิคงไม่อาจจะนั่งนิ่งเฉยได้เช่นกัน
ซูอี้เก็บพระพุทธรูปก่อนจะหันกลับไปมองในระยะไกล
การต่อสู้กำลังจะสิ้นสุดลง และหลานซัวก็มีบทบาทสำคัญ นางมีส่วนสนับสนุนอย่างมากในการต่อสู้
ด้วยสมบัติที่มีมากมายไม่รู้จบที่นางพกมา นางจึงบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามจนย่อยยับในขณะที่หนิงซือฮวาและมู่ซีใช้โอกาสอันงดงามนี้ร่วมมือกันโดยปริยาย และกวาดล้างหลวงจีนขอบเขตไร้แพร่งพรายทั้งสิบเจ็ดรูปจากวัดซ่างหลินได้ทั้งหมด
หากเป็นการต่อสู้กันตรง ๆ โดยไม่มีตัวช่วยจากสมบัติของหลานซัว เกรงว่าศึกนี้คงไม่จบลงง่ายดายถึงเพียงนี้
หนิงซือฮวาและมู่ซีต่างมีอารมณ์พลุ่งพล่านมาก พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าด้วยความช่วยเหลือของหลานซัว พวกเขาทั้งหมดจะสามารถฆ่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์แห่งวัดซ่างหลินได้ง่ายดายขนาดนี้…
“คุณชายซู ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะกล้าแกร่งถึงขนาดสังหารเทพเซียนเดินดินได้เช่นนี้…”
หลานซัวก้าวมาข้างหน้าและพูดอย่างสัตย์จริงพร้อมกับแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจบนใบหน้าที่งดงามของนาง
ซูอี้พูดอย่างไม่แยแส “อีกฝ่ายเป็นเพียงตัวตนที่ฝืนฝ่าทะลวงขอบเขต ส่งผลให้รากฐานวิถีต้นกำเนิดของเขานั้นไม่เสถียร อีกทั้งเขายังไม่สามารถควบคุมพลังใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาได้อย่างฉับพลัน ดังนั้นแล้วความแข็งแกร่งที่เขาสำแดงออกมานั้นนับได้ว่าด้อยกว่าเทพเซียนเดินดินขอบเขตไร้เบญจธัญอย่างไม่อาจเทียบได้ การเอาชนะเขาได้นั้นนับว่าไม่ใช่ความสำเร็จที่น่าเอ่ยถึง”
วิถีต้นกำเนิดนั้นแบ่งออกเป็นสามขอบเขต ขอบเขตไร้เบญจธัญ ขอบเขตเปิดทวาร และขอบเขตรวบรวมดารา
ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด คือผู้บ่มเพาะในขอบเขตไร้เบญจธัญ
แต่ด้วยการที่จิงเหอฝืนฝ่าทะลวงระดับการบ่มเพาะอย่างฉับพลัน ทำให้เขามีความแข็งแกร่งต่ำต้อยกว่าเทพเซียนเดินดินขอบเขตไร้เบญจธัญเสียอีก
“แต่ท่านเป็นปรมาจารย์ขั้นสอง แม้อีกฝ่ายจะฝ่าทะลวงระดับไป… การที่ท่านเอาชนะเขาได้นั้นนับได้ว่าท่าน… ทรงพลังมากแล้ว!”
หลานซัวกล่าวอย่างจริงจังเมื่ออธิบายความแข็งแกร่งของซูอี้ นางไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมมาเปรียบเปรยความแข็งแกร่งของซูอี้ได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นนางจึงทำได้แค่เพียงย้ำคำว่า ‘มาก’ เสียงดังอย่างชัดคำ
หนิงซือฮวาและมู่ซีอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดนี้
ซูอี้ตกตะลึง
หลานซัวผู้นี้สวยสง่าและสูงส่ง แต่ใครจะคิดว่านางยังมีด้านที่ไร้เดียงสาคล้ายกับสาวน้อยผู้ไม่ประสาต่อโลกเช่นนี้ด้วย…
“เจดีย์นี้มีเก้าชั้น และที่นี่เป็นเพียงชั้นหนึ่งเท่านั้น ไปกันเถอะ ไปดูชั้นสองกันดีกว่า”
ซูอี้พูดและเดินไปที่มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของห้องโถง
ที่นั่นมีบันไดหินซึ่งนำขึ้นไปยังชั้นสอง
หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ต่างตามไป
เจดีย์นี้ไม่ธรรมดา แม้การต่อสู้ระหว่างซูอี้และเจวี๋ยเหิงเมื่อครู่นี้จะรุนแรงมาก แต่ในห้องโถงชั้นแรกไม่ว่าจะเป็นกำแพง เสาหิน หรือพื้นกระเบื้องกลับไม่ได้รับความเสียหายเลย
เห็นได้ว่าวัสดุที่ใช้สร้างเจดีย์นี้มีความพิเศษมาก
นอกจากนี้ เมื่อครู่นี้ซูอี้ยังได้รับแก่นแท้โลหิตของมังกรหยดหนึ่งซึ่งสามารถสำแดงร่างเงามังกรสีทองออกมาได้
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตั้งตารอว่าชั้นอื่น ๆ ในเจดีย์นี้จะมีโชคลาภอื่นหรือไม่
ขั้นบันไดหินมีทั้งหมดสิบแปดขั้น เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสอง ทุกคนต่างเห็นว่าโถงชั้นนี้นั้นว่างเปล่ามีเพียงศาลเจ้าสูงสามจั้งที่สร้างด้วยหินสีดำตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง
อย่างไรก็ตาม ภายในศาลเจ้าว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
แต่เมื่อเห็นศาลเจ้าแห่งนี้ มู่ซีก็จำได้ทันทีและกล่าวว่า “จี้หยกที่พกติดตัวทุกวันนี้ได้มันมาจากศาลเจ้านี้แหละ ข้าจำได้!”
ซูอี้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบ แต่ท้ายที่สุดเขาพบว่ามันไม่มีอะไรพิเศษ ดังนั้นจึงพาทั้งกลุ่มมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นสาม
ถัดจากนั้นพวกเขาก็พบแต่ความผิดหวัง ทุก ๆ ชั้นที่พวกเขาก้าวขึ้นไปถึง ในห้องโถงแต่ละชั้นล้วนว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย หรือหากมีก็มีแต่ภาชนะที่ไร้ประโยชน์ตั้งวางอยู่
จนกระทั่งถึงชั้นเก้าก็ไม่พบสิ่งใดที่น่าสนใจ
“สถานที่แห่งนี้ลึกลับนัก เหตุใดจึงไม่มีสมบัติเหลืออยู่เลย?” หนิงซือฮวาสงสัย
พวกเขาเดินมาจนถึงจุดลึกสุดของของหุบเขาปีศาจวัดวิปัสสนาแล้ว และเข้ามาในซากอารามวัด หลังจากผ่านค่ายกลต้องห้ามมากมาย พวกเขาก็มาถึงยอดเขาที่มีรูปร่างเหมือนมังกรยักษ์และเข้าสู่เจดีย์เก้าชั้น
แต่นอกเหนือจากการต่อสู้กับกลุ่มหลวงจีนจากวัดซ่างหลินและแก่นแท้หยดโลหิตมังกรแท้จริงหนึ่งหยดแล้ว พวกเขาก็ยังไม่พบสิ่งมีค่าใด ๆ อีกเลย
นี่เป็นเรื่องน่าสงสัยอย่างแท้จริง
ทว่าซูอี้เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ และรีบเดินกลับไปที่ชั้นหนึ่งของเจดีย์
หลังจากลงไปถึง เขาหันไปมองภาพจิตรกรรมฝาผนังที่แตกแห้งและพังทลายบนกำแพงทั้งสี่ด้าน ทำการสังเกตดูอย่างละเอียดยิบ
เมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ต่างก็มองหน้ากันและตระหนักในทันทีว่าความลึกลับของเจดีย์เก้าชั้นนี้อาจถูกซ่อนอยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พวกเขาเคยละเลยมาก่อน!