บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 286 ผู้สิงสถิต
ตอนที่ 286: ผู้สิงสถิต
ตอนที่ 286: ผู้สิงสถิต
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ซูอี้เดินเตร่อยู่ด้านหน้ากำแพง คล้ายกับว่าค้นพบอะไรบางอย่าง พลันสีหน้าเขาเต็มไปด้วยความคิด
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา
ซูอี้ก็มาหยุดอยู่ด้านหน้าภาพวาดฝาผนังด้านทิศตะวันออก แม้ภาพวาดฝาผนังนั้นจะแตกและเลือนราง ทว่าสามารถมองออกอย่างคลุมเครือ ว่าภาพที่วาดอยู่บนนั้นคือยอดเขาที่เหมือนมีมังกรขนาดใหญ่พันรอบอยู่
คล้ายกับยอดเขารูปมังกรที่พวกเขาอยู่ในยามนี้มาก
เพียงแต่ บนยอดเขาสูงในภาพวาดฝาผนังนั้น ไม่มีเจดีย์เก้าชั้น ทว่าใต้เชิงเขากลับวาดใต้พิภพอันมืดมิดแทน!
“หืม?”
ซูอี้เหลือบเห็น ภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงภาพใต้โลกออกมาไม่ค่อยสมบรูณ์ ทว่ากลับมีลวดลายคล้ายกับระลอกคลื่นสีเลือดปรากฏอยู่ตรงนั้น
ข้างใต้ระลอกคลื่นสีเลือดนั้น มีฐานบัวอยู่ฐานหนึ่ง และมีพระพุทธรูปนั่งอยู่
ภาพเหล่านี้เลือนรางมาก ทว่าเมื่อเห็นสิ่งนี้ จู่ ๆ ซูอี้ก็นึกถึงบางอย่าง
ภายในข้างใต้ส่วนลึกหุบเขามารบุปผาโลหิต ก็มีระลอกคลื่นสีเลือดขนาดใหญ่ และมีลานพิธีกับแท่นบูชาโบราณ!
“ข้างใต้เจดีย์เก้าชั้น ณ ลานฌานปัญญาแห่งนี้ มีผนังกั้นมิติอยู่หรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว
ผนังกั้นมิติ ประตูที่แบ่งแยกสองโลกไม่ให้เชื่อมหากัน!
“สหายเต๋า เจ้ารีบมาดูเร็ว”
ทันใดนั้น หนิงซือฮวาที่อยู่ไม่ไกลก็เอ่ยขึ้นมาอย่างตกใจ
ซูอี้หันไปมองตาม เห็นกลุ่มซากศพบนวัดซ่างหลินที่นองไปด้วยโลหิต กำลังหายสาบสูญไปอย่างเงียบงัน
และบนพื้นที่ถูกย้อมด้วยเลือด ก็ปรากฏลายค่ายกลยันต์โลหิตออกมา ซึ่งดูลึกลับและแปลกประหลาดมาก
ซูอี้เดินไปด้านหน้า สำรวจอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ยขึ้นทันที “นี่คือประตูคนตายที่ถูกปิดผนึกไว้ และต้องใช้วิธีเซ่นไหว้ด้วยเลือดถึงจะสามารถเปิดออกได้”
ประตูคนตายที่ปิดผนึก?
ทันทีที่หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ นึกมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ ก็มองเห็น แผ่นหินที่มีรูปดอกบัวขนาดใหญ่บนพื้นตรงกลางตำหนักหายไปอย่างเงียบ ๆ
ไม่นาน ตรงนั้นก็ปรากฏทางเข้าใต้ดินประมาณสามจั้งออกมา!
“ที่แท้เจดีย์เก้าชั้นก็เป็นเพียงแค่วัตถุสะกด เพื่อซ่อนความลี้ลับที่อยู่ภายใต้ยอดเขารูปมังกรนี้….”
ซูอี้เอ่ยทันที “ไป พวกเราลงไปดูกัน”
เขาเดินนำไปก่อน
หลังจากเข้าไปในนั้น มีบันไดหินเป็นชั้น ๆ มุ่งลงสู่เบื้องล่าง ระยะทางทุก ๆ สามจั้ง จะมีโคมไฟสัมฤทธิ์ที่จุดไฟแขวนไว้ เพื่อปัดเป่าความมืดมิด
กลุ่มของซูอี้เดินเข้าไปข้างใต้เป็นเวลาครึ่งเค่อเต็ม ๆ เดินผ่านบันไดหินไปไม่รู้เท่าใด ในที่สุดก็เดินไปถึงภายในถ้ำที่เหมือนกับข้างใต้โลก
ที่แห่งนี้กว้างใหญ่มาก มีพระพุทธรูปสูงราว ๆ เก้าจั้งตั้งตระหง่านอยู่หลายรูป ประหนึ่งกลุ่มพระพุทธรูปที่เรียงติดต่อกันยาว
บ้างก็นั่งพับเพียบ คีบดอกไม้ด้วยนิ้วแล้วยิ้ม
บ้างก็นั่งเอียงบนสัตว์เทพ มือถือกระถางสัมฤทธิ์
บ้างก็มีสามหัวหกแขน ดวงตาโกรธเกรี้ยว
บ้างก็…
พอเหลือบมองออกไป ราวกับเผชิญหน้ากับพระพุทธเจ้าที่อยู่เต็มท้องฟ้า ทำให้พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ระวังหน่อย ดูผังพระพุทธรูปเหล่านี้สิ ด้านบนเป็นขุนพลสวรรค์นับไม่ถ้วน ด้านล่างเป็นขุนพลนรกแปรสภาพ ภายในมีเก้าวัง โลกจักรวาล ตำแหน่งสัตว์เทพสี่ทิศ และยังมีการเปลี่ยนแปลงหยิน หยาง ความว่างเปล่า และความสมบูรณ์…”
ซูอี้กวาดสายตาครู่หนึ่ง “ค่ายกลนี่เหมือนกับแท่นบูชาหนึ่งร้อยแปดแท่นในหุบเขามารบุปผาโลหิต ล้วนเป็นค่ายกลที่ใช้ปิดผนึก”
หนิงซือฮวาและมู่ซีเหลือบมองหน้ากัน “สหายเต๋า หรือว่าที่แห่งนี้จะสะกดผนังกั้นมิติเอาไว้?”
“เป็นเช่นนั้น”
ขณะที่ซูอี้เอ่ยอยู่ ก็พาผู้คนเดินไปข้างหน้า เคลื่อนไหวไปมาระหว่างพระพุทธรูปที่แตกต่างกัน
เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว ก็เห็นว่าบางครั้งซูอี้เดินเลี้ยวลดคดเคี้ยว บางครั้งก็ลอยขึ้นไปในอากาศ บางครั้งก็ถอยออกมาอีกหลายก้าว และอ้อมเดินเข้าไปด้านหน้า
เมื่อเดินหมุนเวียนสับเปลี่ยนเช่นนี้ ทำให้หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ตาพร่ามัวไปหมด และต่างก็จ้องมองกัน
คนที่เหลือแอบถอนหายใจ หากไม่ใช่ซูอี้นำทาง เมื่อเผชิญหน้ากับค่ายกลปิดผนึกที่ลึกลับซับซ้อนนี้ เกรงว่าพวกเขาคงจะมิอาจก้าวข้ามไปได้แน่
“รอก่อน”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ซูอี้ก็หยุดยืนอยู่ด้านหน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง
พระพุทธรูปองค์นี้สร้างสูงเก้าจั้งเหมือนกัน นั่งขัดสมาธิ สองมือทับกันอยู่ด้านหน้าหนีบดอกบัวไว้ ด้านหลังมีรูปมังกรคดเคี้ยวพันรอบ หัวมังกรอยู่ตรงตำแหน่งไหล่
ท่าทางของพระพุทธรูปนี้แตกต่างจากพระพุทธรูปอื่น ๆ รูปร่างงามพริ้งอ่อนโยน ใบหน้าสงบนิ่ง
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า…”
ซูอี้นึกขึ้นมาได้ ลักษณะของหลวงจีนสวมชุดขาวที่ขี่มังกรท่องเที่ยวไปในท้องฟ้ากว้างเต็มไปด้วยดาว…
เพียงแค่นี้ เขาก็กล้าบอกอย่างแน่ชัดแล้วว่า หลวงจีนสวมชุดขาวผู้นั้นจะต้องออกมาจาก ‘ลานฌาณปัญญา’ แน่!
“ขอบเขตการฝึกฝนที่มีอยู่ในโลกแห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว ครั้งหนึ่งเคยมีความสามารถมากพอที่จะท่องไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว มหาทวีปคังชิงนี้ยิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ…”
แววตาซูอี้ลุ่มลึก
“สหายเต๋า ล่วงเกินแล้ว”
ซูอี้ก้มกราบพระพุทธรูปองค์นี้เล็กน้อย จากนั้นยืดตัวขึ้น สองมือประสาน ปะทุแสงสีครามลึกลับเลือนรางออกมา
ตูม!
ทันใดนั้น พระพุทธรูปนี้ก็เกิดแสงสว่างเจิดจ้า
ในสายตาหนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ พระพุทธรูปนี้คล้ายกับตื่นขึ้นมาจากความมืดอนธกาล ดวงตาเปิดขึ้น พลันปลดปล่อยอานุภาพที่ยากจะเอ่ยเปรียบเทียบออกมาได้
ในระหว่างนั้น จิตใจของพวกเขาถูกจู่โจม และสมองพลันขาวโพลน
ไม่รู้ว่านานเท่าใด เมื่อหนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ได้สติ ถึงได้ค้นพบ ว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เห็นเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว
พระพุทธรูปนั่นยังคงตั้งตระหง่านอยู่ในความมืดเหมือนเดิม ไม่เกิดสิ่งผิดปกติใด ๆ ขึ้น
ครั้นมองไปที่ซูอี้ ก็เห็นเขานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง กำลังนั่งทำสมาธิอยู่
หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ มองออก ซูอี้เหมือนสูญเสียพลังไปมาก ลมปราณอ่อนแรง ไม่เหมือนกับท่าทางสงบนิ่งก่อนหน้านี้
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป
ซูอี้ถึงได้ตื่นขึ้นมาจากการนั่งทำสมาธิ การขับเคลื่อนลมปราณทั่วร่างได้รับการฟื้นฟูจนถึงสภาวะสูงสุดแล้ว
หนิงซือฮวาที่รออยู่ตรงนั้นมาโดยตลอดอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ “สหายเต๋า หรือว่าพระพุทธรูปองค์นี้คือจุดกำเนิดค่ายกลปิดผนึกขนาดใหญ่นี่?”
“ถูกต้อง” ซูอี้พยักหน้า
เมื่อครู่ เพื่อทำลาย ‘จุดกำเนิดค่ายกล’ นี้ เขาเกือบจะสูญเสียการฝึกฝนไปทั้งหมด
แต่โชคดีที่สามารถทำลายค่ายกลนี้ได้
ซึ่งที่แท้ ก็เป็น ‘ค่ายกลกักหมู่มาร’ นี่เองที่ปิดกั้นผนังกั้นมิติของที่แห่งนี้เอาไว้!
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้ไม่รอช้า เดินไปข้างหน้าต่อ
เมื่อใดก็ตามที่มีพระพุทธรูปอยู่ข้างหน้า แค่เขาสะบัดแขนเสื้อ พระพุทธรูปบริเวณรอบ ๆ ก็จะขยับไหว และปรากฏทางเดินออกมา
ภาพนี้ทำให้หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ต่างก็มั่นใจ ค่ายกลปิดผนึกลึกลับนี้ ถูกซูอี้ควบคุมไว้แล้ว!
ไม่นานกลุ่มพวกเขาก็เดินผ่านค่ายกลขนาดใหญ่นั้นไป และเห็นระลอกคลื่นสีเลือดขนาดใหญ่
ระลอกคลื่นนี้ทอดยาวออกไปในอากาศ มีขอบเขตประมาณสามร้อยจั้ง ประหนึ่งม่านฟ้าแหวกออกเป็นบาดแผลเลือดขนาดใหญ่ ในยามที่หมุนโคจร ทำให้ระหว่างอากาศบริเวณใกล้ ๆ เกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมา และเกิดเสียงดังสนั่นขึ้น
ข้างใต้ระลอกคลื่นสีเลือด คือฐานดอกบัวหนึ่งฐาน
ฐานดอกบัวกว้างเก้าฉือ ทุกส่วนราวกับหยกทมิฬขัดเงา บนฐานดอกบัวมีเศษชิ้นส่วนสีเลือดกระจายตกอยู่ ประหนึ่งเศษเปลือกไข่ที่แตก
ภาพนี้ แทบจะเหมือนกับภาพวาดจิตกรรมฝาผนังที่ซูอี้เห็นบนเจดีย์ชั้นหนึ่งเมื่อครู่
เพียงแต่บนฐานดอกบัวในภาพวาดฝาผนังนั้น มีร่างของพระพุทธเจ้านั่งอยู่ ทว่าในยามนี้ที่เห็น คือเศษชิ้นส่วนสีเลือดเหล่านี้
“ที่แห่งนี้เหมือนกับหุบเขามารบุปผาโลหิตจริง ๆ มีผนังกั้นมิติปิดผนึกไว้”
หนิงซือฮวาและมู่ซีต่างก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ในตอนนั้นพวกเขาเคยเดินทางไปกับซูอี้
พวกเขาต่างรู้ดี อีกด้านของผนังกั้น อาจจะเป็นโลกฝึกบำเพ็ญที่ไม่รู้จักอีกโลกหนึ่ง!!
เป็นในตอนนี้เอง หลานซัวอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ข้าก็เคยเห็นระลอกคลื่นสีเลือดแบบนี้ในส่วนลึกของหุบเขามารหมื่นแมลง มันเหมือนกันจริง ๆ”
หนิงซือฮวาและมู่ซีต่างก็แปลกประหลาดใจ ส่วนลึกของหุบเขามารหมื่นแมลงก็มีผนังกั้นมิติเหมือนกัน?
“ข้าอยู่ใกล้ระลอกคลื่นสีเลือดในหุบเขามารหมื่นแมลง และถูกหนอนปีศาจวิญญาณเร้นสถิตร่าง หากไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายซูในตอนหลัง เกรงว่าคงตายไปแล้ว…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หลานซัวเหลือบมองไปที่ซูอี้ และไม่รู้ว่านึกสิ่งใดขึ้นมา ใบหน้างามพลันร้อนขึ้นมา
“หากเป็นอย่างที่พูด แปดหุบเขามารใหญ่ในอาณาจักรต้าโจว ล้วนมีผนังกั้นมิติเช่นนี้อยู่หรือไม่?”
มู่ซีพึมพำ รู้สึกตกใจเล็กน้อย
“มีบางอย่างแปลก ๆ”
ในตอนนี้เอง ซูอี้ที่กำลังสำรวจฐานดอกบัวหยกทมิฬอยู่ด้านหน้า ขมวดคิ้วพลางเอ่ยทันที “น่าจะมีคนเคยมาที่แห่งนี้ เมื่อหลายปีก่อน!”
“อะไรนะ?”
หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ พากันเดินเข้ามา พลันมีสีหน้าแปลกประหลาดใจ ใต้โลกที่ปกคลุมด้วยค่ายกลปิดผนึก แม้แต่พวกเขายังต้องตามซูอี้เข้ามา ถึงได้มาถึงที่นี่ได้อย่างหวุดหวิด
แต่เมื่อก่อนใครกันที่มีความสามารถมากถึงขนาดที่ทำมาถึงขั้นนี้ได้?
“ชิ้นส่วนที่แตกเหล่านี้ คือ ‘ร่างดักแด้’ ที่ตกทอดมาจากอดีต”
ขณะที่ซูอี้เอ่ย เขาเดินขึ้นไปบนฐานดอกบัว เก็บชิ้นส่วนสีเลือดชิ้นหนึ่งขึ้นมา พลางสำรวจไปด้วยและเอ่ยไปด้วย
“หากข้าเดาไม่ผิด เคยมีผู้ฝึกตนต่างโลก ใช้วิธี ‘ร่างดักแด้’ นำพลังวิญญาณของตนก้าวข้ามมาโลกใบนี้ และสิงสถิตในร่างของผู้แข็งแกร่ง”
เขายื่นมือไปลูกชิ้นส่วนสีเลือดนี้เบา ๆ และเอ่ยคาดเดาออกมา “เรื่องนี้ น่าจะเกิดขึ้นในช่วงหลายสิบปี และมากสุดคงไม่เกินสามสิบปี เพราะกลิ่นอายของชิ้นส่วน ‘ร่างดักแด้’ นี้ ยังไม่สลายหายไปหมด”
หนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน และตกใจ
ในช่วงหลายสิบปี มีผู้สิงสถิตที่มาจากต่างโลกปรากฏตัวอยู่ที่นี่!?
ผู้สิงสถิตคนนั้น อาจจะมาจากอีกด้านหนึ่งของผนังกั้นมิติ!
และผู้ใดกัน… ที่ถูกสิงสถิต?
“ที่นี่มีแผ่นหยกอีกชิ้นหนึ่ง”
จู่ ๆ หนิงซือฮวาเอ่ยขึ้น ในตอนที่เอ่ยอยู่นั้น นางก้มตัวเก็บชิ้นส่วนขนาดสามชุ่นจากในเงามืดส่วนล่างสุดของฐานดอกบัวหยกทมิฬขึ้นมา แผ่นหยกนั้นสลักรูปหงส์ชนิดหนึ่ง
“สหายเต๋าเจ้าลองดู”
หนิงซือฮวาเดาไม่ออก จึงสั่งและส่งหยกแผ่นนั้นให้กับซูอี้
ซูอี้มองอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ย “ก็แค่หยกเพชรสีเขียวกลั่นเป็นแผ่นหยกก็เท่านั้น เป็นวัตถุธรรมดา ไม่ได้ล่ำค่าอะไร หากข้าเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นชิ้นส่วนของผู้แข็งแกร่งที่ถูกสิงสถิตคนนั้นเหลือเอาไว้”
มู่ซีเอ่ย “หากเป็นเช่นนี้ เพียงแค่สืบหาเจ้าของแผ่นหยกนี้ ก็จะรู้ว่าเขาใช่ผู้ที่ถูกสิงสถิตจากผู้ฝึกตนต่างโลกหรือไม่”
ตอนนั้นในหุบเขามารบุปผาโลหิต ก็เคยมีผู้ฝึกตนต่างโลกนี้ใช้วิธี ‘ร่างดักแด้’ ฝังวิญญาณไว้ภายในร่างจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเฉินเจิ้ง และพยายามจะบังเกิดขึ้นมาบนโลกนี้
สุดท้ายก็ถูกซูอี้กำจัดไป
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนิงซือฮวา หรือว่ามู่ซี ต่างก็รู้สึกถึงปัญหาที่หนักหนานี้
ยามนี้อาจจะมีผู้ฝึกตนที่มาจากต่างโลกดำรงอยู่ภายในอาณาเขตต้าโจวนี้!!
ในเวลานั้น เป็นใครกันที่เข้ามาที่แห่งนี้ และโชคร้ายถูกสิงสถิตไป?
พรึบ!
ในระหว่างที่ทุกคนเกิดความสงสัย ทันใดนั้น แสงโลหิตที่แสบตา พลันพุ่งออกมาจากความมืดในที่ไกล แทงไปทางซูอี้ที่ยืนอยู่บนฐานดอกบัวหยกทมิฬ
เคร้ง!!!
เกิดเสียงอาวุธปะทะกันดังไปทั่ว แสงโลหิตที่ซุ่มโจมตีออกมา ถูกซูอี้ใช้ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าต้านเอาไว้
ทว่าร่างกายสูงใหญ่ของเขา กลับถูกกระแทกจนกระเด็นลอยออกไปจากฐานดอกบัวหยกทมิฬ