บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 294 ดูการแสดง
ตอนที่ 294: ดูการแสดง
ตอนที่ 294: ดูการแสดง
ซูอี้รีบขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เซียวเทียนเชวี่ยทราบข่าว มันควรจะเป็นก่อนเหตุการณ์ที่เขาสังหารหมู่ที่หน้าจวนเจ้าแคว้นกุ่น!
ในเวลานั้น ข่าวของงานเลี้ยงน้ำชาเพิ่งจะเริ่มแพร่กระจายในต้าโจว ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่าซูอี้เป็นผู้กำราบทุกคนในงานเลี้ยงน้ำชานั้น
“ราชาดั้นเมฆาซื่อหลานซาน เป็นราชาต่างสกุลผู้ภักดีต่อตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง เขาลงหลักปักฐานอยู่ที่ไป๋โจวมานานนมนับได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร หากไม่ใช่เพราะเขาเข้าแทรกแซง ท่านผู้นำตระกูลคงไม่ถูกปลดและถูกคุมขังเช่นปัจจุบัน”
เซี่ยเยวี่ยนซานถอนหายใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซูอี้พยักหน้าเข้าใจ
พูดง่าย ๆ ก็คือเซียวจ้งอิ๋ง ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเซียวสมรู้ร่วมคิดกับซื่อหลานซานเพื่อคว้าตำแหน่งผู้นำตระกูลไปเป็นของตน
แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้คือเซียวเทียนเชวี่ยและเซียวเหิงชิวตัดสินใจส่งคนไปที่มหานครกุ่นโจวเพื่อช่วยเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นไหวในใจเล็กน้อย
ในตอนนั้นเขาช่วยเซียวเทียนเชวี่ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่คาดคิดเลยว่าต่อมาเซียวเทียนเชวี่ยจะเด็ดเดี่ยวเลือกที่จะช่วยเขาแม้รู้ทั้งรู้ว่ามีโอกาสขัดแย้งกับตระกูลซูจนหายนะอาจมาเยือนตนเอง
ความตั้งใจเช่นนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ซูอี้ลงมือช่วยเหลือ
“จื่อจิ่น เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ในเมื่อเรื่องนี้สาเหตุแรกเริ่มมันมาจากข้า ดังนั้นแล้วข้าจะเป็นผู้จบปัญหานี้ให้เจ้าเอง” ซูอี้เอ่ยขึ้น
อย่างไรเสียเขาก็ต้องผ่านมหานครไป๋โจวอยู่แล้ว ดังนั้นการแวะไปช่วยจึงไม่ใช่เรื่องที่ลำบากเลยแม้แต่น้อย
จื่อจิ่นส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณชายซู เหตุการณ์นี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลเซียวของข้า แต่ยังรวมไปถึงตัวตนมากอำนาจเช่นราชาดั้นเมฆาซื่อหลานซาน ท่าน… ท่านอย่าได้เอาตัวท่านมายุ่งเกี่ยวเลย ที่ผ่านมาท่านก็ช่วยเรามามากพอแล้ว”
แม้ว่าพลังที่ซูอี้แสดงให้เห็นก่อนหน้านี้จะน่าสะพรึงกลัวนัก แต่เมื่อนึกถึงอิทธิพลและความแข็งแกร่งของเหล่าศัตรูที่พวกนางต้องเผชิญ มันก็ทำให้จื่อจิ่นรู้สึกท้อแท้
ในขณะเดียวกันนี้ เพ่ยอวิ๋นตู้ก็ฉุกคิดได้ถึงบางสิ่งและโพล่งออกมาอย่างไม่อาจควบคุม “ประเดี๋ยวนะ…ท่านคือคุณชายซูอี้ผู้ที่ตระกูลซูกำลังต้องการตัวอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
เซี่ยเยวี่ยนซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ปรมาจารย์เพ่ย ท่านเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณชายซูมาก่อนอย่างนั้นหรือ?”
เพ่ยอวิ๋นตู้พยักหน้าอย่างหนักแน่น ก่อนจะกล่าวออกด้วยสีหน้าชื่นชม “ก่อนหน้านี้พวกท่านถูกคุมขังอยู่แต่ในตระกูลเซียวจึงอาจจะยังไม่ได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ของต้าโจวมากนัก ในปัจจุบันหากถามว่าใครคือคนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงมากที่สุด คนผู้นั้นคือคุณชายซูอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“เหตุการณ์นองเลือดในงานเลี้ยงน้ำชาบนยอดเขาประจิม ฉินฉางซานปรมาจารย์วิถียุทธ์ผู้โด่งดังได้ถูกคุณชายซูแยกร่างเป็นสองด้วยดาบเดียว!”
“ถัดมาคือเหตุการณ์สังหารหมู่หน้าจวนเจ้าแคว้น ราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลิน ราชาคิ้วขาวไฉ่จิงไห่ เล่อชิงจวิ้นอ๋องเทียนหย่ง เพ่ยเหวินซานจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน และบุคคลสำคัญอื่น ๆ อีกมากมายล้วนถูกคุณชายซูปลิดชีวิตพร้อม ๆ กันในวันนั้น เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงและเกิดความโกลาหลมากมาย”
“เหตุการณ์ทั้งสองนี้ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดิน ทำให้ชื่อเสียงของคุณชายซูลือลั่นไปทั่วทั้งต้าโจว ดังนั้นแล้วเพ่ยผู้นี้จะไม่รู้จักคุณชายซูได้อย่างไร”
สีหน้าของเพ่ยอวิ๋นตู้ขณะนี้เต็มไปด้วยความชื่นชม
“นี่…” เซี่ยเยวี่ยนซานตกตะลึง
จิตใจของเขาปั่นป่วนอย่างรุนแรง จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาลึกล้ำซะจนไม่มีทางที่เขาจะหยั่งถึง
จื่อจิ่นตกอยู่ในภวังค์เช่นกัน ย้อนกลับไปตอนที่นางเจอซูอี้ที่เมืองกว่างหลิง ขณะนั้นซูอี้เพิ่งอยู่ในขอบเขตโคจรโลหิต ทว่าขณะนี้หลังจากไม่เจอกันเพียงสองสามเดือน เขากลับสามารถสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เช่นราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลินได้เสียแล้ว!
ถ้าไม่ใช่เพราะคำบอกเล่านี้ออกมาจากปากของเพ่ยอวิ๋นตู้ นางคงไม่มีทางเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง
“แม้แต่ราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลินก็ยังถูกสังหาร?” เซี่ยเยวี่ยนซานอ้าปากค้าง
เขารู้ดีว่าราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลินเป็นราชาต่างสกุลซึ่งภักดีต่อตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง!
การได้เห็นจื่อจิ่นและเซี่ยเยวี่ยนซานประหลาดใจขนาดนี้ทำให้ซูอี้ตระหนักได้ในทันทีว่าดูเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่ประหลาดใจมากขนาดนี้
ซูอี้ยิ้มและถามว่า “พวกเจ้าต้องการไปมหานครไป๋โจวกับข้าตอนนี้หรือไม่”
จื่อจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คุณชายซู ท่าน… ท่านไม่กังวลว่าจะถูกตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงคิดบัญชีอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้กล่าวตอบ “จุดประสงค์ของการเดินทางของข้าคือการไปที่ตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงเพื่อยุติความคับข้องใจในอดีต เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องกลัวพวกเขาล้างแค้นอย่างนั้นหรือ?”
ในที่สุดจื่อจิ่นกัดฟันและพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายซูโปรดรับการคารวะนี้ของจื่อจิ่นด้วย!”
หลังจากพูดจบ นางทิ้งตัวกำลังจะคุกเข่า แต่ถูกซูอี้หยุดเอาไว้ก่อน “ข้าพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องนี้เริ่มต้นเพราะข้าดังนั้นควรเป็นข้าที่ต้องจบมันด้วยตนเอง”
เซี่ยเยวี่ยนซานรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งที่เห็นว่าซูอี้เต็มใจช่วยเหลือพวกเขาเช่นนี้ เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ขอบคุณ ๆ คุณชายซู บุญคุณครั้งนี้เซี่ยขอจดจำไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
เพ่ยอวิ๋นตู้จำสิ่งหนึ่งได้และลังเล “คุณชายซู ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าขณะนี้มีกลุ่มกำลังขนาดใหญ่มากมายกำลังเฝ้าจับตาดูท่านอยู่ตลอดเวลา พวกเขาตั้งใจจะจับท่านระหว่างที่ท่านเดินทางไปยังนครหลวงอวี้จิง แต่ข้าไม่รู้ว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริงมากน้อยเพียงใด”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวว่า “ตัวตนเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่คุ้มค่าให้ข้าต้องแยแส เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราไปที่มหานครไป๋โจวกันก่อน”
จากนั้นทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางทันที
…
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ประตูเมืองอันสูงตระหง่านของมหานครไป๋โจวปรากฏขึ้นในระยะสายตาจากระยะไกล
หน้าประตูเมืองมีกลุ่มนักรบที่ดูดุร้ายประจำการอยู่
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายวัยกลางคนในชุดสีดำ ดวงตาของเขาเปิดออกอย่างฉับพลัน เปล่งประกายวูบวาบน่าหวาดกลัว
“หืม? พวกเขากลับมางั้นหรือ…”
เมื่อเขาเห็นเซี่ยเยวี่ยนซานขับรถม้ากลับมาจากระยะไกล ชายวัยกลางคนชุดดำประหลาดใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ราวกลับว่าเขาไม่อยากเชื่อสายตา
ชายร่างผอมที่อยู่ถัดจากเขาหัวเราะ “คงเป็นเพราะถูกไล่ล่าจนไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ใดอีก ดังนั้นจึงกลับมาอย่างเชื่อฟัง นับได้ว่ายังฉลาดอยู่บ้าง!”
ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
“เซี่ยเยวี่ยนซาน เจ้าไม่กลัวความตายหรือ ทำไมถึงพาคุณหนูใหญ่กลับมาอีก?”
เขาถามอย่างเหน็บแนมและเสียงดัง
เซี่ยเยวี่ยนซานคนขับรถม้าตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เหล่าโม่ หากเจ้าไม่อยากตายก็ควรพาคนของเจ้าออกไปให้พ้นทาง”
“ฮ่า ๆๆ สุนัขเช่นเจ้าวิ่งหางจุกตูดกลับมา แต่กลับยังกล้าดีตะโกนข่มขู่ความตายต่อตัวข้า น่าขันยิ่งนัก! เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าหลังจากนี้ตัวเจ้าเองจะต้องเจอชะตากรรมแบบไหน!”
ชายวัยกลางคนในชุดดำเชิดหน้าหัวเราะเยาะ ผู้คนเดินถนนที่เข้าออกประตูเมืองซึ่งอยู่ใกล้เคียงต่างพากันหลบเลี่ยงไปในระยะไกล
เซี่ยเยวี่ยนซานพ่นลมหายใจและขับรถม้าช้า ๆ เข้าไปใกล้
“พวกเจ้า ไปพาพวกเขากลับไปที่ตระกูล!”
ชายวัยกลางคนในชุดดำโบกมือและตะโกนสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง
ทันใดนั้น กลุ่มนักรบพุ่งเข้าหารถม้าอย่างรวดเร็ว
ชิ้ง!
เซี่ยเยวี่ยนซานชักดาบออกจากฝักก่อนจะฟาดฟันอย่างรวดเร็ว สังหารนักรบหลายคนทันที
ฉากนองเลือดนี้ทำให้ผู้ชมทั้งหลายตกตะลึงและโกลาหล
ก่อนหน้านี้ชายวัยกลางคนและคนอื่น ๆ คิดว่าเซี่ยเยวี่ยนซานล้มเหลวในการหลบหนีและกลับมายอมรับชะตากรรมแต่โดยดี
ทว่าความเป็นจริงในตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นที่พวกเขาคิดแม้แต่น้อย
“ข้าเตือนแล้วให้พวกเจ้าหลบไปให้พ้นทาง นี่ถือเสียว่าพวกเจ้ารนหาที่ตายกันเอง!”
แววตาของเซี่ยเยวี่ยนซานเย็นชา
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!”
ใบหน้าของชายวัยกลางคนชุดดำมืดหม่น ร่างของเขาปะทุพลังแกร่งกล้าก่อนจะกระโจนเข้าหาเซี่ยเยวี่ยนซานอย่างดุร้าย
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เพ่ยอวิ๋นตู้ซึ่งนั่งอยู่ที่ด้านหลังของรถม้ากำลังจะเคลื่อนไหว
ฟิ้ว! ฉัวะ!
แต่ทันใดนั้น ปราณดาบสายหนึ่งก็พุ่งออกจากรถม้าตรงเข้าหาร่างของชายวัยกลางคนชุดดำซึ่งยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ในชั่วพริบตาถัดมาศีรษะของเขาได้ถูกแยกออกจากร่างและปลิวกระเด็นไปตกอยู่แถวหน้าประตูเมือง
ใกล้ประตูเมือง ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อเห็นศีรษะมนุษย์กระเด็นลอยมาตกใกล้ ๆ ทุกคนต่างกรีดร้องอย่างหวาดกลัวและหนีไปด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จิตใจของเพ่ยอวิ๋นตู้จึงปั่นป่วนอยู่พักหนึ่ง
ชายวัยกลางคนสวมชุดดำผู้นั้นคือปรมาจารย์ยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับตัวเขา แต่เพียงชั่วพริบตา อีกฝ่ายกลับถูกบั่นหัวอย่างง่ายดาย!
แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าการสังหารเมื่อครู่นี้เป็นซูอี้ที่ลงมือ!
“หลังจากเข้าไปในเมือง จงมุ่งหน้าไปที่ตระกูลเซียวโดยตรง”
เสียงที่ไม่แยแสของซูอี้ดังออกจากด้านในรถม้า
“ผู้น้อยรับทราบ!”
เซี่ยเยวี่ยนซานสูดหายใจเข้าลึกและขับรถม้าผ่านประตูมหานครไป๋โจว
……
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหานครไป๋โจวคือพื้นที่ที่จวนตระกูลเซียวตั้งอยู่
หอคอยวายุกระซิบ
มันคืออาคารสามชั้นอันสวยงาม ซึ่งถูกสร้างขึ้นกลางทะเลสาบสีมรกตกระจ่างใส และมีสะพานหินอ่อนสีขาวทอดยาวตัดผ่านข้ามทะเลสาบเชื่อมกับชายฝั่ง
ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ชั้นบนสุดของหอคอยวายุกระซิบ เซียวจ้งอิ๋งในชุดคลุมยาวนั่งอยู่ที่นั่งหลักเป็นประธาน
แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเซียวผู้นี้เพิ่งจะยึดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้ไม่นานนัก แต่ขณะนี้เขากำลังลุ่มหลงในอำนาจที่มีเหนือผู้คนทั้งตระกูลอย่างยิ่งยวดและไม่รู้สึกกระดากเลยในขณะที่ออกคำสั่งต่าง ๆ แก่พวกเขา
“วันนี้ข้ามีเรื่องใหญ่ที่จะปรึกษาหารือต่อพวกท่านทั้งหมด”
เซียวจ้งอิ๋งมองไปรอบ ๆ ห้องโถงและพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ข้าเพิ่งได้ข้อมูลจากหอสิบทิศและอยากจะให้พวกท่านทุกคนได้ดูมันก่อน”
พูดจบเขาพยักหน้าให้คนรับใช้ชายชราซึ่งอยู่ข้าง ๆ เล็กน้อย
จากนั้นคนรับใช้ชราก็เดินนำจดหมายกองหนาไปมอบให้แก่เหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลเซียวที่อยู่ในห้องโถงอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว
เนื้อหาของจดหมายแต่ละฉบับแทบจะเหมือนกัน
เนื้อหาภายในจดหมายเข้าใจง่ายมาก
‘วันที่สี่เดือนสี่ ซูอี้ออกเดินทางจากมหานครกุ่นโจว คืนนั้น หวังจั๋วเจ้าตำหนักเทียนสิงพ่ายแพ้ให้แก่ซูอี้’
‘วันที่หกเดือนสี่ หน้าอารามอวิ๋นเทา ซูอี้สังหารบรรพาจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ เลี่ยหยาง โม่ฉิงชาง ถงฮวา และซือฉ่วงเพียงลำพัง โดยไว้ชีวิตซือถูกงเพียงคนเดียว’
‘ในวันที่แปดเดือนแปด ซูอี้ไปที่ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา ซึ่งในวันเดียวกันนั้น หลี่ตงหลิวผู้อาวุโสหอชวนกงแห่งสำนักดาบมังกรเร้น หลีชางผู้อาวุโสสำนักดาบมังกรเร้นสายนอก เลี่ยวอวิ้นหลิวผู้อาวุโสลำดับสอง ฉายา ‘ดาบวินาศ’ ร่วมกับ เจ้าตำหนักจี้เซี่ย หวังถู เจ้าตำหนักสุ่ยเยว่ เฮ่อเหลียนไห่ พวกเขาทั้งหมดเข้าไปในขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาในวันนั้นเช่นกัน’
‘จากนั้นในวันเดียวกัน ซูอี้ออกจากขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา ทว่าหลี่ตงหลิว หวังถูและคนอื่น ๆ กลับไม่มีใครพบหน้าอีกเลย เป็นที่สงสัยว่าพวกเขาทั้งหมดน่าจะเผชิญกับหายนะที่ด้านในขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา…’
หลังจากอ่านเนื้อหาในจดหมายทั้งหมดจนครบ บรรยากาศในห้องโถงแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง สีหน้าของบรรดาตัวตนยิ่งใหญ่แห่งตระกูลเซียวล้วนเปลี่ยนสี
“ไม่ใช่ว่าซูอี้ผู้นี้ยังอยู่แค่ขอบเขตปรมาจารย์ไม่ใช่หรือ? เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?”
บางคนเริ่มตื่นตระหนก
“หลี่ตงหลิวผู้นั้นแข็งแกร่งเกือบจะเทียบเคียงได้กับเทพเซียนเดินดิน แต่กลับตายลงอย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะเป็นฝีมือของซูอี้?”
“ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว! ซูอี้ผู้นี้สามารถสังหารราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลินและบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์คนอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายในเหตุการณ์สังหารหมู่หน้าจวนเจ้าแคว้นกุ่น และนี่ยังไม่รวมไปถึงเหล่าผู้ฝึกตนอันแข็งแกร่งมากมายที่พยายามจะคร่ากุมตัวเขาหลังจากที่เขาออกจากมหานครกุ่นโจว ตัวตนเช่นนี้หากเขาพุ่งเป้ามาที่พวกเรา พวกเราจะสู้ได้ด้วยอย่างไร!”
บางคนเริ่มสติแตก
…ทั้งห้องโถงเริ่มโกลาหล ผู้คนส่วนใหญ่ในห้องโถงไม่อาจสงบใจลงได้
เมื่อเห็นฉากนี้ เซียวจ้งอิ๋งก็ขมวดคิ้วและตะโกนเสียงดังลั่น “พวกท่านจะตื่นตระหนกไปเพื่ออะไร!? เรื่องราวของซูอี้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราแม้แต่น้อย!”
ทุกคนต่างเงียบไป
แต่ไม่นานก็มีคนลังเลและพูดว่า “แต่จากที่ข้ารู้มา ซูอี้ผู้นี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านผู้เฒ่าเซียวเทียนเชวี่ย และเส้นทางไปนครหลวงอวี้จิงนั้นมันจะต้องผ่านมหานครไป๋โจวของเราก่อน หากเขาล่วงรู้ว่าเราทำสิ่งใดลงไป พวกเราอาจจะ…”
พูดค้างถึงประโยคนี้ทุกคนต่างตัวสั่น
เซียวจ้งอิ๋งกล่าวอย่างเฉยเมย “พวกท่านลืมไปแล้วหรือว่ามหานครไป๋โจวเป็นพื้นที่อิทธิพลของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง เมื่อใดที่เขาเหยียบย่างเข้ามาที่นี้ ซูอี้ผู้นี้ย่อมถูกโจมตีอย่างรุนแรงโดยไม่ทันตั้งตัวอย่างแน่นอน!”
พูดถึงประโยคนี้ เขายิ้มเล็กน้อยและพูดอย่างสำราญใจ “พวกเรา… แค่เพียงดูการแสดงจากด้านข้างก็เพียงพอแล้ว”