บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 29 เจ้านายคนใหม่ปรากฏตัว
ตอนที่ 29 เจ้านายคนใหม่ปรากฏตัว
เช้าวันถัดมา
ซูอี้พาดถุงย่ามเอาไว้บนบ่าซึ่งภายในถุงเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้จำเป็น ก่อนจะก้าวเดินออกจากเรือนหลังเล็กที่ใช้อยู่อาศัยมาทั้งปี
นับจากวันนี้ เขาจะรับช่วงต่อกิจการสำนักแพทย์ซิ่งหวง และอาศัยอยู่ที่นั่น
‘วันนี้คงไม่ไปฝึกที่ริมแม่น้ำต้าฉาง ไว้รอคอยเวลาที่เหมาะสม ก็ยังไม่สายเกินไป’
‘ส่วนเรื่องการตีดาบ คงได้แต่ต้องพับเก็บไว้ก่อน’
ระหว่างครุ่นคิด ซูอี้ก็ออกจากจวนตระกูลเหวินไป
ถนนวิหคเขียว เมืองกว่างหลิง
ถนนเส้นนี้จอแจพลุกพล่าน เต็มไปด้วยผู้คนส่งเสียงดังหลากหลาย
ที่อาณาจักรโจว มีคนเพียงน้อยนิดที่สามารถบ่มเพาะ ส่วนใหญ่แล้วนั้นจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา หาเลี้ยงชีพโดยการทำกสิกรรม หรือค้าขาย
ซูอี้ก้าวเดินท่ามกลางฝูงชนด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่ในใจพลางครุ่นคิด
‘ที่สำนักแพทย์ซิ่งหวง สมุนไพรโอสถแต่ละชนิดที่เข้ามาในแต่ละวันเหล่านั้นสามารถนำมาใช้เพื่อการบ่มเพาะได้’
‘สำหรับตัวข้า มันถือเป็นเรื่องดีที่ประจวบเหมาะกับสถานการณ์ใกล้ขาดแคลนสมุนไพร’
‘ส่วนเป้าหมายการหาเงินหนึ่งพันตำลึงให้ได้ในทุกเดือนนั้น…’
“หืม?” ซูอี้หยุดชะงัก สายตามองไปยังที่ไม่ไกลออกไป
ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดหรูหรากำลังก้าวเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และก่อนจะทันถึงตัวซูอี้ เขาโค้งกายพร้อมประสานมือคารวะ
“พี่ซู ท่านมาเดินซื้อของงั้นหรือ? ช่างบังเอิญนัก!”
เป็นหวงเฉียนจวิน
ทันทีที่ชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในทางลบแห่งเมืองกว่างหลิงปรากฏตัว เหล่าผู้สัญจรถนนใกล้เคียงต่างถอยกันไปคนแล้วคนเล่า ประหนึ่งสัตว์ที่หนีอุทกภัย
“นึกว่าเจ้ามารอคอยข้าอยู่แต่แรกเสียอีก”
ซูอี้มองอีกฝ่าย ขณะนี้เป็นช่วงเวลาเช้า นายน้อยผู้มั่งคั่งและโอหังอย่างหวงเฉียนจวินหรือจะว่างมาเดินซื้อของเวลาเช่นนี้?
หวงเฉียนจวินเผยท่าทีเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากอธิบาย “พี่ซู…”
ซูอี้ขัดคำขึ้น “ข้าทราบดี บิดาเจ้าน่าจะกล่าวบอกให้กระทำเช่นนี้ กลับไปบอกบิดาเจ้าเถิด ว่านี่ไม่จำเป็นหรอก”
สิ้นคำ เขาจึงก้าวเดินต่อไป
หวงเฉียนจวินรู้สึกผิดอยู่ครู่ ซูอี้คาดเดาได้แม่นยำอย่างแท้จริง เป็นบิดาของเขาจริง ๆ ที่เอ่ยบอกให้เขามารอ
บิดาของเขาหวงอวิ๋นชงสั่งการให้ตนคอยหาทุกโอกาสเข้าใกล้ซูอี้ ไม่ว่าด้วยอะไรก็ต้องเข้าใกล้ให้มากขึ้นให้ได้
ทว่าหากไม่มีโอกาส ก็ต้องสร้างโอกาสขึ้นเอง!
ในตอนนั้นหวงเฉียนจวินอดไม่ไหวกล่าวถามบิดาอย่างไม่รู้ความ ว่าต้องการให้ตนเองเป็นสหายกับซูอี้งั้นหรือ แต่สิ่งที่พ่อของเขาตอบกลับมานั้นคือ อย่าว่าแต่เป็นสหายเลย หากซูอี้พึงพอใจ แม้เขาจะต้องกลายเป็นเพียงลิ่วล้อก็ต้องยอม!
มันจึงเป็นเหตุวันนี้ให้ได้เห็น
“นี่ข้าจะต้องไปเป็นลิ่วล้อผู้อื่นจริง ๆ งั้นหรือ?”
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบเห็นซูอี้เดินจากไปไกลยิ่งขึ้น หวงเฉียนจวินกัดฟัน เร่งรีบก้าวฝีเท้าไล่ตาม
เขานึกถึงลิ่วล้อซึ่งเคยติดตามข้างกายตนเอง ทุกวันจะคอยตามทุกฝีก้าว ช่างจ้อ อัธยาศัยดี รวมถึงภักดี หากกล่าวบอกให้ไปทางตะวันตก พวกเขาจะไม่กล้าไปยังตะวันออก…
เมื่อก่อนเขาคือผู้นำและผู้สั่งโดยตลอด
แต่ตอนนี้ หวงเฉียนจวินกลับต้องเรียนรู้ที่จะตาม…
ซูอี้ตระหนักทราบหวงเฉียนจวินเดินตามตนมาตลอดทาง ทว่าเมินเฉย
“พี่ซูขออย่าขับไล่ไสส่งข้า!”
หวงเฉียนจวินก้าวเท้าตามรวดเร็ว ถ้อยคำกล่าวด้วยสีหน้าเขินอาย “พี่ซู สัมภาระของท่านให้ข้าถือให้ดีกว่า!”
เมื่อตระหนักเห็นถึงสัมภาระบนบ่าของซูอี้ เขารีบฉวยโอกาสสร้างความพอใจทันที
“ตามแต่เจ้า” ซูอี้โยนสัมภาระของตนให้
หวงเฉียนจวินรีบรับสัมภาระไว้อย่างระมัดระวัง ในใจนึกตื่นเต้นยินดี เพราะมันหมายความว่า… พี่ซูไม่ได้ปฏิเสธตนเองใช่หรือไม่?
หากบิดาของเขาทราบ ก็คงร่วมยินดีด้วยกระมัง?
และเหตุการณ์ถัดจากนี้ มันจะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่!
ซูอี้ไม่นึกคิด ว่าเพียงให้หวงเฉียนจวินแบกหามสัมภาระ จะทำให้อีกฝ่ายยินดีเพียงนี้ได้
ไม่ช้า ซูอี้ค่อยได้เห็นป้าย ‘สำนักแพทย์ซิ่งหวง’ จากแต่ไกล
มันคืออาคารสูงสามชั้น หันหน้าเข้าหาถนน ดูค่อนข้างโบราณ
สาเหตุที่ตระกูลเหวินมีฐานะเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองกว่างหลิง เป็นเพราะครอบครองกิจการ ‘สมุนไพรโอสถ’ ของเมืองไว้ถึงเก้าในสิบส่วน อีกทั้งยังมีแปลงเพาะปลูกสมุนไพรโอสถกว่าหนึ่งหมื่นไร่
ตระกูลเหวินยังจ้างคนงานเก็บเกี่ยวสมุนไพรนับพัน พวกเขาเหล่านี้ จะเข้าไปยังส่วนลึกของป่าและภูเขาเพื่อเก็บสมุนไพรต่าง ๆ โดยตลอด
ลำพังภายในเมืองกว่างหลิง ตระกูลเหวินมีสำนักแพทย์สิบหกแห่ง และร้านโอสถอีกสิบเก้าแห่ง
สำนักแพทย์ซิ่งหวงก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผู้คนต่างรอคอยได้พบแพทย์ เพื่อรับยาเป็นแถวยาวตรงหน้าสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ขณะนี้เองที่สองคนรับใช้ปรากฏตัว พร้อมตะโกนขับไล่ผู้คนไป
“วันนี้สำนักแพทย์ซิ่งหวงปิดทำการชั่วคราว ทุกท่านโปรดไปยังสำนักแพทย์แห่งอื่นก่อน!”
“เราไม่อาจเปิดทำการได้ตอนนี้ เนื่องจากเถ้าแก่ของพวกเราถูกเปลี่ยนตัวคนไปแล้ว และขณะที่เถ้าแก่ใหม่ก็ยังมาไม่ถึง”
ทันใดนี้เอง เสียงฮือฮาพลันปรากฏในแถวรอคอย บ้างก็ถอนหายใจอย่างผิดหวัง บ้างก็ส่ายศีรษะอย่างอับจน บ้างก็สบถก่นด่า เป็นภาพฉากอันโกลาหล
กระนั้นสองข้ารับใช้หาได้สนใจไม่ เพียงหันกลับเตรียมปิดประตูสำนักแพทย์
“รอเดี๋ยว!”
เสียงหนึ่งดังขึ้น “เถ้าแก่คนใหม่อยู่ที่นี่แล้ว วันนี้พวกเราจะปิดทำการ!”
สองข้ารับใช้เกิดประหลาดใจ
บรรดาผู้ซึ่งต่อแถวอยู่ต่างหันมองเช่นกัน
พบเห็นเป็นร่างคนผู้หนึ่ง ในชุดสีคราม ร่างผอมและสูง ใบหน้าหมดจด
“ท่านคือ?” หนึ่งในข้ารับใช้เอ่ยถามด้วยใบหน้าใคร่สงสัย
“ข้าคือเถ้าแก่คนใหม่”
ซูอี้เผยสีหน้าเรียบเฉย สำรวจมองยังสำนักแพทย์ซิ่งหวง ทั้งลอบครุ่นคิดว่าสถานที่นี้ไม่ไกลห่างจากแม่น้ำต้าฉางที่ภายนอกเมือง ถือว่าไม่เลว
“เจ้าคือซูอี้?” ข้ารับใช้คนเดิมโพล่งออกมา
ซูอี้!
คนรับใช้อีกคนพลันตอบสนอง แค่นเสียง ทั้งยังกล่าวเหยียดหยาม “รอไม่ไหวจนถึงขนาดป่าวประกาศเป็นเถ้าแก่ตั้งแต่หน้าประตูก่อนจะเข้ามา? หึหึ เกรงว่าเข้ามาแล้วก้นเจ้าจะยังไม่ทันร้อน คงจะทนไม่ไหวจนแทรกแผ่นดินหนีกลับไป!”
เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ ซูอี้พลันตระหนักว่าทุกคนในสำนักแพทย์ซิ่งหวงน่าจะวางแผนกันเอาไว้แล้วว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้เถ้าแก่คนใหม่สักฉากหนึ่ง
“กลายเป็นเขานี่เอง บุตรเขยแต่งเข้าบ้านแห่งตระกูลเหวิน”
“คนไร้ค่าเช่นนี้ กลายเป็นเถ้าแก่คนใหม่ของสำนักแพทย์ซิ่งหวง? นี่คู่ควรแล้วหรือ?”
“ไม่แปลกเลยที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงวันนี้ปิดทำการ เพราะเขานี่เอง”
…ผู้คนภายในแถวเริ่มซุบซิบ
ในเมืองกว่างหลิง ผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าซูอี้คือนามของบุตรเขยแต่งเข้าบ้านแห่งตระกูลเหวิน?
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ยังมีหลายคนที่รู้สึกเวทนาเหวินหลิงเจา กล่าวว่านางสมรสกับบุรุษไร้ค่า
“นายน้อย ข้าขอบังอาจกล่าวคำ ท่านควรรีบกลับบ้านไปเป็นบุตรเขยเช่นเดิมเสีย ตำแหน่งเถ้าแก่แห่งสำนักแพทย์ซิ่งหวง ไม่ใช่ที่สำหรับคนเช่นท่าน!”
ข้ารับใช้หนุ่มถึงขั้นไร้ความกลัวเกรง ไม่ทราบดีชั่ว กล่าววาจาอย่างเหยียดหยาม
ซูอี้มองข้ารับใช้หนุ่มก่อนจะกล่าวอย่างเฉยชา “นับจากวันนี้ เจ้าไม่ต้องมายังสำนักแพทย์ซิ่งหวงอีกต่อไปแล้ว”
ข้ารับใช้ชะงักงันไปครู่ ก่อนจะยกนิ้วชี้หน้า “เจ้าคิดไล่ข้าออก? ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคล้ายลืมบอกไป ปู่ของข้ารับใช้นายท่านรองแห่งตระกูลเหวินมาแล้วถึงสามชั่วอายุคน ทั้งยังลงนาม ‘สัญญาขายตน’! ดังนั้นเว้นแต่นายท่านรองแห่งตระกูลเหวิน ก็ไม่มีผู้ใดขับไล่ข้าได้!”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับข้ารับใช้ผู้นี้ที่ภาคภูมิใจกับอีแค่ ‘สัญญาขายตน’
ซูอี้ก้าวเท้าเข้าหา พร้อมตบที่ไหล่ข้ารับใช้หนุ่มตรงหน้า และกล่าวคำ “เจ้าขายตนให้กับตระกูลเหวิน แต่ไม่ใช่สำนักแพทย์ซิ่งหวง ตอนนี้ข้าคือเถ้าแก่ หากเจ้ายังไม่คิดอยากไป เช่นนั้นก็ได้ แต่ข้าจะไม่จ่ายเงินเดือน!”
“เจ้ากล้า!” ดวงตาของข้ารับใช้หนุ่มแดงก่ำ เห็นชัดถึงอารมณ์โกรธเกรี้ยว
“ย่าเจ้าเถอะ! เจ้ากล้าดีอย่างไรพูดจากับพี่ซูเช่นนี้!?” หวงเฉียนจวินที่ตามหลังซูอี้มาโดยตลอด ขณะนี้อดใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป ฝีเท้าก้าวเดินรัวเร็ว ก่อนจะตบหน้าข้ารับใช้ตัวน้อยด้วยหลังมือ
เพียะ!!
ข้ารับใช้ตัวน้อยร่างกระเด็น กลิ้งกับพื้นไปหลายตลบ ศีรษะหลั่งเลือด แก้มแดงบวมปูด กรีดร้องประหนึ่งสุกรถูกเชือด
“บ…บัดซบ…” ข้ารับใช้หนุ่มลุกขึ้น แต่ขณะกำลังจะสบถก่นด่าเขาพลันได้เห็นว่าบุคคลตรงหน้าเป็นผู้ใด
ข้ารับใช้หนุ่มแตกตื่น เสียงสั่นไม่เป็นถ้อยคำ “หวง… พี่หวง?”
เสียงฮือฮาจากกลุ่มคนที่อยู่โดยรอบดังขึ้น แค่เพียงมองปราดเดียวพวกเขาก็ตระหนักทราบแล้วว่าอีกฝ่ายคือหวงเฉียนจวิน นายน้อยโฉดชั่วผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง!
“ยังไม่ไปอีก? หรือต้องให้ข้าไปสั่งสอนคนที่เรือนเจ้าด้วย?”
หวงเฉียนจวินเผยท่าทีดุร้าย
ข้ารับใช้หนุ่มมีหรือกล้าลังเล ขณะนี้เร่งรีบหมุนตัวคุกคลานกับพื้น ไปโดยแทบไม่กล้าหายใจแรง
“น่าขันสิ้นดี!”
หวงเฉียนจวินเบะปาก แต่เพียงพริบตา เขากลับได้พบว่าซูอี้เข้าสำนักแพทย์ซิ่งหวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเร่งรีบติดตามเข้าไป
“นี่มันเรื่องราวใดกัน?”
“ไฉนอันธพาลตระกูลหวงมาอยู่กับบุตรเขยตระกูลเหวินได้กัน?”
“ผู้ใดกันจะทราบ…” ผู้คนเริ่มพูดคุย พวกเขาล้วนสงสัย
ที่ภายในสำนักแพทย์ซิ่งหวง
กลิ่นสมุนไพรโอสถอ่อนจางตกค้างในทุกพื้นที่ของโถงหลัก มันชวนให้ใจสงบลง
แถวโอสถบนตู้จัดแสดงอย่างเป็นระเบียบ ของตกแต่งโบราณถูกประดับวางไว้อย่างประณีต ภายในทั้งสะอาดและกว้างขวาง
“ดีเยี่ยม!” ซูอี้ไพล่มือที่หลัง พลางกล่าวชมอย่างพึงพอใจ
ในช่วงเวลานับจากนี้ ที่นี่จะเป็นที่อยู่อาศัยของตัวเขา
“นายน้อย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
ชายวัยกลางคนร่างผอมบางเดินเข้าหาซูอี้ พร้อมเอ่ยถามด้วยใบหน้าโกรธเคือง
ข้างกายเขายังปรากฏร่างนับสิบ เป็นพ่อบ้าน ผู้ช่วย ศิษย์โอสถ ข้ารับใช้ และอีกหลากหลาย… สีหน้าพวกเขาล้วนอัปลักษณ์
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกสำนักแพทย์ พวกเขาล้วนได้รับชม
ซูอี้เดินไปยังโต๊ะรับรอง นั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัวเถ้าแก่ บิดเอวอย่างสุขสบาย สายตารับชมยังชายวัยกลางคนร่างผอม ถ้อยคำกล่าวเฉยชา
“นับจากวันนี้ ข้าคือเถ้าแก่ของสำนักแพทย์ซิ่งหวง ไม่ว่าในใจพวกเจ้าคิดสิ่งใด หากยังอยากทำงานต่อ ดีที่สุดคืออย่าได้โต้แย้งข้า”
ทันใดนี้เองที่หนึ่งในบุรุษชุดสีเทาแค่นเสียงขึ้นจมูก “ท่านก็แค่ผู้ที่หาได้เข้าใจอะไรไม่ มีคุณสมบัติอะไรมาเป็นเถ้าแก่ของพวกเรา? หากพวกเราคนเก่าแก่ไม่พอใจ เช่นนั้นสำนักแพทย์ซิ่งหวงแห่งนี้ย่อมต้องปิดทำการ!”
ซูอี้มองยังอีกฝ่ายพร้อมกล่าวคำ “ในเมื่อเจ้าไม่เห็นด้วย เช่นนั้นไปได้แล้ว!”
ชายในชุดคลุมสีเทาชะงัก ราวกับไม่เชื่อหูตนเอง “ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!?”
ชายวัยกลางคนที่ยืนข้างเคียงกล่าวย้ำเตือนด้วยสีหน้ามืดหม่น “นายน้อย อู๋ยงคือคนเก่าแก่ของพวกเราสำนักแพทย์ซิ่งหวง ทำงานอย่างขันแข็งให้พวกเราตระกูลเหวินกว่าสามสิบปี ประสบการณ์มากมายล้นพ้น…”
แต่ก่อนจะทันกล่าวจบ ซูอี้เคาะปลายนิ้วกับโต๊ะพร้อมเอ่ยคำขัด “ผู้ใดไม่ต้องการทำงานต่อ เช่นนั้นออกไปได้แล้ว ไม่ว่าสำนักแพทย์ซิ่งหวงปิดกิจการหรืออะไร หาได้เกี่ยวข้องใดกับพวกเจ้าไม่”
ทุกคนในสำนักแพทย์ซิ่งหวงแปรเปลี่ยนสีหน้า ทั้งเริ่มหันมองหน้ากันเอง
หาได้มีผู้ใดคาดคิดไม่ ว่าซูอี้ผู้ซึ่งตระกูลเหวินมองเหยียดหยามมาโดยตลอด จะแข็งกร้าว ถึงขนาดไร้ซึ่งเหตุผล!
“เหอะ! ข้าก็ไม่คิดอยู่รับใช้เจ้าที่เป็นบุตรเขยไม่ได้ความเช่นกัน!”
บุรุษในชุดคลุมสีเทานามอู๋ยงโบกแขนเสื้อกราดเกรี้ยว หันกายกลับและเร่งรุดฝีเท้าออกไปยังภายนอกสำนักแพทย์ซิ่งหวง
กระนั้นไปได้ครึ่งทาง เขากลับถูกหวงเฉียนจวินขวางเอาไว้
วายร้ายเยาว์วัยผู้นี้กล่าวคำเชื่องช้า “เจ้าอู๋ยงใช่ไหม? ขณะนี้เจ้าไปได้ แต่คืนนี้ข้าจะเชิญตัวเองไปเป็นแขกบ้านเจ้า หวังว่าเจ้ากับข้าจะสนทนากันได้ด้วยดี!”
หลังได้ฟัง ใบหน้าอู๋ยงพลันแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง!