บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 296 คุณชายกับนักพรตเต๋า
ตอนที่ 296: คุณชายกับนักพรตเต๋า
ตอนที่ 296: คุณชายกับนักพรตเต๋า
ในคุกที่ชื้นและมืดมิด
เซียวเทียนเชวี่ยมองไปทางจื่อจิ่น แล้วรีบร้อนพูด “สาวน้อย เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?”
“ท่านปู่ ข้ามารับท่านแล้ว”
จื่อจิ่นกล่าวอย่างตื่นเต้น
เมื่อนางเห็นรูปร่างที่ผอมแห้งและซีดเซียวของเซียวเทียนเชวี่ย นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์ รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงเซียวเทียนเชวี่ยลุกขึ้นยืน
“รับข้าออกไป?”
เซียวเทียนเชวี่ยตกตะลึง “เซียวจ้งอิ๋งใจดีเพียงนั้นเชียวหรือ?”
จื่อจิ่นสูดหายใจเข้าลึก ยิ้มตอบ “ท่านปู่ เซียวจ้งอิ๋งตายแล้ว”
“อะไรนะ!?”
เซียวเทียนเชวี่ยเบิกตากว้าง “เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
“ท่านปู่ พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถิด”
เมื่อกล่าวจบ จื่อจิ่นพลันเดินออกจากคุกพร้อมกับเซียวเทียนเชวี่ย
……
ไม่นานหลังจากนั้น เซียวเหิงชิวและสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลเซียวที่ถูกคุมขังก็ได้รับการปล่อยตัวจากคุก และได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง
เมื่อมาถึงหอคอยวายุกระซิบ
เซียวเทียนเชวี่ย เซียวเหิงชิว และคนอื่น ๆ จึงเห็นว่าบรรดาผู้อาวุโสทุกคนที่เคยติดตามเซียวจ้งอิ๋งล้วนคุกเข่าอยู่บนพื้นในเวลานี้
ที่หน้าโต๊ะ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีมรกตนั่งอยู่ที่นั่น ดื่มชาขณะมองทิวทัศน์ทะเลสาบในระยะไกลด้วยท่าทางสบาย ๆ
เพ่ยอวิ๋นตู้ยืนข้างเขา ยิ้มและช่วยเทชา
เมื่อเห็นฉากนี้ เซียวเหิงชิวก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง แล้วถามด้วยความสงสัย “จื่อจิ่น นี่ใคร?”
ไม่เพียงแต่เขา ทว่าสมาชิกของตระกูลเซียวที่เพิ่งออกมาจากคุกก็ต่างตกตะลึง ภาพฉากตรงหน้าพวกเขาขณะนี้นับว่ายากจะเข้าใจ
ก่อนที่จื่อจิ่นจะได้พูด เซียวเทียนเชวี่ยพลันตระหนักทราบในทันใด รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น กำหมัดแน่นและทักทาย “นับเป็นเกียรติยิ่งนักที่เซียวผู้นี้ได้พบเจอซูเซียนเชิงอีกครา!”
เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการตายของเซียวจ้งอิ๋งและคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นล้วนเป็นฝีมือของซูอี้!
“ผู้เฒ่าเซียว”
ซูอี้ถอนสายตากลับมา ยืนขึ้นและพูดว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลย… ว่าเพราะข้า ท่านถึงกับไม่ลังเลที่จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตระกูลซู!”
เซียวเทียนเชวี่ยแสดงความอับอายและยิ้มอย่างขมขื่น “แต่ท้ายที่สุด… ข้าก็ยังช่วยซูเซียนเชิงไม่ได้”
“ซูเซียนเชิง?”
ในเวลานี้ เซียวเหิงชิวมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที เขากระซิบถาม “จื่อจิ่น นี่คือซูอี้ที่ช่วยชีวิตท่านปู่ของเจ้าและช่วยตระกูลเซียวของเราเรื่อง ‘คัมภีร์คลื่นทองคำ’ ใช่หรือไม่?”
จื่อจิ่นยิ้มและพยักหน้า “ถูกต้อง”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ผู้อาวุโสทั้งหมดในตระกูลเซียวที่เพิ่งพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ทุกคนพากันแสดงความประหลาดใจและตกใจออกมา
แท้จริงแล้วคนหนุ่มในเสื้อคลุมสีเขียวผู้นี้ก็คือซูอี้!
ในวันนี้ ซูอี้เข้าสู่มหานครไป๋โจวและแก้ไขปัญหาภายในของตระกูลเซียว ช่วยให้เซียวเทียนเชวี่ยและคนอื่น ๆ รอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายและกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง
……
ในวันนั้น ห่างจากมหานครไป๋โจวสามสิบลี้ มีค่ายทหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ค่ายดั้นเมฆา!
กองทัพที่ทรงพลังภายใต้คำสั่งของราชาดั้นเมฆาซื่อหลานซานปกป้องแคว้นไป๋ตลอดทั้งปีและประจำการอยู่ ณ พื้นที่บริเวณนี้ตลอดมา
“รายงาน!”
หน่วยสอดแนมรีบเข้าไปในค่าย ตรงมาถึงจวนขนาดใหญ่กลางค่าย
“รายงานแม่ทัพ มีข่าวจากมหานครไป๋โจวว่าซูอี้บุกตระกูลเซียวเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว!”
ภายในโถงใหญ่ มีกระถางธูปส่งควันลอยและพรมแดงปูบนพื้น
ราชาดั้นเมฆาซื่อหลานซานกำลังคุยกับชายหนุ่มในชุดคลุมลายเมฆาอัคคี
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซื่อหลานซานก็เบิกตาโพลง ก่อนจะกล่าวคำออก “ซูอี้ปรากฏตัวแล้ว? ดี!”
เขาแสดงท่าทางดีอกดีใจ เร่งสั่งทหารที่อยู่ใกล้ “ไปจับตาดูให้ข้า!”
“รับทราบ!”
นายทหารผู้นั้นรับคำ ก่อนเดินออกไป
ซื่อหลานซานมองไปที่ชายหนุ่มในชุดคลุมยาว และพูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า “นายน้อยโหยว ตามที่คาดไว้ซูอี้มาที่แคว้นไป๋แล้ว”
ชายหนุ่มที่ชื่อนายน้อยโหยวยิ้ม กล่าวว่า “ในตอนนี้ แม้ยากจะยืนยันว่าหลี่ตงหลิวและคนอื่น ๆ ของสำนักดาบมังกรเร้นถูกเขาคนนี้สังหารหรือไม่ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูอี้คนนี้มีความสามารถในการสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ดังนั้นไม่ควรประมาท”
เขาดูหล่อเหลา ตาเฉียง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย และอยู่ในท่าทีเกียจคร้านเป็นกันเอง
แต่แม้กระทั่งต่อหน้าชายหนุ่มเช่นนี้ สีหน้าของซื่อหลานซานก็ยังคงมีความเคารพ เขาป้องมือตอบ “ครั้งนี้จะชนะซูอี้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับนายน้อยโหยวแล้ว”
นายน้อยโหยวยิ้ม ส่ายหัว “ข้าเป็นแค่คนส่งข่าว การฆ่าซูอี้คงต้องยกให้ท่านลุงของข้าเท่านั้น”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ข่าวที่ได้จากหอสิบทิศเกี่ยวกับชายผู้นี้น่ากลัวเกินไป หากเป็นตัวข้าที่ลงมือ ถึงพยายามมากเพียงใด ข้าก็คงไม่สามารถเอาชนะซูอี้ได้”
ซื่อหลานซานรีบพูด “นายน้อยโหยวเจียมตัวเกินไป ในต้าโจวนี้ หลายคนอาจจะไม่ค่อยรู้จักชื่อเสียงของนายน้อย แต่ในอาณาจักรต้าฉิน ผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายน้อยโหยวเป็นศิษย์ที่อายุน้อยที่มีชื่อเสียงที่สุดของวัดเสวียนเยว่?”
การแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความนับถือ ยังคงกล่าวด้วยความชื่นชมต่อไปอีก “ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายยังถูกกล่าวขานว่าเป็น ‘หนึ่งในแปดผู้เก่งกาจแห่งต้าฉิน’ และถือเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่ควรอุ้มชูให้ความใส่ใจ”
“เท่าที่ซื่อผู้นี้ทราบ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายแสวงหาเส้นทางที่สมบูรณ์พร้อมไปยังวิถีต้นกำเนิด เมื่อสามปีที่แล้วคุณชายคงกลายเป็นเทพเซียนเดินดินไปแล้ว”
“เมื่อเทียบกับคุณชาย …ซูอี้ เหอะ คนผู้นั้นมันก็แค่กบฏ!”
คำพูดเหล่านี้ทำให้นายน้อยโหยวมีท่าทีพอใจ
เขาถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพซื่อ ท่านก็กล่าวเกินไป อย่างไรเสียซูอี้ก็…”
ซื่อหลานซานพูดอย่างจริงจัง “แม้เป็นความจริงที่ซูอี้เก่งกาจยิ่ง แต่เขาเป็นคนที่กำลังจะตาย ดังนั้นเขาจะมีคุณสมบัติเปรียบเทียบกับนายน้อยได้อย่างไร?”
นายน้อยโหยวยิ้มและกล่าวอย่างแผ่วเบา “เอาล่ะ อย่ายอข้านักเลย ข้าโหยวซิงหลินมีฝีมือเท่าใด ตัวข้ารู้ดีที่สุด”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็พูดอย่างสบาย ๆ “สำหรับซูอี้… ถ้าหากเขาไม่แข็งแกร่งพอ เช่นนั้นทำไมท่านป้าถึงเรียกตัวข้าและท่านลุงมาที่ต้าโจวด้วยตนเองกันล่ะ?”
ความหมายก็คือ ถ้าซูอี้ไม่แข็งแกร่งพอ อีกฝ่ายก็คงจะไม่มีคุณสมบัติพอให้ท่านลุงลงมือด้วยตนเอง!
ซื่อหลานซานยิ้มอย่างรู้ทัน
เขารู้ดีว่าท่านป้าของนายน้อยโหยวคือ ‘โหยวชิงจือ’ อนุภรรยาลำดับที่สี่ของซูหงหลี่ หัวหน้าตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง
ความคิดที่จะจัดการกับซูอี้ในแคว้นไป๋ในครั้งนี้ก็มาจากอนุภรรยาลำดับที่สี่โหยวชิงจือนางนี้นี่แหละ!
“ท่านแม่ทัพ เนื่องจากซูอี้มาถึงแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปหาท่านลุงของข้าก่อน ส่วนเมื่อใดที่จะดำเนินการ ก็ขึ้นอยู่กับท่านแม่ทัพเลย”
โหยวชิงหลินยืนขึ้น
ซื่อหลานซานรีบลุกขึ้นและไปส่งเขา
ในมุมหนึ่งของค่ายทหาร หน้าโถงที่เรียบง่ายและสะอาด
โหยวซิงหลินจัดเสื้อผ้าของเขา ก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ท่านลุง ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบ”
ภายในโถงมีเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งแล้วว่าเมื่อเจ้าลงจากภูเขา อย่าพูดจาโผงผางนัก รีบเข้ามาเร็วเข้า”
“ขอรับ”
จากนั้นโหยวซิงหลินก็ก้าวเข้าไปในห้องโถง
ภายในห้องโถง นักพรตวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม ศีรษะของเขาม้วนผมเป็นมวย ปล่อยเคราพลิ้วไหว นั่งไขว่ห้าง
ข้างหน้าเขามีดาบลายไม้สน ดาบยาวเพียงสองฉื่อและกว้างสองชุ่น มีร่องรอยของลวดลายเมฆคล้ายหมึกพลุ่งพล่านบนดาบ ให้กลิ่นอายของความเก่าแก่โบราณออกมา
เมื่อโหยวซิงหลินเข้ามา นักพรตวัยกลางคนที่ถือหยกกระดูกวิญญาณ ก็ค่อย ๆ ขัดดาบสนที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างประณีต
นี่คือการ ‘ขัดเกลาดาบ’ ทักษะลับเฉพาะในการบำรุงดาบ
“ดาบกุ้ยหยวนของท่านลุง น่าทึ่งขึ้นเรื่อย ๆ”
โหยวซิงหลินยิ้ม กล่าวยกย่องประโยคหนึ่ง
“วิธีบำรุงดาบไม่ใช่แค่การใช้สิ่งภายนอกเพื่อหล่อเลี้ยงมันเท่านั้น แต่ยังต้องปลูกฝังจิตวิญญาณของผู้ฝึกฝนด้วยจิตวิญญาณทั้งหมด เพื่อให้เราสามารถเก็บและใช้ออกได้ดั่งแขนขา”
นักพรตวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย โบกฝ่ามือกับนิ้วของเขา และด้วยเสียงที่ดังก้อง ดาบลายสนก็กลายเป็นลำแสง ลอยกลับเข้าไปในสำรับดาบที่อยู่ข้างหลังเขา
“บอกมาสิ เหตุใดจึงมาที่นี่”
นักพรตวัยกลางคนถาม
โหยวซิงหลินประกบมือของตนเข้าหากัน และกล่าวว่า “ราชาดั้นเมฆาซื่อหลานซานได้ข่าวว่าซูอี้ปรากฏตัวในมหานครไป๋โจวแล้ว”
นักพรตวัยกลางคนพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าอยากพบคนคนนี้จริง ๆ”
โหยวซิงหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซูอี้คนนี้สามารถเข้าตาของท่านลุงได้ แค่นี้ก็คงจะตายอย่างมีความสุขแล้ว”
นักพรตวัยกลางคนส่ายหัว พูดว่า “ข้าไม่ได้อยากฆ่าเขา แต่อยากรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเขามากกว่า”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านลุงพบเห็นอะไรบางอย่าง?”
โหยวซิงหลินสงสัย
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตวัยกลางคนกล่าวว่า “ดูจากข่าวของหอสิบทิศ มันคงไม่น่าแปลกใจเลย หากคนหนุ่มผู้นี้จะถูกสิงสถิต ข้าเกรงว่าจิตวิญญาณของเขาคงถูกกลืนไปแล้ว ทว่าจะเป็นไปตามที่ข้าคาดไว้หรือไม่ เมื่อข้าเจอเขา ข้าจะมองเขาด้วย ‘กระจกวิญญาณ’ เอง”
หลังจากหยุดชั่วครู่ ดวงตาของเขาก็ลุกเป็นไฟ กล่าวว่า “ถ้าเขาถูกสิงสถิตจริง บางทีข้าอาจแสวงหนทางสู่วิถีวิญญาณที่เป็นของมหาปราชญ์สวรรค์อีกโลกหนึ่งออกจากร่างของเขาได้!”
โหยวซิงหลินรู้สึกตื่นเต้นมาก และกล่าวว่า “ถ้าเป็นกรณีนี้ มันก็คุ้มค่าแล้วที่เราจะมาต้าโจวด้วยตนเอง”
นักพรตวัยกลางคนกล่าวว่า “ที่จริงแล้ว การมาที่ต้าโจวครั้งนี้นอกจากจะมีเรื่องสังหารซูอี้แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า”
โหยวซิงหลินตกใจ “เรื่องอะไรหรือ?”
“ไม่นานมานี้ กลุ่มผู้ฝึกตนจากวัดซ่างหลินมายังต้าโจว และเข้าไปขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา และเป็นไปได้ว่าพวกเขาเข้าไปแสวงหา ‘โชค’ ก้อนโตภายใน”
ดวงตาของนักพรตวัยกลางคนเปล่งประกาย “เจ้าก็รู้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วัดซ่างหลินได้ศึกษาความลับมากมายที่เกี่ยวข้องกับ ‘โลกอื่น’ และสิ่งที่พวกเขาวางแผนในการเดินทางครานี้ มันก็น่าจะเกี่ยวข้องกับ ‘โลกอื่น’ ที่ว่า”
โหยวซิงหลินตกใจ จู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ และพูดว่า “ข่าวจากหอสิบทิศบอกว่าซูอี้เข้าไปในขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาเมื่อวันก่อน แต่ดูเหมือนว่า… เขาจะไม่พบผู้บำเพ็ญของวัดซ่างหลิน”
นักพรตวัยกลางคนกล่าวว่า “นั่นคือสิ่งที่ทำให้ข้าประหลาดใจ รอข้าเจอซูอี้ในครั้งนี้ ข้าจะถาม”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็มองไปที่โหยวซิงหลิน แล้วพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อข้าจับซูอี้คนนี้ได้ ข้าจะไว้ชีวิตเขาชั่วคราว และมอบให้แก่เจ้าเป็นหินลับคม …การต่อสู้กับคู่ต่อสู้ดังกล่าวก็เพียงพอที่จะปลดปล่อยศักยภาพของเจ้าแล้ว เมื่อเจ้าก้าวสู่วิถีต้นกำเนิด เจ้าก็จะสามารถสร้างรากฐานของขอบเขตไร้เบญจธัญได้อย่างราบรื่น”
คิ้วของโหยวซิงหลินแสดงถึงความตื่นเต้น เขาก้มตัวคำนับอย่างเคร่งขรึม “ซิงหลินจะไม่มีวันลืมความกรุณาของท่านลุง!”
นักพรตวัยกลางคนยิ้มและส่ายหัว “เจ้าเด็กน้อย ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องสุภาพระหว่างเจ้ากับข้า”
ในระหว่างการสนทนา ซื่อหลานซานราชาดั้นเมฆาได้มาพบพวกเขาอย่างเร่งรีบ