บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 291 มอบวิชา
ตอนที่ 291: มอบวิชา
ตอนที่ 291: มอบวิชา
การต่อสู้ที่ดุเดือดกระเทือนวิญญาณ ทำให้หนิงซือฮวา มู่ซี กับหลานซัวต่างก็รู้สึกว่าต่อให้เอาชีวิตเข้าแลกก็ยังยากจะต้านทานไหว
แต่เมื่อซูอี้ยื่นมือมาช่วย กลับจบเรื่องไปได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!
‘เช่นนี้จึงจะเป็นความไร้เทียมทานอย่างแท้จริงกระมัง!’
หนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ มองดูร่างสูงยาวของซูอี้ เกิดความคิดนี้ขึ้นมาในใจ
เพียงแค่สะบัด สามารถทำให้หวังถูได้รับบาดเจ็บสาหัส
อานุภาพเพียงฝ่ามือเดียว สามารถฆ่าเฮ่อเหลียนไห่ได้
ผู้แข็งแกร่งประดุจเลี่ยวอวิ้นหลิวแห่งสำนักดาบมังกรเร้นกลับถูกจับกุมราวกับแมลงวันติดกับ ไม่อาจกระดุกกระดิกไปไหนได้
วิธีการเช่นนี้น่ากลัวมากถึงเพียงใด?
น่ากลัวถึงขั้นที่ว่า บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ในโลกนี้ ไม่ว่าจะมาจากโลกสามัญหรือว่ามาจากกองกำลังฝึกตนอย่างสำนักดาบมังกรเร้น ล้วนไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นศัตรูกับซูอี้!
ค่ายกลกักหมู่มารกลับสู่ความสงบ
“อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูอี้เดินไปหาหนิงซือฮวา ถามขึ้นมาเบา ๆ
“ไม่เป็นไรมาก เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น”
หนิงซือฮวายิ้มตอบบาง ๆ
หลานซัวหยิบขวดหยกใบน้อยออกมา พลางกล่าว “พี่หนิง นี่คือยาผงเกล็ดน้ำค้างสวรรค์ ใช้สำหรับรักษาแผลภายนอกโดยเฉพาะ อีกทั้งยังไม่ทิ้งรอยแผลเป็น พี่หนิงถอดเสื้อออก ข้าจะช่วยใส่ยาให้”
“เอ่อ…”
ไม่รู้เช่นกันว่าหนิงซือฮวานึกอะไรขึ้นมาได้ หน้าแดงระเรื่อขึ้นมา
หลานซัวนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้เช่นกัน แก้มถึงกับร้อนผ่าว รีบกล่าวขึ้นมา “พวกเราไปหาที่ ๆ ไม่มีคนกันเถิด”
พูดพลางก็เดินจากไปพร้อมกับหนิงซือฮวา
“พวกเราเป็นผู้ฝึกตน ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง เพียงแค่ใส่ยาต้องอายถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ? จริง ๆ เลย”
มู่ซีส่ายหน้าหัวเราะ
ซูอี้ชายตามองดูเขาสักครู่พลันกล่าว “เจ้าไปเก็บอาวุธมา”
หากว่าเป็นเมื่อก่อน มู่ซีจะต้องรู้สึกไม่พอใจและย้อนถามว่าเหตุใดจึงต้องเป็นข้า
ทว่า หลังจากที่ถูกซูอี้ใช้ให้ไป ‘เก็บดาบ’ ที่หุบเขามารบุปผาโลหิตเมื่อครั้งก่อนแล้ว เมื่อถูกเรียกใช้เช่นนี้จึงรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
จนถึงขั้นที่ว่าเขายังรู้สึกแอบดีใจเสียด้วยซ้ำ ยิ่งซูอี้ไม่เกรงใจ นั่นไม่เท่ากับแสดงว่าเห็นตนเองเป็นคนกันเองแล้วหรอกหรือ?
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไปเก็บอาวุธด้วยความเต็มใจ
ซูอี้นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น หยิบเตาหลอมตำหนักม่วงชาดออกมา
เมื่อก่อนหน้านี้ตอนที่หลอมเม็ดยา ถึงแม้จะถูกรบกวน ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายอันใดขึ้น เม็ดยาเพียงแค่เสียหายไม่ถึงสองส่วน
ซูอี้ยื่นมือไปตีเตาหลอมตำหนักม่วงชาดเบา ๆ โอสถเม็ดเงางามเม็ดหนึ่งก็กลิ้งออกมา
ดูให้ดี เม็ดยานี้กลมมน มีสีเขียวมรกต เงางามประดุจหยก มีหมอกไอสีขาวล้อมรอบ ผิวนอกมีหลุมขนาดเล็กเก้าหลุม มีเสียงมังกรขู่เสือคำรามดังออกมาแว่ว ๆ มหัศจรรย์ยิ่งนัก
โอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจร!
หนึ่งใน ‘สี่มหาโอสถวิญญาณวิถีต้นกำเนิด’ สุดยอดวิชาหลอมยาของ ‘สำนักโอสถกระจ่าง’ สถานที่หลอมโอสถอันดับหนึ่งของเก้ามหาแดนดิน
และก็เป็นที่รู้จักกันดีในใต้หล้าว่าเป็นโอสถวิญญาณอันดับหนึ่งที่ผู้ฝึกตนใช้สำหรับสร้างพื้นฐานเวลาที่ย่างก้าวสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิด
เพียงแค่เม็ดเดียว ทว่ามูลค่าเทียบได้กับหินวิญญาณระดับสี่นับร้อยก้อน!
อีกทั้งยากนักจะหาซื้อได้ในเก้ามหาแดนดิน
เพราะว่าโอสถชนิดนี้อยู่ในความควบคุมของสำนักโอสถกระจ่าง น้อยนักจะนำออกขายสู่ภายนอก
เมื่อตอนอดีตชาติ เพื่อศึกษาวิถีแห่งการหลอมโอสถ ซูอี้เคยไปถึงสำนักโอสถกระจ่าง เพื่อศึกษาดูสูตรลับวิธีหลอมโอสถเจ็ดสิบสองบทที่เก็บรักษาไว้ในสำนักโอสถกระจ่าง
และยังเคยร่วมศึกษาหนึ่งวิถีหลอมยากับ ‘จักรพรรดิโอสถซูฉางเซิง’ ประมุขผู้ก่อตั้งสำนักโอสถกระจ่าง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้วิธีการหลอมโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจร
“หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ยืมค่ายกลกักหมู่มารมาใช้ ด้วยผลการฝึกตนของข้าในตอนนี้ คงไม่อาจหลอมโอสถวิญญาณวิถีต้นกำเนิดอันดับหนึ่งเช่นนี้ได้…”
ซูอี้หยิบโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรออกมาพิจารณาดูอย่างละเอียด ความพึงพอใจผุดขึ้นมาในสายตา
การหลอมยาในครั้งนี้ เขาเสียวัตถุวิญญาณที่เก็บรักษาไว้เกือบแปดส่วน สุดท้ายได้โอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรทั้งสิ้นสี่สิบแปดเม็ด
คุ้มเกินค่าอย่างที่สุด
ไม่นานนัก หนิงซือฮวา หลานซัว กับมู่ซีก็ทยอยกันกลับ
หนิงซือฮวาเปลี่ยนใส่ชุดกระโปรงเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ใบหน้าอิ่มเอิบ ร่างกายกำลังฟื้นฟูดีขึ้นไม่น้อย
ส่วนมู่ซีหอบอาวุธที่เก็บมาได้ มีทั้งโอสถวิญญาณชนิดต่าง ๆ สามสิบกว่าชนิด หินวิญญาณต่าง ๆ สามร้อยกว่าก้อน และยังมีวัตถุวิญญาณกับยันต์หยกอีกมากมายหลายชิ้น
ซูอี้กวาดสายตามองมา ก่อนจะกล่าว “หินวิญญาณระดับสี่ขึ้นไปเก็บไว้ให้ข้า ของสิ่งอื่นพวกเจ้าจงนำไปแบ่งกัน”
มู่ซีทำตามสั่ง
หนิงซือฮวากับหลานซีก็ไม่ได้เกรงใจหรือปฏิเสธแต่อย่างใด
สุดท้าย ซูอี้ได้หินวิญญาณระดับสี่ทั้งสิ้นห้าสิบกว่าก้อน รวมถึงหินวิญญาณระดับห้าที่หาได้ยากมากสองก้อน!
มู่ซี หนิงซือฮวา กับหลานซัวต่างก็พึงพอใจมากเช่นกัน เพราะสิ่งที่ซูอี้ไม่ต้องการ สำหรับพวกเขาแล้วกลับมีมูลค่ามากมายนัก
ยกตัวอย่างเช่นร่มเฉียนเยวี๋ยนคันนั้น ตกไปอยู่ในมือของหนิงซือฮวา
แบ่งสิ่งของที่ริบมาได้แล้ว ซูอี้ก็หยิบเตาหลอมตำหนักม่วงชาดออกมา แบ่งโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรให้คนละสิบสองเม็ด
ทำให้พวกเขาทั้งสามถึงกับดีใจ ไม่คาดฝันมาก่อน
ช่วยไม่ได้ โอสถนี้ล้ำค่ามากเหลือเกิน!
ในอาณาเขตต้าโจวแห่งนี้ อย่าว่าแต่เป็นผู้ฝึกตนทั่วไปเลย กระทั่งเทพเซียนเดินดินก็ยังกระหายอยากได้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลก!
ทว่าตอนนี้ ซูอี้กลับแบ่งให้พวกเขาคนละสิบสองเม็ด หากไม่ยินดีก็ต้องตกใจแล้ว
“สหายเต๋า โอสถนี้ล้ำค่ามากเกินไป พวกเรารับคนละเม็ดก็เพียงพอแล้ว สิ่งอื่น…”
หนิงซือฮวากำลังจะปฏิเสธ ซูอี้ก็ยกมือขึ้นห้าม “ในเมื่อพวกเราเดินทางร่วมกัน ก็ควรจะแบ่งสมบัติเหล่านี้อย่างเท่าเทียมกัน ยิ่งกว่านั้น เพียงแค่โอสถเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมาก”
เห็นเช่นนี้แล้ว ทั้งสามต่างมองตากันและรับโอสถมาเก็บ
“เช่นนี้สิจึงเรียกว่ารวยอย่างแท้จริง…”
หลานซัวแอบยกนิ้วให้ในใจ
เทียบกับโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรแล้ว สมบัติในตัวนางเหล่านั้นแทบไร้ความหมาย
ซูอี้พึงพอใจในการเดินทางสู่ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาในครั้งนี้มากเช่นกัน
ได้รับประโยชน์ที่สุดถึงสามอย่าง คือ กำราบโลหิตมังกรแท้ หลอมโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจร และเปิด ‘ค่ายกลกักหมู่มาร’!
“ไปกันเถอะ พวกเราไปจากที่แห่งนี้กันก่อน”
ซูอี้ลุกขึ้นยืน
จากนั้นทุก ๆ คนก็เดินย้อนกลับทางเดิม
ก่อนจะไป ซูอี้ควบคุม ‘ค่ายกลกักหมู่มาร’ ปิดผนึกโลกใต้พิภพแห่งนั้นเหมือนเมื่อตอนออกจากหุบเขามารบุปผาโลหิต
อย่างน้อยในระยะเวลาสามปี ผู้ฝึกตนต่างภพไม่อาจข้ามผนังกั้นมิติมาสู่โลกนี้ได้อีก
เมืองจินหลิว
ณ หอสุราแห่งหนึ่ง
พวกของซูอี้ที่เพิ่งกลับมาจากขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาสั่งอาหารสุรามาเต็มโต๊ะ พลางพูดคุยพลางดื่มกินกันไป
เมื่อกินดื่มจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ซูอี้หยิบยันต์หยกว่างเปล่าแผ่นหนึ่งออกมา ใช้จิตสัมผัสแทนพู่กัน สลักคาถาลับกำกับลงไป
บัดนี้ เขามี ‘จิตสัมผัส’ แล้ว อยากจะกำกับคาถาลับลงบนยันต์หยกสักแผ่นไม่ใช่เรื่องยากเลย
ไม่นานนัก เขายื่นยันต์หยกให้หนิงซือฮวา ก่อนจะกล่าว “สหายเต๋าหนิง ในนี้คือเคล็ดวิชาสำหรับฝึกจิตวิญญาณ ชื่อว่า ‘ร้อยพันแปรเปลี่ยน’ ถึงแม้จะไม่ได้ร้ายกาจมากนัก แต่มีส่วนช่วยเวลาที่เจ้าบรรลุขอบเขตเพื่อเข้าสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิดในวันข้างหน้า”
หนิงซือฮวาตะลึง กล่าวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ “หรือว่าสหายเต๋า… มองออกว่าการฝึกตนของข้าในตอนนี้อยู่ในสภาวะคอขวด?”
ซูอี้พยักหน้า “สามารถมองออกได้บ้างคร่าว ๆ”
ตอนที่อยู่ข้างใต้เจดีย์เก้าชั้น ซูอี้รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของหนิงซือฮวามีความไวต่อการรับรู้อย่างแรงกล้า อีกทั้งภายในร่างยังปิดผนึกพลังลึกลับกลุ่มหนึ่งเอาไว้
กอปรกับเคยร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน ทำให้ซูอี้เข้าใจเป็นอย่างดีว่าหนิงซือฮวาเจอปัญหาคอขวด
ซึ่งปัญหาคอขวดนี้มีความเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของนาง
“ขอบคุณสหายเต๋าที่มอบวิชา!”
สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่งแล้วหนิงซือฮวาจึงรับยันต์หยกชิ้นนั้นมา
เมื่อรู้สึกได้ถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ของ ‘ร้อยพันแปรเปลี่ยน’ ในยันต์หยกแล้ว นางถึงกับนิ่งตะลึงงัน เกิดคลื่นลูกใหญ่ถาโถมในจิตใจ ปลายนิ้วเรียวยาวขาวเนียนสั่นสะท้านน้อย ๆ
ด้วยสายตาอันแหลมคมของนางสามารถตัดสินได้ในชั่วพริบตาว่านี่คือวิชาฝึกฝนจิตวิญญาณระดับสูงสุด!
ไม่ได้มีความธรรมดาเหมือนดังที่ซูอี้กล่าวสักนิด!
“สหายเต๋า ข้า…”
นิ่งเงียบไปนานมาก หนิงซือฮวาจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมา ซูอี้ก็ยิ้มพลางตัดบท “หากว่าจะกล่าวคำขอบคุณ ไม่จำเป็นหรอก”
หนิงซือฮวาสะอึก จากนั้นจึงกล่าวอย่างรวดเร็ว “ได้!”
ซูอี้คิดสักครู่จึงสลักเคล็ดวิชาฝึกตนอีกวิชาหนึ่งลงบนยันต์หยกอีกชิ้น และยื่นให้มู่ซี แล้วกล่าวคำออก
“พลังจี้หยกโลหิตชิ้นนั้นทำให้เจ้าสร้างรากฐานการฝึกตนอย่างมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังทางกาย ฝึกฝนได้ไม่ธรรมดาเลย แต่วิชาการฝึกตนที่เจ้าเรียนรู้ธรรมดาเกินไป มีผลกระทบต่อการก้าวสู่ขอบเขตการฝึกตนของเจ้า”
“นี่คือวิชาแขนงหนึ่งชื่อว่า ‘คัมภีร์รู้แจ้งตะวันมืด’ สืบทอดจากสำนักเต๋า มีประโยชน์ต่อการฝึกร่างกายและหลอมพลังโลหิตวิญญาณแท้จริงเป็นอย่างมาก เจ้าจงรับไว้”
มู่ซีเดิมทีรู้สึกอิจฉาหนิงซือฮวาอยู่บ้าง พอเห็นเช่นนี้แล้วเขากล่าวแบบไม่อยากจะเชื่อ “ยัง… ยังมีของข้าด้วยเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่ต้องการ?” ซูอี้ถาม
มู่ซีรีบยื่นสองมือไปรับราวกับถูกไฟช็อต ยิ้มหน้าบานพลางกล่าว “ข้าไหนเลยจะพลาดโอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้!”
เขาดีใจมาก ยากนักจะกลบเกลื่อน
เห็นเช่นนี้แล้ว หลานซัวอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “คุณชายซู ข้าเล่า?”
“เจ้า?”
ซูอี้โพล่งออกมา “เจ้าไม่ขาดแคลนวิชาใด ๆ สิ่งที่ขาดคือฝึกฝนสภาพจิตใจ เมื่อไรที่สามารถละทิ้งความเคยชินที่ชอบพึ่งพาสิ่งนอกกาย ผลการฝึกตนเข้าสู่ขอบเขตก็จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา”
หลานซัวทำหน้าเศร้าขึ้นมา เบะปากกล่าว “ยากจัง… หากว่าข้าไม่ต้องใช้สมบัติล้ำค่าเหล่านั้น ผู้อาวุโสในบ้านจะต้องไม่ยอมเป็นแน่!”
ทุก ๆ คน “…”
พูดคุยกันต่ออีกสักครู่ ซูอี้ก็ตัดสินใจแยกตัวลาจาก
“พวกเราแยกกันตรงนี้”
ทุกคนเดินออกมาจากหอสุราแล้ว ซูอี้เอ่ยกล่าว
ผ่านขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาแล้วก็เข้าสู่เขตแดนแคว้นไป๋ ผ่านแคว้นไป๋ไปก็เป็นนครหลวงอวี้จิงของต้าโจว
“สหายเต๋าจะเดินทางไปคนเดียวจริง ๆ หรือ?”
หนิงซือฮวาอดถามขึ้นมาไม่ได้
ก่อนหน้านี้ นางกับมู่ซีแสดงเจตจำนงออกมาแล้วว่าต้องการจะเดินทางไปพร้อมกับซูอี้ ทว่าถูกซูอี้ปฏิเสธ
“บุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับตระกูลซู ข้าจะต้องจัดการด้วยตัวข้าเอง”
ซูอี้กล่าวพลางโบกมืออำลา “ลาก่อน”
พูดพลางก็เดินจากไป
หลานซัวตะลึง “เขา… เขาจากไปเช่นนี้เลยหรือ?”
“สหายเต๋าซูก็เป็นเช่นนี้”
หนิงซือฮวามองดูร่างสูงโปร่งของซูอี้จากไปอย่างช้า ๆ พลันกล่าวขึ้นมาเบา ๆ “พวกเรากลับกันเถิด”
ไม่ว่าจะนางหรือมู่ซี ต่างก็รู้ดีว่าหลังจากผ่านพ้นการเดินทางสู่ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาแล้ว ซูอี้มองพวกเขาว่าเป็นคนกันเองแล้วจริง ๆ
มิเช่นนั้นคงไม่มอบวิชาให้แก่พวกเขาแต่ละคน
เพราะอย่างไรเสีย สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว การมอบวิชามีความหมายที่ต่างออกไป!
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน
ช่วงเช้าวันที่เก้าเดือนสี่
ภายในเขตแดนแคว้นไป๋ ริมถนนสายกว้างมีโรงน้ำชาเล็ก ๆ ตั้งอยู่ เพื่อให้ผู้เดินทางผ่านไปมาได้พักผ่อนกินอาหาร
ซูอี้นั่งลงบนเก้าอี้เก่า ๆ ตัวหนึ่ง จิบชาที่เจ้าของโรงน้ำชาเพิ่งเด็ดมาจากไร่ชาในตอนเช้าตรู่
“พี่ชาย กินพุทราหรือไม่?”
เด็กผู้หญิงถักผมเปียสองข้างอายุห้าหกขวบเดินเข้ามาหา พูดน้ำเสียงอ้อแอ้แบบเด็ก ๆ นางแบมือน้อย ๆ เผยให้เห็นลูกพุทราสีเขียว