บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 293 สาเหตุ
ตอนที่ 293: สาเหตุ
ตอนที่ 293: สาเหตุ
ควบคู่ไปกับเสียงอุทานที่ดังออก ม่านหน้าต่างถูกยกขึ้นจนสุด เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามเลิศล้ำและคิ้วที่เลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจไม่อยากเชื่อ
ซูอี้หยุด เขาหันศีรษะไปมองก่อนจะเอ่ยออกอย่างประหลาดใจเช่นกัน “เป็นเจ้าไปได้อย่างไร?”
ผู้หญิงในรถม้าคือเซียวจื่อจิ่น ฉายานามองค์หญิงหลิงเหยา
ย้อนกลับไป ณ ริมฝั่งแม่น้ำต้าฉางนอกเมืองกว่างหลิงแห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอ จื่อจิ่นและปู่ของนางเซียวเทียนเชวี่ยได้พบกับซูอี้ ซึ่งกำลังบ่มเพาะอยู่ในป่า
ในเวลานั้นซูอี้ได้ช่วยเซียวเทียนเชวี่ยขับพิษในร่างกาย และต่อมาก็ช่วยเซียวเทียนเชวี่ยปรับปรุงวิชา ‘คัมภีร์คลื่นทองคำ’ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษตระกูลหลานหลิงเซียว
อย่างไรก็ตาม ซูอี้ไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากไม่พบหน้าอีกฝ่ายสองสามเดือน เขาจะได้มาพบกันอีกครั้งบนถนนที่ห่างไกลที่นำไปสู่มหานครไป๋โจว
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายดูเหมือนกำลังถูกไล่ล่าอีกต่างหาก
“ตระกูลหลานหลิงเซียวลงหลักปักฐานอยู่ในไป๋โจว ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางอยู่ที่นี่…”
ในไม่ช้า ซูอี้ก็เข้าใจ
“คุณชายซู ข้าไม่คิดเลยว่าจะพบท่านที่นี่”
ใบหน้าอันงดงามของจื่อจิ่นเต็มไปด้วยความสุข
แต่แล้วเมื่อนางฉุกคิดได้ว่าขณะนี้สถานการณ์กำลังตึงเครียด นางจึงรีบเอ่ยคำอย่างร้อนรน
“คุณชายซู ท่านรีบไปจากตรงนี้เสียก่อนเถิด เอาไว้รอให้ข้ามีโอกาสที่เหมาะกว่านี้ข้ารับปากจะดูแลท่านไม่ให้ขาดตกบกพร่อง!”
สถานการณ์ในเวลานี้ทำให้จื่อจิ่นรู้สึกหนักใจและวิตกกังวล นางคำนึงถึงความปลอดภัยของซูอี้และไม่ต้องการให้เขามีส่วนเกี่ยวข้อง
“รอไปเพื่ออะไรกัน?”
ซูอี้เหลือบมองผู้คนที่ล้อมรอบเข้ามา และเอ่ยออกอย่างเฉยเมย “เพียงกาไก่ไม่กี่ตัว ไม่อาจมีผลต่อการเจอกันโดยบังเอิญของเราในวันนี้หรอก”
จื่อจิ่นตกตะลึง แต่เซี่ยเยวี่ยนซานตกตะลึงยิ่งกว่าเนื่องจากเขาไม่เคยเจอซูอี้มาก่อน ชายหนุ่มในชุดสีเขียวผู้นี้ดูหนุ่มนัก แต่วาจากลับใหญ่โตเหนือกว่าคนใหญ่โตมากมายที่เขาเคยพานพบมาเสียอีก
เขาถอนหายใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลว่า “คุณชายคงยังไม่เข้าใจในสถานการณ์ขณะนี้ มันเป็นการดีที่สุดที่จะฟังคุณหนูใหญ่ของข้า ท่านอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวและโปรดจากไปโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นหากผลลัพธ์ออกมา วันนี้ของปีหน้าอาจเป็นวันครบรอบตายของตัวท่าน!”
ในสายตาของเขา ซูอี้ปฏิบัติตัวไม่ต่างจากคนหนุ่มเลือดร้อนที่กำลังรนหาที่ตาย
“ใช่ คุณชายซูรีบจากไปโดยเร็วก่อนเถิด ข้าเชื่อว่าในอนาคต… เราจะได้พบกันอีกแน่นอน!”
จื่อจิ่นพูดอย่างรวดเร็ว คิ้วของนางเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
นางได้ยินข่าวมาเช่นกันว่าซูอี้ได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในมหานครอวิ๋นเหอ เขามีความแข็งแกร่งเหนือกว่าปรมาจารย์ดาบผู้โด่งดัง อีกทั้งฉินเหวินเยวียนผู้ว่าการเขตปกครองอวิ๋นเหอยังตายด้วยน้ำมือของเขาเช่นกัน
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป ศัตรูที่ล้อมนางขณะนี้ล้วนแล้วแต่เป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาหลายปีและมีชื่อเสียงอย่างมากในไป๋โจว!
ในระยะไกล เวินชิงฉวีพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาและพูดว่า “มันสายเกินไปแล้วที่คิดจะไปตอนนี้!”
เขาเฝ้าจับตาดูการสนทนาระหว่างซูอี้และจื่อจิ่นอยู่ตลอด เมื่อตระหนักได้ว่าซูอี้คือมิตรสหายของจื่อจิ่น สายตาของเขาที่จับจ้องซูอี้จึงเปลี่ยนไปเป็นปรปักษ์
“คนหนุ่มผู้นี้มีปัญหาจริง ๆ!”
ใบหน้าของชายหนุ่มชุดเทามืดมน
ชายชรา หญิงงาม และเด็กหญิงตัวเล็กต่างแสดงสีหน้าพร้อมจะสังหาร
เมื่อครู่นี้พวกเขาเกือบจะโดนหลอก!
เพ่ยอวิ๋นตู้ขมวดคิ้วและตะโกนเสียงก้อง “เฒ่าเซี่ย เจ้ารีบพาคุณหนูและคนหนุ่มผู้นั้นหนีออกไปเดี๋ยวนี้อย่าได้ลังเลอีกต่อไป!”
“ลงมือเลย!”
ขณะเดียวกันเวินชิงฉวีตะโกนขึ้นอย่างเย็นชาพร้อมกับชักดาบออกจากฝักที่เอวอย่างรุนแรงจนเสียงดาบลั่นสะท้าน ก่อนจะพุ่งเข้าฟาดฟันใส่เพ่ยอวิ๋นตู้
ปราณดาบเปล่งแสงหลากสีราวกับรุ้ง ซึ่งน่ากลัวอย่างยิ่ง
การต่อสู้ปะทุขึ้นในทันที
ชายหนุ่มชุดเทาและคนอื่น ๆ ดวงตาเป็นประกาย พวกเขารีบกระโจนเข้าหารถม้าอย่างดุดัน
“คุณหนู ท่านกับคุณชายสหายของท่านหนีไปก่อน เร็วเข้า!”
เซี่ยเยวี่ยนซานกัดฟันก่อนจะกระโจนออกจากรถม้าพร้อมกับปลดปล่อยพลังอันแก่กล้าซึ่งอยู่ในขั้นสามของปรมาจารย์
“มีซูผู้นี้อยู่ด้วย เหตุใดเจ้าถึงทำราวกับจะออกไปสู้จนตัวตาย?”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเซี่ยเยวี่ยนซานที่ดูเหมือนกำลังจะออกไปพลีชีพ ซูอี้จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าคออีกฝ่ายและดึงกลับมาอย่างง่ายดายราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงไก่กาตัวน้อย
เซี่ยเยวี่ยนซานตะลึงค้างทำอะไรไม่ถูก
การเคลื่อนไหวของซูอี้นั้นรวดเร็วและแกร่งกล้าจนเขาไม่อาจไหวตัวทันหรือขัดขืนได้เลย…
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มชุดเทาก็เป็นผู้นำการบุกเข้ามาหา
ตูม!
เขาถือค้อนศึกทองสัมฤทธิ์คู่ในมือแต่ละข้าง ท่วงท่าของเขารวดเร็วราวกับสายฟ้า พลังที่แผ่ออกปะทุอย่างดุร้าย เขากระโดดตัวขึ้นค้างกลางอากาศก่อนจะฟาดค้อนศึกทองสัมฤทธิ์คู่ลงใส่ซูอี้อย่างสุดแรง
“ระวัง!!”
จื่อจิ่นอุทานร้องอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าอันงดงามบิดเบี้ยวด้วยความกังวลและหวาดกลัว
ทว่าซูอี้กลับรู้สึกขบขัน การตกใจอย่างกะทันหันนี้ของนางนั้นมันเกินกว่าเหตุไปไกลโข
“ตาย!”
แววตาของชายหนุ่มชุดเทาฉายแววโหดเหี้ยม เจตนาฆ่าฟันของเขานั้นรุนแรงจนผู้คนที่อยู่โดยรอบสัมผัสได้
แต่แล้ว…
ซูอี้เพียงโบกแขนเสื้อของเขาเบา ๆ
ตูม!
คลื่นพลังไร้รูปลักษณ์กวาดเข้าหาชายหนุ่มชุดเทาผู้ซึ่งอยู่กลางอากาศห่างไปสามฉื่อ
ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มชุดสีเทาระเบิดฉีกกระจายเป็นชิ้น ๆ ส่วนค้อนศึกทองสัมฤทธิ์คู่นั้นสภาพไม่ได้ดีเด่ไปกว่านายของมัน มันแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกระเซ็นกระจายไปทั่ว
เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ คลื่นพลังที่ซูอี้ปลดปล่อยออกมานั้นรุนแรงไม่ต่างจากภูเขาที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า ทำให้ร่างของผู้บ่มเพาะในขอบเขตปรมาจารย์แหลกกระจายกลายเป็นเศษเนื้อได้อย่างง่ายดาย
ฉากอันน่าสยดสยองนี้ทำให้ชายชราและอีกสองคนที่เหลือซึ่งพุ่งเข้าจู่โจมซูอี้เช่นกันหน้าซีดเผือด
แต่สถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ไม่ต่างจากการขึ้นขี่เสือแล้ว พวกเขาไม่มีเวลาที่จะกลับตัวและถอนการโจมตีอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นมันจะยิ่งเป็นการเปิดช่องโหว่อันร้ายแรงยิ่งกว่าให้แก่อีกฝ่าย
“ตาย!!”
ชายชรากัดฟันและแทงซูอี้ด้วยมีดสั้นในมือ
เกือบจะในเวลาเดียวกัน หญิงงามโจมตีจากอีกด้านหนึ่ง ศาสตราวิญญาณในมือของนางนั้นคือแส้เหล็กซึ่งคมกริบอย่างยิ่งยวด นางฟาดแส้อย่างสุดแรงเกิดจนเกิดเสียงลมกระโชกน่าสะพรึงกลัวเข้าใส่ซูอี้ หวังว่าการโจมตีของตนเองจะสัมฤทธิผล
ทว่าสีหน้าของซูอี้ยังคงราบเรียบ เขาทำแค่เพียงดีดนิ้วออกสองครั้งติดกันอย่างรวดเร็ว
ปราณดาบสีทองบังเกิดขึ้นอย่างฉับพลันจากการดีดนิ้วของซูอี้ พวกมันพุ่งผ่านอากาศอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ส่องแสงจ้าประกายจนผู้คนแสบตา
ฉัวะ!
ร่างของชายชราถูกปราณดาบทองเล่มแรกพุ่งทะลุเข้ากลางอกตัดขั้วหัวใจ อีกทั้งยังทะลวงทรวงอกจนเป็นรูโหว่ เลือดพุ่งกระจายราวกับน้ำพุ ก่อนที่มีดสั้นในมือของเขาจะตกลงไปที่พื้นเพราะเจ้าของนั้นสิ้นใจ
ฉัวะ!
หญิงงามผู้มาพร้อมกับแส้เหล็กมีชะตากรรมที่น่าสังเวชยิ่งกว่าชายชราพอสมควร ร่างของนางถูกปราณดาบทองเล่มที่สองฟันขาดครึ่ง เสียงกรีดร้องโหยหวนของนางดึงได้เพียงครึ่งเท่านั้นก่อนจะจบลงอย่างกะทันหัน
ในชั่วพริบตา ปรมาจารย์อีกสองสิ้นชีพราวกับแมลงวันถูกตบ!
เด็กหญิงตัวเล็กที่เหลืออยู่แค่เพียงคนเดียวขณะนี้กรีดร้องด้วยความตกใจ
ขณะที่นางกำลังจะหลบหนี มีมืออันกล้าแกร่งคว้าคอนางไว้อย่างฉับพลัน
“ครั้งเมื่อตอนอยู่ในโรงน้ำชา แค่เหลือบมองเพียงพริบตาข้าก็บอกได้แล้วว่าเจ้าหาใช่มนุษย์ไม่ และเจ้ายังริอาจชวนข้ากินพุทราเขียว เจ้ารู้หรือไม่ว่าผีเช่นเจ้าน่าขยะแขยงเพียงใดที่นำร่างของเด็กหญิงเช่นนี้มายึดครอง?”
ซูอี้จ้องเขม็งอย่างเย็นชาไปที่เด็กหญิงตัวเล็กในมือของเขา
เด็กหญิงตัวน้อยหวาดกลัวจนหน้าซีด นางพูดเสียงสั่นด้วยความกลัวสุดขีด “ท…ท่านเซียนอมตะ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!”
ปัง!
ซูอี้บีบมือข้างที่กำคอเด็กหญิงตัวน้อยอย่างฉับพลัน และทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นก่อนที่ร่างของเด็กหญิงจะเหี่ยวลงภายในพริบตา เหลือแต่หนังคล้ายกับลูกโป่งถูกเจาะจนเหลือแต่ยาง ท้ายที่สุด มีเพียงผิวหนังมนุษย์เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในมือของซูอี้
“กล้ายึดครองร่างของเด็กไร้เดียงสา ช่างต่ำทรามไม่เหมือนชิงหว่านแม้แต่น้อย ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย”
หลังจากนั้น ซูอี้ก็โยนหนังมนุษย์ในมือทิ้งไปอย่างไม่แยแส ราวกับว่าการฆ่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้ต่างอะไรกับการบี้มด หาใช่สาระสำคัญของชีวิตไม่
เซี่ยเยวี่ยนซานตกตะลึง หัวใจของเขาแทบกระดอนออกมานอกอก
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา คนหนุ่มผู้ที่เขาเคยคิดว่าไร้พิษสงกลับสามารถฆ่าปรมาจารย์สี่คนได้ราวกับฆ่าไก่!
ต้องเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงเพียงใดถึงสามารถฆ่าปรมาจารย์ได้โดยไม่กระพริบตาเช่นนี้?
จื่อจิ่นตกตะลึงเช่นกัน สีหน้าของนางทั้งมึนงงและโง่งม ทันใดนั้น นางก็ตระหนักได้ว่าความเข้าใจของนางเกี่ยวกับซูอี้ดูเหมือนจะยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่อีกมากโข!
ในระยะไกล เวินชิงฉวีและเพ่ยอวิ๋นตู้ที่กำลังต่อสู้กันต่างหยุดลงอย่างกะทันหันเมื่อพวกเขาเห็นซูอี้ฆ่าปรมาจารย์ยุทธ์ทั้งสี่อย่างง่ายดาย
พวกเขาตกตะลึงจนหนังศีรษะชาอย่างไม่อาจควบคุม
เดิมทีพวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงชายหนุ่มที่อาจจะพอมีฝีมืออยู่บ้าง ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะยังไม่แข็งแกร่งพอจะเป็นคู่มือของพวกเขา
ทว่าเรื่องราวความเป็นจริงมันกลับสวนทางกับความคิดของพวกเขาอย่างรุนแรง…
ชายหนุ่มคนนี้สามารถสังหารปรมาจารย์ยุทธ์ได้อย่างง่ายดายเหมือนไล่หักคอไก่!
นี่มันน่าสะพรึงกลัวเกินไป!
ทันใดนั้น เวินชิงฉวีซึ่งตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นฝั่งเขาที่เสียเปรียบอย่างถึงที่สุด เขารีบหันศีรษะแล้ววิ่งหนีไปอย่างสุดกำลังที่ตนเองจะมี
เพ่ยอวิ๋นตู้กำลังจะไล่ตาม
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ไล่ตามไป เขาได้เห็นปราณดาบสีทองพุ่งผ่านอากาศตัดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนตาเปล่าแทบมองตามไม่ทัน และจากนั้นมันก็ทะลวงร่างของเวินชิงฉวีที่หนีห่างไปแล้วเกือบหนึ่งลี้ได้อย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ผู้นำกลุ่มใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในมหานครไป๋โจว ปรมาจารย์ขั้นห้าถูกปราณดาบสีทองทะลวงเข้ากลางร่างจนร่วงหล่นไปที่พื้น เลือดไหลทะลักก่อนที่แววตาจะขุ่นมัวและสิ้นลมหายใจ
เพ่ยอวิ๋นตู้ดวงตาเบิกกว้างร่างกายแข็งค้าง เหงื่อเย็นเยียบปกคลุมทั่วหน้าผาก เขาหันศีรษะกลับไปมองชายหนุ่มในชุดเขียวซึ่งยังคงแสดงสีหน้าเฉยเมยโดยไม่รู้ตัว
ณ เวลานี้ เพ่ยอวิ๋นตู้เห็นซูอี้ไม่ต่างจากเห็นเทพสวรรค์!
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ!”
เขารีบโค้งคำนับ แววตาของเขาเจือไปด้วยความรู้สึกกลัวระคนชื่นชม
เซี่ยเยวี่ยนซานซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์อยู่นั้นได้สติขึ้นมาเช่นกัน เขาสูดหายใจเข้าลึกและพูดอย่างนอบน้อม “เซี่ยผู้น้อยมีตาหามีแววไม่ เมื่อครู่นี้ผู้น้อยพูดจาเสียมารยาท ขอคุณชายโปรดให้อภัยผู้น้อยคนนี้สักครั้งจะได้หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้เขาพูดกับซูอี้ราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นไร้ประโยชน์ ซึ่งมันทำให้ขณะนี้เขารู้สึกละอายใจอย่างรุนแรง
“อย่าได้คิดมาก มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย”
ซูอี้พูดอย่างเป็นกันเอง
สำหรับเขาแล้ว การกระทำของเซี่ยเยวี่ยนซานก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องนำมาใส่ใจ และอีกฝ่ายยังพยายามปกป้องตนอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ถือสา ส่วนเรื่องการสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตปรมาจารย์นั้นยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ควรจะให้ใครมาขอบคุณ เพราะสำหรับเขาแล้ว การสังหารคนขอบเขตปรมาจารย์นั้นเป็นเรื่องง่ายจนไม่น่าพูดถึง
หลังจากตอบกลับเซี่ยเยวี่ยนซาน เขาก็มองไปที่จื่อจิ่นและพูดว่า “เจ้าถูกไล่ล่าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
นางคือบุตรีคนโตของตระกูลเซียวอันยิ่งใหญ่แห่งต้าโจว ดังนั้นการที่นางถูกไล่ล่าและจู่โจมเช่นนี้นั้นเรื่องเบื้องหลังย่อมไม่ใช่ธรรมดา
จื่อจิ่นสงบจิตใจของนาง ก่อนจะถอนหายใจเบาและอธิบายเหตุผล
ปรากฏว่าเมื่อไม่นานมานี้ ปู่ของนางเซียวเทียนเชวี่ยได้รู้จากสหายเก่าว่าตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงส่งกำลังคนไปมหานครกุ่นโจว เพื่อจัดการกับชายหนุ่มชื่อซูอี้
ทันใดนั้น เมื่อปู่ของนางมั่นใจว่าชายหนุ่มที่ตระกูลซูต้องการจะจัดการคือ ‘คุณชายซู’ ผู้มีพระคุณเสียดฟ้า
ดังนั้นเซียวเทียนเชวี่ยจึงพูดคุยเรื่องนี้กับเซียวเหิงชิวลูกชายของเขาในทันที
เซียวเหิงชิวคือผู้นำของตระกูลเซียว เมื่อเขาได้เรียนรู้เรื่องนี้ เซียวเหิงชิวจึงตระหนักได้ว่าปัญหานี้ร้ายแรงและตัดสินใจส่งกองกำลังของตระกูลเซียวไปยังกุ่นโจวโดยตั้งใจจะแอบช่วยซูอี้
แต่โดยไม่คาดคิด เมื่อเซียวเหิงชิว เซียวเทียนเชวี่ย และคนอื่น ๆ ตัดสินใจช่วยเหลือซูอี้ ข่าวนี้กลับถูกใครบางคนปล่อยออกไปเสียได้
จากนั้นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเซียว ‘เซียวจ้งอิ๋ง’ นำกลุ่มบุคคลสำคัญในตระกูลเซียวเข้ามายับยั้ง โดยบอกว่าถ้าเซียวเหิงชิวกล้าที่จะช่วยซูอี้ อำนาจการเป็นผู้นำตระกูลของเซียวเหิงชิวจะถูกยกเลิก
แน่นอนว่าเซียวเหิงชิวโต้แย้งในทันที
แต่โดยที่ไม่มีใครคาดคิด เซียวจ้งอิ๋งนั้นเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่จะนำผู้คนจำนวนมากเข้ามารุมล้อม แต่ยังเชิญ ‘ราชาดั้นเมฆา’ ซื่อหลานซานซึ่งอาศัยอยู่ในไป๋โจวมาร่วมช่วยอีกด้วย!
จากนั้นจึงบังเกิดการกบฏภายใน
เซียวเหิงชิวถูกปลด เซียวเทียนเชวี่ยถูกจับ เหล่าผู้ที่ภักดีต่อเซียวเหิงชิวแทบทั้งหมดหากไม่ถูกสังหารก็ถูกคุมขัง
ผู้อาวุโสสูงสุดเซียวจ้งอิ๋ง ด้วยการสนับสนุนของราชาดั้นเมฆาซื่อหลานซาน ท้ายที่สุดเขาก็ได้นั่งตำแหน่งผู้นำตระกูลเซียว
แม้แต่จื่อจิ่นก็ยังถูกคุมขังอยู่ในบ้านของนางเองไม่ต่างจากนักโทษ
มีเพียงเมื่อคืนที่ผ่านมานางได้สบโอกาสที่จะหลบหนีจากตระกูลด้วยความช่วยเหลือของเซี่ยเยวี่ยนซาน
แต่โดยไม่คาดคิดว่าหลังจากหนีออกจากมหานครไป๋โจวมาที่นี่ นางกลับพบกับกลุ่มกำลังคนไล่ล่านาง
จากนั้น ฉากต่อมาก็ตามที่ซูอี้ได้เห็น
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด คิ้วของซูอี้ก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่อาจควบคุม เขาไม่เคยคิดเลยว่าการกบฏภายในตระกูลเซียวและสิ่งที่เกิดขึ้นกับจื่อจิ่นนั้น เขาจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มันบังเกิดขึ้น!