บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 292 คนรู้จักเก่า
ตอนที่ 292: คนรู้จักเก่า
ตอนที่ 292: คนรู้จักเก่า
โรงน้ำชานี้ตั้งอยู่ฝั่งห่างไกลจากถนนสายหลัก
ในเวลานี้ นอกจากซูอี้แล้ว ยังมีผู้คนมากกว่าสิบที่กำลังดื่มชาและพักผ่อนในโรงน้ำชาแห่งนี้ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่นั่งกระจัดกระจายอยู่ตามโต๊ะและเก้าอี้ต่าง ๆ
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างหน้าเขานั้นน่ารักน่าชัง นางถักเปียคู่บนศีรษะ และมัดเอาไว้ด้วยยางสีชมพู
ซูอี้เหลือบมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และพุทราสีเขียวในมือของนาง จากนั้นดื่มชาของตนเองจนหมดก่อนเอ่ยคำออก “ไปกันเถิด”
ท่าทีของเขาเย็นชา และน้ำเสียงก็เผยออกซึ่งความไม่แยแส
เด็กหญิงตัวเล็กชะงักครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่ทันตั้งตัวก่อนจะพูดอย่างไม่พอใจในทันทีว่า “พี่ชาย ข้าชวนท่านกิน เหตุใดท่านจึงหยาบคายถึงเพียงนี้”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทันใดนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าตางดงามรีบโผเข้ามากอดเด็กหญิงตัวเล็กเอาไว้และตำหนิด้วยเสียงต่ำ “เด็กดื้อ อย่าได้เสียมารยาทกับผู้อื่นเช่นนี้!”
หลังจากพูดเสร็จ นางเงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างขอโทษต่อซูอี้และพูดว่า “เด็กคนนี้ไม่รู้ความ โปรดคุณชายอย่าได้ถือสาเลย”
สีหน้าของซูอี้ยังคงเย็นชาและเขาก็ไม่ได้เอ่ยตอบแม้เพียงครึ่งคำ
รอยยิ้มของหญิงสาวแข็งค้างอย่างฉับพลัน จากนั้นนางหันหลังเดินออกไปพร้อมกับเด็กหญิงตัวเล็ก ก่อนจะไปนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก
บนโต๊ะนั้นยังมีชายหนุ่มหน้าซีดราวกับป่วยไข้สวมชุดสีเทาและชายชราหลังค่อมซึ่งสวมเสื้อผ้าที่ดูเก่าซอมซ่อนั่งอยู่ด้วย
ชายหนุ่มชุดเทาดื่มชาอย่างเงียบงันราวกับว่าเขาไม่สนใจเรื่องอื่น
ทว่าชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวพาเด็กหญิงกลับมา
ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้น เดินตรงไปที่โต๊ะของซูอี้ และนั่งลงก่อนจะเอ่ยถาม “คุณชายผู้นี้วางแผนจะเดินทางไปมหานครไป๋โจวใช่หรือไม่”
เช่นเดียวกับมหานครกุ่นโจว มหานครไป๋โจวเป็นเมืองหลวงของแคว้นไป๋
ซูอี้เหลือบมองคนอื่น ๆ ในโรงน้ำชา จากนั้นจึงมองชายชราที่นั่งอยู่ตรงข้าม และพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะทำสิ่งใดที่นี่ แต่ข้าขอเตือนว่าอย่าได้มายุ่งวุ่นวายกับข้าจะดีกว่า”
จบประโยค ซูอี้ก็หยิบโสมขาวหิมะออกมากิน
รสชาติของโสมขาวนี้ไม่เหมือนสมุนไพรวิญญาณชนิดอื่น มันทั้งหวาน หอม อร่อย และกรุบกรอบ ท้องที่หิวของซูอี้รู้สึกสบายขึ้นในทันที
เปลือกตาของชายชรากระตุกถี่ คนหนุ่มผู้นี้กินโสมขาวหิมะซึ่งเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับสี่ไม่ต่างจากกินหัวไชเท้าเลยงั้นหรือ!?
เมื่อย้อนนึกถึงคำพูดของซูอี้เมื่อครู่นี้ สีหน้าของชายชราก็ยิ่งซับซ้อน เริ่มตระหนักได้ว่าคนหนุ่มผู้นี้หาใช่ธรรมดาทั่วไปไม่
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ชายชราจึงลุกขึ้นยืนและโค้งตัวเล็กน้อย “ขออภัยที่รบกวนคุณชาย”
พูดจบเขาก็หันหลังและเดินจากไป
เมื่อเห็นชายชราเดินกลับมา ชายหนุ่มหน้าซีดในชุดเทาส่ายหัวและกล่าวว่า “ยิ่งอายุมากความหาญกล้ายิ่งลดทอน”
ชายชราที่สวมชุดผ้าขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกด้วยเสียงต่ำ “รอบคอบไว้ย่อมดีกว่า ชายหนุ่มผู้นั้นหาใช่คนธรรมดาไม่”
ชายหนุ่มชุดเทายิ้มแล้วพูดว่า “หากท่านไม่เห็นเบาะแสในตัวชายหนุ่มผู้นั้นเสียก่อน ท่านคงไม่ยอมถอยง่ายเช่นนั้นสินะ?”
หลังจากพูดจบประโยคเขาก็ไออยู่หลายครั้ง และขณะเดียวกันซือสื่อหรานก็ได้ยืนขึ้น สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าดุดัน
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่จงฟัง! ข้าขอพูดอย่างไม่ปิดบัง กลุ่มของข้ามาที่นี่เพราะได้รับคำสั่ง พวกเรากำลังรอประหารเหล่าศัตรูของเราในที่แห่งนี้ หากผู้ใดไม่ต้องการถูกลูกหลงข้าขอแนะนำให้ออกไปในทันที!”
ในโรงน้ำชา สีหน้าของหลายคนแปรเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อได้ยินคำประกาศนี้ พวกเขารีบลุกขึ้นและจากไปอย่างรวดเร็ว
แม้แต่เจ้าของโรงน้ำชาก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง เขารีบวิ่งออกไปโดยไม่ลังเลเลย
ไม่นานนัก มีเพียงซูอี้ กลุ่มของชายหนุ่มในชุดสีเทาและชายสวมหมวกซึ่งนั่งอยู่คนเดียวไม่ไกลนักหลงเหลืออยู่ในโรงน้ำชา
ชายหนุ่มชุดเทามองชายที่สวมหมวกแล้วเอ่ยออกอย่างใจเย็น “แลดูเถิด ไม่ใช่มีเพียงเราที่ไม่หวั่นเกรงต่อปัญหาใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น”
ชายชราในชุดเก่าคร่ำคร่า หญิงงาม และเด็กหญิงตัวน้อย ทุกคนมองไปที่ชายสวมหมวกด้วยสีหน้าที่ต่างกัน
ชายสวมหมวกไม้ไผ่สาน
เขาแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบและมีรูปร่างผอมบาง เขานั่งหันหลังให้ทุกคนราวกับไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของผู้อื่น ซึ่งการทำเช่นนี้มันยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้อื่นมากยิ่งกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน รถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งมาตามถนนสายหลักใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
คนขับเป็นชายวัยกลางคนซึ่งดูแข็งแกร่ง รูปร่างหนากำยำและมีหนวดเคราดกหนาปกคลุมใบหน้า ผิวพรรณสีเข้ม ดวงตาเปล่งประกายประดุจมีสายฟ้าไหลผ่าน
เมื่อรถม้าถึงหน้าโรงน้ำชา ชายวัยกลางคนผู้แข็งแกร่งดึงบังเหียนกะทันหันและหยุดรถม้า
เกือบในเวลาเดียวกัน
ชายชราหลังค่อม ชายหนุ่มชุดเทา หญิงงาม และเด็กหญิงตัวเล็กต่างลุกขึ้นยืนพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายอันแกร่งกล้าให้พลุ่งพล่านออกจากร่างกายของพวกเขา
น่าแปลกที่เด็กหญิงอายุดูไม่เกินห้าหกปีกลับไม่ได้มีกลิ่นอายที่ด้อยกว่าไปกว่าคนอื่น ๆ ขณะนี้ใบหน้าเล็ก ๆ ที่ไร้เดียงสาของนางเต็มไปด้วยเจตนาฆ่ากระหายเลือด
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอย่างกะทันหัน
“เซี่ยเยวี่ยนซาน เจ้าหนีไม่พ้นหรอก ในพื้นที่สามสิบลี้นี้ นอกจากพวกข้าสี่คน ยังมีอีกเจ็ดกลุ่มที่ดักซุ่มอยู่ใกล้เคียง แต่ละกลุ่มล้วนมีกำลังคนมากพอที่จะจับตัวเจ้าได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปทางใดมันก็เป็นทางตัน!”
ชายชราหลังค่อมเอ่ยขึ้น จากนั้นร่างที่โค้งงอของเขากลับยืดตรงได้อย่างน่าประหลาด ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมราวกับดาบ และทั้งร่างของเขาก็แผ่กลิ่นอายแห่งปรมาจารย์ขั้นสี่ออกมาอย่างเข้มข้น
แตกต่างราวกับเป็นคนละคน!
ชายหนุ่มชุดเทาพูดแทรกพลางยิ้มเย้ย “คนที่นั่งในรถม้าควรเป็นคุณหนูของเจ้าไม่ผิดแน่”
ก่อนหน้านี้ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวราวกับป่วยหนัก แต่ตอนนี้กลิ่นอายที่เผยออกจากร่างเขานั้นทั้งเย็นชาและน่ากลัว รอยยิ้มของเขาชวนให้ผู้คนหวาดหวั่นได้อย่างง่ายดาย
“เราจะพูดจาไร้สาระไปอีกนานแค่ไหนกัน ทำไมไม่รีบลงมือให้มันจบ ๆ ไปสักที!”
เด็กหญิงตัวเล็กเอ่ยขึ้นอย่างไม่อดทน นางตำหนิทั้งชายหนุ่มชุดสีเทาและชายชรา เสียงของนางแหบแห้งแต่เสียดแทงโสตประสาท
“ก็ได้ ๆ”
รอยยิ้มของชายหนุ่มชุดเทาเลือนหาย และทันใดนั้นเขาก็ชักดาบยาวออกจากฝัก ใบดาบขาววาววับประหนึ่งหิมะ แสงเย็นวาบสะดุดตาคนทั่วบริเวณ
รับชมเช่นนี้ซูอี้ยังคงเฉยเมยเช่นเดิม เขาดื่มชาพลางแทะกินโสมและวางแผนจะจากไปหลังจากอิ่มท้อง
แต่ทันใดนั้น ชายผู้สวมหมวกไม้ไผ่สานซึ่งนั่งหันหลังให้ฝูงชนโดยตลอดจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นและพูดกับชายวัยกลางคนผู้แข็งแกร่งที่ขับรถเกวียน
“เฒ่าเซี่ย เจ้าไปก่อนเถอะ”
หลังจากพูดเสร็จ เขาจึงหันกลับมามองกลุ่มชายหนุ่มชุดเทาด้วยดวงตาแหลมคมประหนึ่งดาบ พลางยิ้มเล็กน้อยเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดที่เรียงอย่างไร้ที่ติและกล่าวว่า “คู่ต่อสู้ของพวกเจ้าคือข้า…”
ตูม!
ทันใดนั้นร่างผอมบางของเขาแผดเสียงระเบิดดังก้อง เสื้อผ้ากระพือสะบัด หมวกไม้ไผ่สานบนศีรษะขาดสะบั้นจากพลังปะทุ เผยให้เห็นใบหน้าที่แน่วแน่ของชายหนุ่ม
และในมือของเขาปรากฏดาบยาวใบแคบสะท้อนแสงสว่างไสวเป็นพิเศษ มันปล่อยพลังกดขี่ข่มเหง ทำให้อากาศที่อยู่โดยรอบส่งเสียงหึ่ง
“เพ่ยอวิ๋นตู้! เป็นไปได้อย่างไร…”
สีหน้าของชายหนุ่มชุดเทาแข็งค้าง
ชายชรารวมไปถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวเขา สีหน้าของคนทั้งหมดต่างแสดงออกราวกับว่าพวกเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตาเห็น
เพ่ยอวิ๋นตู้!
ปรมาจารย์ขั้นห้าผู้ติดห้าอันดับแรกแห่งแคว้นไป๋ เขาคือผู้ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นนักดาบผู้สำเร็จถึงจุดสูงสุดแห่งวิถีดาบแล้ว อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าอีกเพียงก้าวเดียวเขาจะก้าวเข้าสู่การเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์!
“ท่านเพ่ย เหตุการณ์ในวันนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย ท่านไม่กลัวที่จะถูกตามคิดบัญชีในอนาคตหรือ?”
ชายชราแสดงความกลัวอย่างไม่อาจปิดบังบนใบหน้าของเขา
“ถ้าข้ากลัว ข้าคงไม่มา”
เพ่ยอวิ๋นตู้พูดอย่างเฉยเมย “เฒ่าเซี่ย เจ้าจงไปเถิด หากพวกเขากล้าขวาง ข้าจะส่งพวกเขาไปยมโลกในทันที”
“ขอบคุณท่านเพ่ยยิ่งนัก!”
ในเวลานี้ ซูอี้หยิบผลไม้สีแดงสดซึ่งงดงามคล้ายหยกแดงขนาดเท่ากำปั้นออกมาแล้วกินด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าไม่มีเรื่องตึงเครียดใดเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง
แน่นอนว่าทุกคนสังเกตเห็นความผิดปกติของฉากนี้ แต่ทั้งชายหนุ่มชุดเทาและเพ่ยอวิ๋นตู้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักหาได้มีอารมณ์จะสนใจไม่ พวกเขาเผชิญหน้ากันโดยไม่มีฝ่ายใดต้องการล่าถอย
แต่เมื่อเซี่ยเยวี่ยนซานกำลังจะขับรถม้าออกไป ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็บินข้ามเนินเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเข้ามาหา
“นึกว่าใครที่กล้าพูดจาใหญ่โตโอหัง ที่แท้ก็เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันนี่เอง!”
เสียงตะโกนก้องราวกับฟ้าร้อง ร่างนั้นรวดเร็วประหนึ่งฟ้าแลบ แค่เพียงพริบตาเขายืนขวางอยู่กลางถนนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงน้ำชา
ชายผู้มาใหม่สวมชุดคลุมอันงามสง่า ผมยาวเป็นมวย ใบหน้าเรียบเนียนประดุจหยกยอดมงกุฎ สวมเข็ดขัดซึ่งประดับด้วยเพชรพลอยมากมายอย่างหรูหรา
เมื่อเห็นชายผู้นี้ กลุ่มของชายหนุ่มชุดเทาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที พวกเขาทั้งหมดต่างโค้งคำนับและกล่าวว่า “พวกเราคารวะท่านเหวิน!”
เวินชิงฉวี!
ผู้นำของกลุ่มทะเลสาบหยก กลุ่มใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นไป๋ เขาคือปรมาจารย์ขั้นห้าผู้มีชื่อเสียงอย่างมากในมหานครไป๋โจว
เพ่ยอวิ๋นตู้ขมวดคิ้ว
เซี่ยเยวี่ยนซานซึ่งกำลังจะขับรถม้าทำหน้าเศร้า
“ข้าจะจัดการกับเพ่ยอวิ๋นตู้ ส่วนพวกเจ้าจงรีบจัดการกับเซี่ยเยวี่ยนซาน แต่จงจำเอาไว้ว่าอย่าทำร้ายคุณหนูใหญ่ในรถม้าเป็นอันขาด”
เวินชิงฉวีกล่าวอย่างเฉยเมย
ทุกคนพยักหน้า
ทว่าก่อนการต่อสู้จะปะทุ
“นี่คือ?”
เวินชิงฉวีเหลือบมองเห็นซูอี้ และอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ตอนที่มาถึง เขาเอาแต่มุ่งความสนใจไปที่เพ่ยอวิ๋นตู้เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าโดยตลอดที่ผ่านมานั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในโรงน้ำชา นั่งดื่มชาตามลำพังด้วยท่าทางสบาย ๆ ซึ่งสะดุดตามาก
“เป็นเพียงคนสัญจร”
ชายหนุ่มชุดเทาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออก
เขายังไม่แน่ใจที่มาของชายหนุ่มคนนี้เป็นมาอย่างไร
ในเวลานี้ ซูอี้กินดื่มเพียงพอแล้วจึงลุกขึ้นก่อนจะกล่าวว่า
“เขาพูดไม่ผิด ข้าแค่เพียงคนสัญจรที่ผ่านทางมาและกำลังจะจากไป ไม่มีความตั้งใจใดที่จะยุ่งเกี่ยวเรื่องราวของพวกเจ้า เมื่อข้าจากไปแล้ว พวกเจ้าจะทำสิ่งใดต่อกันและกันก็สุดแล้วแต่พวกเจ้า”
เขาไม่ได้สนใจที่จะอยู่ชมข้อพิพาทตรงหน้า
ในความเป็นจริง ซูอี้เพียงวางแผนไว้ว่าเมื่อถึงมหานครไป๋โจว เขาจะหาที่พักดี ๆ สักแห่ง นอนหลับอย่างสุขสบายและจากนั้นก็กินอาหารดี ๆ สักมื้อสองมื้อ ถ้าอารมณ์ดีอาจไปเดินเล่นในเมือง แต่ถ้าไม่มีอารมณ์เขาอาจเดินทางต่อไปตามทาง
เมื่อเห็นว่าซูอี้จากไปราวกับเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน ชายหนุ่มชุดเทาและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงชั่วขณะ
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงจะกลัวเกินกว่าจะขยับกายได้ แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับสามารถสงบสติอารมณ์ได้เช่นนี้…
เวินชิงฉวีขมวดคิ้ว เขาไม่สามารถมองชายหนุ่มปริศนาผู้นี้ออกได้เลย
แต่ในท้ายที่สุด เขาต่อต้านความอยากที่จะรั้งซูอี้ไว้และเลือกที่จะไม่พูดสิ่งใดออกไป
เนื่องจากอีกฝ่ายต้องการจากไปอย่างสันติ เช่นนั้นการปล่อยให้ไปแบบนี้ย่อมดีกว่ามีปัญหาเพิ่มเติม
เพ่ยอวิ๋นตู้เงียบงัน เขารู้สึกประหลาดใจกับความสงบของชายหนุ่มปริศนาผู้นี้ และแน่นอนว่าเขาไม่ได้ห้ามปรามเมื่ออีกฝ่ายอยากจะจากไป
บนรถม้า เซี่ยเยวี่ยนซานประหลาดใจไม่แพ้กัน ในตอนแรกเขาคิดว่าซูอี้เป็นผู้ช่วยของเวินชิงฉวีเสียอีก
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นที่ตนคิด
ฉากนี้ช่างประหลาดอย่างแท้จริง มันเหมือนกับว่าภายใต้สถานการณ์อันตึงเครียด จู่ ๆ ก็มีบางสิ่งที่ไม่เข้ากับสถานการณ์อย่างสิ้นเชิงปรากฏขึ้นคั่นกลางอย่างน่าประหลาด
ชั่วขณะหนึ่ง การเผชิญหน้าทั้งสองฝ่ายจึงชะงักงันอย่างน่าประหลาด ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังรอดูว่าซูอี้จะจากไปจริง ๆ หรือไม่
แน่นอนว่าซูอี้ไม่ได้แยแสสายตาที่กำลังจ้องเขาขณะนี้แม้แต่น้อย
แต่ในขณะที่เขาเดินผ่านรถม้าและกำลังจะมุ่งหน้าจากไป ม่านหน้าต่างของรถม้าก็ถูกยกขึ้น
จากนั้นเสียงที่ประหลาดใจและตื่นเต้นเล็กน้อยก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“ค…คุณชายซู!?”