บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 289 ชายตามอง
ตอนที่ 289: ชายตามอง
ตอนที่ 289: ชายตามอง
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีหยกนามว่าหวังถู เจ้าตำหนักจี้เซี่ย!
ผู้เฒ่าร่างผอมผมเผ้ารุงรัง นามว่าเฮ่อเหลียนไห่ เจ้าตำหนักสุ่ยเยว่!
ทั้งสองล้วนเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ต่างก็เบียดตัวเองเข้ามาอยู่ในรายนามสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวังถู ซึ่งกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ วิชา ‘ดาบโลดแล่น’ ของเขาสุดยอดยิ่งนัก
เคยได้รับการขนานนามจากหอสิบทิศว่า ‘วิชาดาบในใต้หล้า ดาบโลดแล่นครอบครองความสุดยอดถึงสามส่วน!’
พวกเขาทั้งสองมาพร้อมกับหลี่ตงหลิวเช่นนี้ ทำให้หนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ รู้ได้ในทันใดว่า… เป็นเรื่องแล้ว!
ถึงแม้หลานซัวไม่รู้จักคนเหล่านี้ ทว่านางรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่ตึงเครียด คิ้วดำเข้มคู่สวยขมวดแน่น ตั้งท่าพร้อมต่อสู้
“ทุกท่านดูสิ ซูอี้ควบคุมพลังแห่งค่ายกลต้องห้ามเพื่อหลอมโอสถในที่แห่งนี้ วิธีการเช่นนี้เปรียบได้กับวิธีการของเทพเซียน หากไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง หลี่ผู้นี่ยังคงไม่อาจจะเชื่อว่ามีบุคคลเช่นนี้อยู่ในโลก”
หลี่ตงหลิวชี้ไปที่ซูอี้ซึ่งนั่งสมาธิลอยตัวอยู่ไกล ๆ พลางเอ่ยขึ้น
เขาแลดูสงบนิ่งมาก
“หึหึ ข้ามองเห็นแต่เพียงตอนนี้เขาเหนื่อยล้าหมดแรงกำลัง เป็นตะเกียงที่ใกล้จะหมดน้ำมัน ไม่อยากจะไปรบกวนเวลาเขาหลอมโอสถเลย”
หลีชางยิ้มพลางลูบเครา
“ไม่รู้เช่นกันว่าเขาหลอมโอสถอันใด จึงมีกลิ่นหอมเข้มข้นเช่นนี้ สู้พวกเรา… รอให้เขาหลอมจนสำเร็จแล้วค่อยฆ่าดีหรือไม่?”
เลี่ยวอวิ้นหลิวผู้สะพายดาบกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ปลายหางตาของนางจับจ้องไปที่เตาหลอมตำหนักม่วงชาดซึ่งมันเลื่อมเป็นเงา
“ไม่ได้ จะเสียเวลาไม่ได้!”
เฮ่อเหลียนไห่ผู้มีผมเผ้ายุ่งเหยิงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ช้าแล้วจะเสียแผน ข้าคิดว่า ควรจะลงมือฆ่าผู้ชั่วร้ายคนนี้ในทันใด”
รอบตัวของเจ้าตำหนักสุ่ยเยว่มีแต่ความดุดันน่ากลัว
“แต่สามท่านนั้นควรต้องทำเช่นใด?”
หวังถู ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีหยกท่าทางงามสง่าเบนสายตามองไปยังพวกของหนิงซือฮวา สีหน้ามีเลศนัย
หลี่ตงหลิวคิดสักครู่ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หนิงซือฮวา พวกเจ้าทั้งสามคิดจะจากไปในตอนนี้ หรือว่าจะให้ข้าเป็นคนส่งพวกเจ้า?”
ให้เขาส่ง นั่นก็หมายความว่าส่งไปสู่หนทางแห่งความตาย!
“ลงมือได้เลย”
หนิงซือฮวามีสีหน้าสงบ น้ำเสียงราบเรียบ ทว่ามีความหนักแน่น
มู่ซีก็หัวเราะเช่นกัน แล้วกล่าวคำ “วันนี้ข้าก็อยากจะดูนักว่าที่แท้แล้วตัวตนของสำนักดาบมังกรเร้นจะแข็งแกร่งพอหรือไม่!”
คำตอบรับของหลานซัวนั้นเรียบง่าย นางกล่าว “พวกเขากำลังกลัวว่าพวกเราจะสู้สุดชีวิต ถึงได้ไม่กล้าลงมือ”
พูดถึงตรงนี้ บนใบหน้างดงามหยิ่งผยองของศิษย์สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนจึงเผยรอยยิ้มแห่งความดูแคลนออกมา ริมฝีปากเผยอน้อย ๆ กล่าวออกมาว่า
“แต่ข้า… ไม่กังวล!”
สวบ!
พอนางยกมือขึ้น เส้นใยสวรรค์ลอยขึ้นฟ้า แสดงอิทธิฤทธิ์ กลายเป็นผนังกั้นลักษณะคล้ายกับกระแสน้ำสีเงินคุ้มกันซูอี้อยู่ด้านหน้า
แทบจะขณะเดียวกัน หลานซัวขยับมือพร้อมกัน มือแต่ละข้างปล่อยยันต์หยกวิถีต้นกำเนิดสิบกว่าแผ่นเข้าใส่
ครืน! ครืน! ครืน!
ชั่วครู่เดียว มรสุม สายฟ้าฟาด ทะเลเพลิง ธนูน้ำ ก้อนหินยักษ์… พลังอิทธิฤทธิ์หลากรูปแบบก็ถาโถมเข้าใส่ประดุจเขื่อนแตก!
ถึงแม้ว่าแต่ละการโจมตีจะไม่อาจเทียบเท่าพลังของเทพเซียนเดินดินที่แท้จริงได้ ทว่ามีความใกล้เคียงพอควร เพียงพอที่จะทำให้บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ก่อนหน้านี้ตอนที่ประมือกับเหล่าหลวงจีนวัดซ่างหลิน หลานซัวก็อาศัยวิธีการโจมตีแบบบ้าระห่ำเช่นนี้สร้างความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงแก่ฝ่ายตรงข้าม
ในชั่วขณะเดียวกันกับที่หลานซัวลงมือ หนิงซือฮวากับมู่ซีก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม หาโอกาสซ้ำเติม
ทว่าเกินความคาดหมาย พอเจอการโจมตีเช่นนี้ หลี่ตงหลิวพลันกางร่มสัมฤทธิ์ในมือ
ครืน!
ขณะที่ร่มสัมฤทธิ์กางออก คล้ายกับมีม่านแสงสีทองทรงกลมเรืองอร่ามกันอยู่ด้านหน้าพวกหลี่ตงหลิว
ท่ามกลางม่านแสงสีทองมีอักขระซับซ้อนยากจะเข้าใจผุดขึ้นมา ส่องแสงสว่างเจิดจ้า
ร่มเฉียนเยวี๋ยน!
เป็นสมบัติล้ำค่าในวิถีต้นกำเนิดที่ผู้ฝึกวิถีต้นกำเนิดหลอมสร้างขึ้น สามารถคุ้มกันวายุสวรรค์ฝนทะเล และยังสามารถบั่นทอนกำลังการโจมตีต่าง ๆ ได้ มีพลังป้องกันแข็งแกร่ง
เมื่อหลายปีก่อน เคยมีเทพเซียนเดินดินของสำนักดาบมังกรเร้นถือร่มคันนี้ ยืนอยู่บนสนามรบเขตชายแดน สามารถป้องกันฝนธนูจากสิบทิศทาง!
ทว่าตอนนี้ สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้กลับถูกหลี่ตงหลินนำออกมาใช้ป้องกันตัวอยู่ข้างหน้า
เห็นเพียง…
ครืน!
การบุกโจมตีของยันต์หยกมหาวิถีแตกระเบิดบนม่านแสงสีทองราวกับพลุไฟ พลังการทำลายล้างที่เกิดขึ้นสั่นสะเทือนจนม่านแสงสีทองเกิดเป็นระลอกคลื่นรุนแรง
แต่อย่างไรก็ไม่อาจทะลวงม่านแสงสีทองได้
หนิงซือฮวากับมู่ซีเกิดความตระหนกขึ้นในใจ กระทั่งสมบัติล้ำค่าเช่นนี้หลี่ตงหลิวก็ยังนำมาด้วย เห็นได้ชัดว่าเตรียมการมาก่อนแล้วเป็นอย่างดี
คิ้วดำขลับของหลานซัวก็ขมวดด้วยความคาดไม่ถึงเช่นกัน
“ยันต์หยกวิถีต้นกำเนิดเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติชั้นดี มาทำเสียของเช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก”
หลี่ตงหลิวเก็บร่มเฉียนเยวี๋ยน พลางกล่าวด้วยความเสียดาย
หลีชางหัวเราะหึ ๆ พร้อมปั้นสีหน้าเมตตา “หากว่าคนต้องตายด้วย ย่อมน่าเสียดายยิ่งกว่า”
ชิ้ง!
เลี่ยวอวิ้นหลิวชักดาบที่สะพายอยู่ข้างหลัง กล่าวอย่างเฉียบขาด “ลงมือ!”
เสียงยังคงดังก้อง พอฝ่าเท้าของนางย่ำโดนพื้น ร่างของนางก็พุ่งเข้าหาหนิงซือฮวา รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
สวบ!
ดาบวิถีประดุจเกล็ดหิมะ สว่างเจิดจ้า แฝงไว้ซึ่งพลังอันยิ่งใหญ่
แทบจะในขณะเดียวกัน หลี่ตงหลิวยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ แล้วพุ่งตรงไปหาหลานซัว แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด ซัดหมัดออกไป
พอผู้อาวุโสแห่งหอชวนกงของสำนักดาบมังกรเร้นท่านนี้ลงมือ รุนแรงประดุจอสูรเทพ เพียงแค่หมัดเดียวเท่านั้นก็แสดงพลังสะเทือนฟ้าสะท้านแผ่นดิน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง พอหลีชางผู้มีหนวดเคราขาวโพลนสะบัดแขนเสื้อขึ้น มีดบินสีดำเล่มหนึ่งก็พุ่งขึ้นมา หมุนรอบตัวเองแล้วพุ่งแทงไปยังมู่ซี
ชั่วพริบตา บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามจากสำนักดาบมังกรเร้นก็บุกเข้าใส่พวกของหนิงซือฮวา ร่วมมือกันเป็นอย่างดีไม่มีแม้ช่องโหว่
ครืน!!
พอการต่อสู้ปะทุขึ้น หนิงซือฮวา มู่ซี กับหลานซัวก็ใช้วิธีการทั้งหมดที่มีแบบไม่มีหมกเม็ด
เพราะว่าสถานการณ์คับขันอันตรายเกินไป!
หากว่าเป็นช่วงปกติ พวกเขาคงไม่ต้องสู้สุดชีวิตโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นเช่นนี้
ทว่าตอนนี้ พวกเขาไหนเลยจะมองไม่ออกว่า หลี่ตงหลิวกับพรรคพวกอีกสามคนคิดจะรั้งพวกเขา เพื่อให้หวังถูกับเฮ่อเหลียนไห่ไปจัดการกับซูอี้?
แต่เวลานี้ซูอี้กำลังหลอมโอสถ ไม่อาจให้ความสนใจต่อเรื่องอื่น!
ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ ต่อให้สละทิ้งโอสถในเตาหลอม ทว่าซูอี้ในตอนนี้เปรียบเสมือนตะเกียงที่ใกล้จะหมดน้ำมัน อยู่ในสภาวะอ่อนแออย่างที่สุด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากปล่อยให้เขาถูกทำร้าย ผลที่ตามมาแทบไม่อาจคาดเดา!
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนิงซือฮวา มู่ซี หรือหลานซัว ต่างก็ต่อสู้อย่างสุดความสามารถ สุดชีวิตตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อหยุดยั้งผลที่เลวร้ายที่สุด
เพียงแต่ว่า…
พวกของหลี่ตงหลิวไหนเลยจะเดาไม่ออกว่าหนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ กังวลเรื่องอันใด?
ดังนั้นพวกเขาจึงลงมืออย่างเต็มที่เช่นกัน!
เมื่อการต่อสู้เช่นนี้เริ่มปะทุ จึงเป็นสาเหตุทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เสี่ยงต่อชีวิตอย่างที่สุด!
ขณะที่การต่อสู้เพิ่งปะทุขึ้น หวังถูเจ้าตำหนักจี้เซี่ยกับเฮ่อเหลียนไห่เจ้าตำหนักสุ่ยเยว่ก็รีบพุ่งตรงไปยังซูอี้ที่อยู่ห่างออกไป
หวังถูหยิบดาบยาวสามจั้งออกมา ดาบเล่มนี้มีสีเขียวราวน้ำในสระ คมกริบวาววับประดุจแสงตะวัน แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด ฉับพลันฟันลงไป
ปัง!!!
เดิมทีเส้นใยสวรรค์ซึ่งคล้ายกับกระแสน้ำสีเงินปกป้องร่างของซูอี้ราวกับผนังกั้น
ทว่าเวลานี้กลับถูกหวังถูฟันเข้าอย่างแรงในดาบเดียว ไม่อาจต้านทานรับไว้ได้อีก ร่วงหล่นกับพื้นราวกับงูขาดใจตาย
ฉวยโอกาสดีนี้ เฮ่อเหลียนไห่ที่อยู่อีกด้านร้องตะโกนขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นถือหอกรบสีแดงพุ่งเข้าหาซูอี้ราวกับลูกธนูที่ยิงออกจากคันศร
“ตาย!”
เฮ่อเหลียนไห่ควงหอกรบสีแดงซึ่งส่งประกายแสงสีเลือดไปทั่วฟ้า คมหอกแหวกอากาศตรงเข้าหาซูอี้
ซูอี้ในชั่วขณะนี้ ยังคงนั่งสมาธิราวกับไม่อาจละทิ้งเม็ดยาในเตาหลอม และคล้ายกับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
ในสายตาของเฮ่อเหลียนไห่ ราวกับมองดูแพะที่รอการเชือด!
สีหน้าแววตาของเขามีประกายแห่งความตื่นเต้นดีใจ ยากนักจะปกปิดไว้ได้
ทว่าชั่วขณะที่อันตรายมากเช่นนี้ ร่าง ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ชิ้ง!!!
เสียงปะทะดังแสบแก้วหูดังขึ้น
ร่างที่โผล่เข้ามาทันเวลานั้นได้รับความกระทบกระเทือนจนต้องถอยร่น กระอักเลือดออกมา
หนิงซือฮวา!
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงพุ่งเข้ามาทางนี้โดยไม่สนใจว่าจะได้รับอันตรายหรือไม่ ในช่วงเวลาเป็นตายเท่ากันนางรับการโจมตีอย่างรุนแรงถึงแก่ชีวิตของเฮ่อเหลียนไห่ไว้ได้
ทว่า… นางได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส
ก่อนหน้านี้นางถูกเลี่ยวอวิ้นหลิวฟันหลังจนเหวอะ แผลลึกมากจนมองเห็นกระดูก เลือดไหลเยิ้ม
ทว่าเวลานี้ เนื่องด้วยรับมืออย่างกะทันหัน ถูกหมัดของเฮ่อเหลียนไห่ซัดจนเลือดลมแทบสับสน ได้รับบาดเจ็บภายในไม่น้อย ใบหน้างดงามอ่อนวัยดังภาพวาดก็ขาวซีดขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หลัง เลือดไหลย้อยราวกับสายน้ำ
ทว่านางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ปกป้องซูอี้อยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ มือถือง้าวจันทร์แรมเพลิงคราม อีกมือหนึ่งถือดาบไหลปลานิลแดง
ไม่สนใจความเป็นความตาย!
“เจ้าเป็นถึงเจ้าตำหนักเทียนหยวน เพื่อซูอี้คนนี้ ถึงกับไม่คิดชีวิตเลยเชียวหรือ? แต่น่าเสียดาย… เจ้าต้านทานไม่อยู่”
เลี่ยวอวิ้นหลิวส่ายหน้าราวกับคลางแคลงสงสัยเป็นอย่างมาก
ขณะที่กำลังพูด นางก็บุกเข้าหา ดาบฟันลงมาราวกับเทพอัสนีทรงพลัง
ขณะเดียวกัน หวังถูกับเฮ่อเหลียนไห่ก็ลงมือพร้อมกัน แต่ละคนร้ายกาจยิ่งนัก ไม่ยอมพลาดโอกาสแม้แต่น้อย
ถูกบุคคลยิ่งใหญ่ทั้งสามประกบพร้อมกันเช่นนี้ หนิงซือฮวาสูดหายใจลึก ๆ แววประกายแห่งความบ้าระห่ำผุดขึ้นในดวงตา สีหน้าสงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม
ราวกับว่านางกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ในร่างของนาง พลังกลุ่มหนึ่งที่คล้ายกับถูกปิดผนึกมานานเริ่มตื่นขึ้นมาทีละน้อย…
ทว่าในชั่วขณะนี้เอง มีเสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู
“ต่อกรกับพวกเห็บหมัดเหล่านี้ ไม่คู่ควรใช้ไพ่ใบสุดท้ายของเจ้า”
หนิงซือฮวาตะลึง
ในชั่วขณะที่เสียงราบเรียบนั้นดังขึ้น ซูอี้ซึ่งเดิมทีลอยตัวนั่งสมาธิอยู่ จู่ ๆ ก็หันหน้ากวาดตามองดูเลี่ยวอวิ้นหลิว หวังถู กับเฮ่อเหลียนไห่
ดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นั้นราวกับหลุมดำกลางท้องฟ้า ลึกล้ำจนไม่อาจคาดคะเน ก่อนคมดาบอันแหลมกริบจะปรากฏขึ้นอยู่ภายใน
ครืน!
เลี่ยวอวิ้นหลิวกับอีกสองคนที่พุ่งเข้ามาถึงกับชะงัก จิตวิญญาณถูกพลังดาบที่ยิ่งใหญ่ราวกับภูเขาไร้ขอบเขตฟัน เจ็บจนต้องส่งเสียงร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ถัดมา ร่างของพวกเขาก็ถอยร่น แต่ละคนมีเลือดออกจากปาก ความเจ็บปวด ตื่นตระหนก ยากนักจะเชื่อผุดขึ้นบนใบหน้า เหงื่อผุดเต็มสันหลัง
เคล็ดวิชาจิตวิญญาณ!
เมื่อสักครู่นี้ ซูอี้เพียงแค่ชายตามองเท่านั้นก็ทำร้ายจิตวิญญาณของพวกเขาจนได้รับบาดเจ็บด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่ไร้รูปร่าง
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาหลบได้ทันกาล จิตวิญญาณคงถูกฆ่าตายไปแล้ว!
ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้คนทั้งหลายที่กำลังรบราฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดถึงกับพากันตื่นตระหนก
“มันเรื่องอันใดกัน?”
หลี่ตงหลิว หลีชางต่างก็ขมวดคิ้วแน่น
“ดูเหมือนว่าซูอี้…จะฟื้นพลังกลับคืนมาแล้ว?”
ในดวงตาของมู่ซีกับหลานซัวฉายแววแห่งความยินดีออกมา เวลานี้จิตใจที่เกร็งจนแข็งของพวกเขารู้สึกผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
ทว่าเวลานี้เอง หนิงซือฮวาราวกับสังเกตเจออะไรบางอย่าง อดเบนสายตามองไปที่ซูอี้ไม่ได้