บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 288 ลอบโจมตี
ตอนที่ 288: ลอบโจมตี
ตอนที่ 288: ลอบโจมตี
ในเงามืด มีเตาหยกขนาดเท่ากำปั้นวางอยู่ตรงนั้น
มีสามขาและสองหู ตัวเตาเผยประกายแสงสีม่วงออกมา
“บนโลกนี้ยังมีเตาใบเล็กเช่นนี้อยู่อีกรึ? ดูคล้ายกับภาชนะใส่เหล้าเลย”
มู่ซีเอ่ยอย่างแปลกใจ
ส่วนซูอี้ยื่นมือไปคว้าเตาหยกขึ้น เขาพิจารณาพลางเอ่ย “นี่คือเตาหลอมยา”
ในขณะที่พูดอยู่ เขาก็ออกแรงไปที่ฝ่ามือ
ครืน
เตาหยกขนาดเท่ากำปั้นพลันใหญ่ขึ้นทันที และมีความสูงเกือบหนึ่งจั้ง ทุกส่วนสัดมีไอสีม่วงไหลเวียนไปทั่ว ซึ่งมีสีสันงดงามมาก
ในตอนนี้เอง หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ จึงได้เห็นลักษณะภายนอกของเตาหลอมกลมนี้อย่างชัดเจน มันสลักสัญลักษณ์สัตว์ปีกเทพเช่นหงส์แดง หลวนเหนี่ยว ปี้ฟาง ไก่ฟ้าเพลิงและอื่น ๆ ซึ่งคล้ายกับของจริงมาก
ปากเตามีไอควันสีม่วงปกคลุมหนาทึบ ให้บรรยากาศที่ลึกลับและคลุมเครือ
และส่วนล่างสุดของเตา มีคำว่า ‘ตำหนักม่วงชาด’ สลักไว้
“ของล้ำค่า!”
ดวงตาทุกคนเปล่งประกายออกมาพร้อมกัน
“นี่คือสมบัติล้ำค่าที่มีกลายวิญญาณ ถูกกลั่นขึ้นมาด้วยน้ำมือมหาปราชญ์สวรรค์ ตัวเตามีกระบวนกลายวิญญาณแปดขั้น และทุกกระบวนต่างก็เกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม และจัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการหลอมยา”
ซูอี้เพ่งมองอย่างพิจารณาไปด้วยพลางเอ่ยไปด้วย “เตาหลอมนี้มีเพียงแค่มหาปราชญ์สวรรค์เท่านั้น ถึงจะสามารถใช้วัตถุนี้ได้อย่างเต็มที่ และขยายอานุภาพทั้งหมดออกมาได้ เพียงแต่คนอย่างข้าสามารถยืมพลังค่ายกล มาช่วยหลอมยาในเตาหลอมนี้ได้”
ขณะเอ่ยอยู่ เขาก็เก็บพลังธาตุแท้ที่อยู่กลางฝ่ามือ
เตาหลอมสีม่วงนั่นหดลงทันที และมีขนาดเท่ากำปั้นเหมือนเมื่อครู่
จากนั้น ซูอี้ใช้จิตสัมผัสมองเข้าไปในนั้น
ภายในเตานั้นว่างเปล่า มีขอบเขตสิบจั้ง กว้างประมาณตึกสามชั้น
ในตอนที่ซูอี้ใช้จิตสัมผัส ‘มอง’ ลงไปในนั้น พลันมองเห็น ภายในเตามีกลุ่มแสงเต็มไปด้วยสีสันลอยอยู่ แผ่กลิ่นหอมกรุ่นของตัวยาออกมา
“โป่งรากสนใบโลหิต ผงยาอายุวัฒนะ ไขกระดูกแห่งจิตวิญญาณ แมลงหลากสีเก้าลาย เหง้าซานซยง ต้นเพชฌฆาตขนไฟ…”
ระหว่างนั้น ซูอี้แยกสมุนไพรวิญญาณหลายสิบชนิดที่แฝงอยู่ในกลุ่มแสงนั้นออกมาได้
โดยเฉพาะ ‘น้ำยาหยกไขกระดูก’ ที่มีน้อยนิดในนั้น พลันซูอี้ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ชายที่เรียกตัวเองว่าเป็นปราชญ์จี้เผิงต้องการหลอม ‘โอสถฟื้นพลังวิญญาณ’!
โอสถชนิดนี้ไม่มีฤทธิ์ด้านการฝึกฝน ทว่าหากสิ่งมีชีวิตซึ่งไร้กายเนื้อกลืนกินมันลงไป ตัวตนของสิ่งนั้นก็จะบังเกิดเป็น ‘กายวิญญาณ’!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการมีร่างกายแท้จริง
เพียงแต่ข้อเสียของกายวิญญาณก็เห็นได้ชัดเจน คือชั่วชีวิตแสวงหาการฝึกได้เพียงแค่การ ‘ฝึกจิตวิญญาณ’ เท่านั้น
เฉกเช่นร่างวิญญาณของชิงหว่าน ที่หลอมรวมออกมาเป็นร่างกาย เมื่อก้าวเข้าสู่การฝึกบำเพ็ญอย่างแท้จริง ร่างกายนางก็เป็นแค่ ‘กายวิญญาณ’
“ดูความร้อนของเม็ดยานี้แล้ว คงถูกหลอมมาสักพักหนึ่ง และมันใกล้จะสำเร็จแล้ว…”
แววตาซูอี้ฉายความแปลกใจเล็กน้อย
มิน่าเล่า เมื่อครู่ปราชญ์จี้เผิงถึงได้ฉุนเฉียวเช่นนั้น และไม่เต็มใจอย่างมากในตอนที่ใกล้จะจากไป เพราะถูกเขาทำลายแผนการหลอมยานี่เอง…
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงเดาออกว่า ร่างแยกของปราชญ์จี้เผิงน่าจะก้าวข้ามโลกมาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
เพราะการมาของอีกฝ่าย จึงทำให้ระลอกคลื่นสีเลือดสั่นไหวอย่างรุนแรง เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ทำให้ผู้ฝึกตนภายนอกคิดว่าขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาเกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดที่น่าตกใจขึ้น
ถึงขนาดเมื่อไม่นานมานี้ ดึงดูดเหล่าผู้ฝึกตนให้เดินทางมาไม่น้อย
เฉกเช่นเหล่าหลวงจีนในวัดซ่างหลิน
และเพื่อก้าวข้ามโลกมาในครั้งนี้ ปราชญ์จี้เผิงได้เตรียมตัวอย่างเต็มที่ พยายามหลอมยาโอสถฟื้นพลังวิญญาณ เพื่อหลอมรวมร่างกายออกมา และเริ่มการฝึกตนใหม่ทั้งหมด
ส่วนเหตุใดเขาต้องหลอมยาในที่แห่งนี้นั้น… ง่ายมาก เพราะเหนือขึ้นไปด้านบนคือลานฌานปัญญาที่ติดตั้ง ‘ค่ายกลกักหมู่มาร’ ไว้ ทำให้ที่แห่งนี้ถูกปิดผนึก
ด้วยความสามารถของปราชญ์จี้เผิง ยังมิอาจทะลวงค่ายกลปิดผนึกขนาดใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้
ไม่เช่นนั้น เขาคงจะออกไปจากที่แห่งนี้นานแล้ว และไม่จำต้องหลอมยา เพียงแค่ใช้วิถีสิงสถิต ก็สามารถเริ่มการฝึกฝนใหม่ได้
จากนั้น ซูอี้ก็นำเรื่องที่เขาคาดเดาไปบอกแก่หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ พร้อมเอ่ยแผนของตัวเองออกมา
“ข้าวางแผนจะยืมพลังค่ายกลแห่งนี้เพื่อหลอมยาขึ้นมา พวกเจ้าช่วยปกป้องข้า เมื่อหลอมยาสำเร็จแล้ว ค่อยแบ่งให้กับทุกคน”
หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ พลันแววตาเปล่งประกาย และทุกคนก็ตกลงอย่างมีความสุข
ซูอี้ไม่รอช้า นั่งขัดสมาธิบนฐานดอกบัวหยกทมิฬ เตรียมรักษาอาการบาดเจ็บก่อน ไว้เมื่ออยู่ในสภาวะพร้อมเต็มสิบส่วนเมื่อใด ค่อยเริ่มหลอมยา
เมื่อหลานซัวเห็นเช่นนี้ ก็นำขวดยาหนึ่งออกมา ส่งให้กับซูอี้ “คุณชายซู นี่คือโอสถดอกบัวหอมสวรรค์ ท่านนำไปใช้เถิด”
ซูอี้ไม่เกรงใจ หยิบมันขึ้นมาและกลืนลงไป
เมื่อหลานซัวเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกมีความสุข ริมฝีปากอ่อนนุ่มเผยรอยยิ้มขึ้นมา แค่เก็บมันไว้ก็ยังดี จากนี้… ข้ามิเชื่อว่าเจ้าจะกล้าบอกว่าข้าเป็นภาระแน่!
หนิงซือฮวาและมู่ซีถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ดอกบัวหอมสวรรค์!
สิ่งนี้คือโอสถรักษาศักดิ์สิทธิ์ชั้นนำของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนในอาณาจักรต้าฉิน ว่ากันว่ามูลค่าเพียงแค่หยดเดียว เทียบเท่ากับศิลาวิญญาณระดับสามหลายร้อยก้อน!
แม้แต่ในอาณาจักรต้าโจว โอสถ ‘ดอกบัวหอมสวรรค์’ ก็มีชื่อเสียงมาก และได้รับการยกย่องจากเหล่าผู้ฝึกตนว่าเป็นโอสถเซียนที่สามารถชุบชีวิตผู้คนขึ้นมาได้!
ทว่าในยามนี้ หลานซัวนำยาทั้งขวดให้ซูอี้รักษาอาการบาดเจ็บ…
ฐานะทางบ้านที่มั่งคั่งร่ำรวยเช่นนี้ มากพอที่จะให้ทุกคนตระหนักว่าอะไรที่เรียกว่าร่ำรวยล้นฟ้า!
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ
ซูอี้ก็ลุกขึ้น และตัดสินใจเริ่มหลอมยา
ร่างซูอี้ลอยขึ้นไปบนอากาศ พลางสะบัดแขนเสื้อ ค่ายกลกักหมู่มารพลันหมุนโคจร และปรากฏพลังต้องห้ามออกมา
ครืน!
เตาหลอมตำหนักม่วงชาดถูกเร่งรัด ที่มีขนาดเท่ากำปั้นในคราแรกแปรเป็นสูงหลายจั้ง และแขวนอยู่กลางอากาศ
เมื่อซูอี้ควบคุมพลังค่ายกลขนาดใหญ่ บังคับให้ไหลลงในเตาตำหนักม่วงชาด สมบัติกลายวิญญาณพลันสว่างจ้า ปรากฏเงาลวดลายที่แปลกประหลาดและงดงามออกมา มีหงส์แดงกระพือปีกอาบเปลวเพลิง ปี้ฟางที่บุกทะลวงไปในอากาศกว้าง ไก่ฟ้าเพลิงท่องเที่ยวในหุบเขาลึก หลวนเหนี่ยวแผดเสียงดั่งฟ้าร้อง…
ภาพนั้น ทำให้หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ที่มองดูอยู่ตกใจมาก ด้วยมันช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก!
ไม่นึกเลยว่า วิธีการที่แยบยลเช่นนี้ จะเป็นวิธีการที่มาจากชายหนุ่มปรมาจารย์ขั้นสอง?
ซูอี้นั่งขัดสมาธิอยู่ในอากาศ แขนเสื้อสะบัดพลิ้วไหว นำโอสถวิญญาณเทเข้าไปในเตาตำหนักม่วงชาด ซึ่งยาวิญญาณทั้งหมดคือยาระดับสี่ขึ้นไป
ในความเป็นจริงแล้ว ซูอี้ในยามนี้ นับได้ว่ามั่งคั่งร่ำรวยมากเช่นกัน
ไม่ว่าเป็นการต่อสู้ในจวนเจ้าแคว้นกุ่น หรือว่าการต่อสู้ในจุดพักม้าหลงเฉียว หรือว่าจะเป็นการต่อสู้ ณ อารามอวิ๋นเทา ซูอี้ล้วนเก็บเกี่ยวสินสงครามจากการต่อสู้มามากมาย
นอกจากนี้ ยังมีของล้ำค่าอีกเก้าส่วนที่ถูกแบ่งมาจากหอสิบทิศ
และแน่นอนว่า ภายในเตาตำหนักม่วงชาดนี้ ยังมีสมุนไพรและโอสถวิญญาณหลายสิบชนิดที่ปราชญ์จี้เผิงเหลือเอาไว้ และตอนนี้โอสถวิญญาณเหล่านี้ ก็ได้กลายเป็นวัตถุหลอมยาให้แก่ซูอี้!
ตู้ม
เตาตำหนักม่วงชาดกรีดร้อง แสงสว่างส่องประกายไปทั่ว
บางครั้งซูอี้จะควบคุมพลังค่ายกลขนาดใหญ่ ใช้เคล็ดหลอมยาของตนเอง
ด้วยการฝึกฝนในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสองของเขา อย่าพูดถึงการหลอมยาเลย แค่เร่งรัดเตาตำหนักม่วงชาดนี้ ก็มิอาจทำได้
ทว่าเมื่อมีพลังต้องห้ามของ ‘ค่ายกลกักหมู่มาร’ ก็ทำให้ซูอี้มีโอกาสได้ยืมไก่มาวางไข่ นี่คือความมหัศจรรย์ของค่ายกล!
ปรมาจารย์ค่ายกลอันแข็งแกร่ง สามารถฆ่าศัตรูได้โดยไม่ต้องสนใจขอบเขตการฝึกฝน!
หนิงซือฮวา มู่ซี และหลานซัวต่างก็ปกป้องซูอี้อยู่บริเวณรอบ ๆ หากเกิดเรื่องขึ้นในตอนนี้ คงเกิดความเสียหายมหาศาลแน่
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป
ซูอี้เผยสีหน้าอ่อนแรงออกมา
ต่อให้ยืมพลังค่ายกลขนาดใหญ่หลอมยา ทว่าการฝึกฝนและพลังวิญญาณของเขาก็ยังค่อย ๆ สูญเสียไปในระหว่างควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่นี้อยู่ดี
จนถึงยามนี้ มีสัญญาณว่าน้ำมันตะเกียงไฟใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว
ทว่าโชคดี แม้จะไม่เคยหลอมยามาเป็นเวลานาน ทว่าการหลอมครั้งนี้นับว่าราบรื่นมากทีเดียว
ในเวลานี้ กลิ่นหอมของเม็ดยาโชยออกมาจากเตาหลอม เพียงแค่สูดดมเข้าไป ก็ทำให้รู้สึกเบิกบานผ่อนคลาย รูขุมขนทั่วร่างเปิดออก
“เหลือขั้นตอนสุดท้ายแล้ว”
ซูอี้แบกร่างกายที่เหนื่อยล้า จดจ่อกับการหลอมยาอีกครั้ง มิอาจประมาทเลินเล่อได้
ไม่ว่าจะเป็นการหลอมยา หรือว่าหลอมอาวุธ หากยังไม่สำเร็จ ก็มิอาจชะล่าใจได้
ไม่เช่นนั้น เรื่องที่ใกล้จะทำสำเร็จก็อาจจะล้มเหลวได้
ชิ้ง!
ทว่าในช่วงสำคัญสุดท้าย จู่ ๆ ก็มีเสียงดาบดังขึ้น
เสียงยังคงดังก้อง พลันมีดาบยันต์ลึกลับสีดำทะยานออกมาในอากาศ รวดเร็วไม่มีสิ่งใดเปรียบ ตวัดไปทางซูอี้ที่กำลังหลอมยาอยู่
จังหวะในการลอบโจมตีนี้ ช่างเหมาะเจาะยิ่งนัก
ซูอี้ที่กำลังจดจ่อกับการหลอมยา หากฟุ้งซ่านตอนนี้ แม้จะสามารถหลบหลีกการโจมตีนี้ได้ ทว่าการหลอมยานี้ต้องพังทลายแน่
แต่หากไม่หลบ เขาคงจะถูกสังหารตายในที่แห่งนี้!
ช่างเป็นสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียจริง!
การลอบสังหารนี้ ทำให้ตาเขากระตุกเล็กน้อย ทว่าจิตใจกลับสงบอย่างมาก ไม่รีบร้อน และจดจ่อกับการหลอมยาต่อ
เคร้ง!!
เกิดเสียงปะทะกันสนั่นสั่นไหว
ในช่วงสำคัญนี้เอง หนิงซือฮวาก็ลงมือ ดาบสีแดงเพลิงรูปร่างคล้ายกับปลาต้านทานดาบยันต์ลึกลับสีดำนั่นทันที
การปะทะกันของทั้งสองห่างจากซูอี้ไม่ถึงหนึ่งฉื่อ ควันหลงลอยกระจายออกไปทั่ว จนกระทบเข้ากับร่างซูอี้
ทำให้ร่างเขาสั่นไหวทันที
ทว่าถึงเป็นเช่นนั้น แต่สีหน้าของซูอี้ยังคงสงบ นิ่งเงียบและมุ่งมั่นเหมือนเดิม เคล็ดวิชาหลอมยาในมือซูอี้ยังเป็นระเบียบ และไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น
ครั้นเห็นเป็นเช่นนี้ หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ต่างเหงื่อไหลออกมา พลันสีหน้าแต่ละคนเคร่งขรึมขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เคร้ง!
หลังจากดาบยันต์ลึกลับสีดำนั้นถูกขวางไว้ ก็ทะยานออกไปในความมืดที่อยู่ไกล ๆ ทันที
เมื่อมองตามไป ชั่วครู่หนึ่งหนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ก็มองเห็น กลุ่มคนที่เดินออกมาจากสถานที่ไกล ๆ นั้น
ผู้ที่นำมาคนแรกคือชายที่สวมชุดคลุมยาว หน้าตาธรรมดา ทว่าดวงตากลับเฉียบคมดั่งเหยี่ยว
ผู้ที่อยู่ด้านข้างเขาคือชายชราผมสีเงินที่ดูมีจิตใจเมตตา และผู้หญิงสวมชุดเต๋าแบกดาบ
เป็นหลี่ตงหลิว ผู้อาวุโสหอชวนกงแห่งสำนักดาบมังกรเร้น ผู้อาวุโสสำนักสายนอกหลีชาง และผู้อาวุโสลำดับสองเลี่ยวอวิ้นหลิว!
เมื่อเห็นทั้งสามคน ดวงตาหนิงซือฮวาและมู่ซีพลันแข็งกร้าวขึ้น
นางจะไม่รู้จักบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ทั้งสามคนที่มาจากสำนักดาบมังกรเร้นได้อย่างไร?
หากมีเพียงแค่นี้ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เคยร่วมมือสังหารกลุ่มบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์จากวัดซ่างหลินมาแล้ว
แม้เผชิญหน้ากับหลี่ตงหลิวและคนอื่น ๆ ในยามนี้ ก็ไม่เกรงกลัวใด ๆ
แต่จังหวะนี้มันไม่ถูกต้อง!
ซูอี้กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการหลอมยา จึงไม่อาจฟุ้งซ่านได้ หากคู่ต่อสู้เหล่านั้นทำลายทั้งหมดโดยมิได้ตั้งใจ ผลที่ตามมาคงมิอาจจะจินตนาการได้
ที่ทำให้หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ กลัดกลุ้มคือ นอกจากสามคนที่อยู่ข้างกายหลี่ตงหลิวแล้ว ยังมีอีกสองคน
ชายชราผอมแห้งเส้นผมยุ่งเหยิง ค้ำไม้เท้าเดิน
และชายวัยกลางคนสวมชุดหยกงดงาม เอวพันรอบด้วยเข็มขัดหยกขาว ท่าทางสุขุมลุ่มลึก ฝ่ามือปรากฏดาบยันต์ลึกลับสีดำออกมา
ที่แท้ การลอบโจมตีเมื่อครู่ ก็มาจากชายวัยกลางคนสวมชุดหยกนี่เอง!
และเมื่อเห็นทั้งสองคนนี้ หนิงซือฮวาพลันขมวดคิ้วแน่น ส่วนใบหน้าหล่อเหลาของมู่ซีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น!