บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 299 ดาบมังกรผงาด
ตอนที่ 299: ดาบมังกรผงาด
ตอนที่ 299: ดาบมังกรผงาด
“สวรรค์!”
ซื่อหลานซานกับเหล่าทหารทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปต่างก็พากันตะลึง รู้สึกเจ็บปวดต่อภาพตรงหน้า
ดาบสีทองที่ฟันลงมาจากฟากฟ้านั่น ราวกับมือแห่งเซียนผู้มาจากสรวงสวรรค์ แข็งแกร่งจนกระทั่งพวกเขาที่มองดูไกล ๆ ยังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาได้
เผชิญกับการโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ สีหน้าของโหยวซิงหลินเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างมหันต์
“ขึ้นเดี๋ยวนี้!”
ลมปราณแท้ในตัวของเขารวมตัวกัน แขนเสื้อกว้างพองลม ผมยาวแต่ละเส้นตั้งชัน
ครืน! ครืน! ครืน!
ตรงหน้า เทือกเขาเพลิงอัคคีสิบเก้าลูกปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่ละลูกสูงสิบจั้งเรียงตัวกันเป็นแนวอยู่ข้างหน้า
ดาบอัคคีกลายร่างเป็นเทือกเขา!
เท่านี้ยังไม่พอ โหยวซิงหลินกระชากจี้หยกที่แขวนคอลงมา บดขยี้เป็นชิ้นย่อย
เปรี๊ยะ!
จี้หยกปล่อยอักขระสัญลักษณ์ซับซ้อนสีเขียวสว่างออกมา กลายเป็นเกราะแสงสีเขียวกลมมน ครอบคลุมทั่วร่าง แสงทิพย์ส่งแสงเจิดจำรัส
เกราะแสงมรกตอี้เจิน
‘เซียนชังหง’ ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาได้หลอมยันต์ลับวิถีต้นกำเนิดขึ้นด้วยตนเอง มีกำลังป้องกันอย่างแข็งกล้า พลังทั้งหมดทั้งมวลภายใต้วิถีต้นกำเนิดล้วนไม่อาจทำอะไรได้!
ถึงตอนนี้ โหยวซิงหลินจึงรู้สึกวางใจลงได้บ้าง
เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขากลับสลดลงไปมาก เพียงแค่ดาบเดียวเท่านั้นก็บีบจนเขาไม่มีทางหนีทีไล่ ต้องเอาวิชาป้องกันตัวอย่างเกราะแสงมรกตอี้เจินออกมาใช้
เช่นนี้ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!
หืม?
ฉับพลัน สีหน้าของโหยวซิงหลินก็เปลี่ยนไป
เห็นแต่เพียง…
ครืน!
เมื่อดาบราวกับทางช้างเผือกสีทองของซูอี้เล่มนั้นฟันลงมา เทือกเขาเพลิงอัคคีสูงสิบจั้งที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศสิบเก้าลูกก็แตกระเบิดทีละลูกราวกับจุดประทัด สุดท้ายก็พังทลายไม่เป็นท่า
ฝนแสงไฟกระเซ็นกระซอนไปทั่วท้องฟ้า
ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นทำให้โหยวซิงหลินถึงกับมือเท้าเย็น
เทือกเขาเพลิงอัคคีนั้นเป็นวิชาป้องกันตัวที่เขาภาคภูมิใจอย่างที่สุด เทือกเขาแต่ละลูกล้วนสามารถต้านทานการบุกรุกโจมตีของบุคคลในระดับเดียวกันได้ ทว่าภายใต้พลังดาบอันแข็งแกร่งของซูอี้เล่มนั้นกลับพังทลายไปอย่างง่ายดายราวกับกระดาษ!
พลังของดาบสีทองนั้นยังคงไม่ถดถอย ฟันลงบนเกราะแสงมรกตอี้เจินด้วยพลังอันแก่กล้าเหลือคณา
ครืน!!
ภายในระยะสามศอก ตัวของโหยวซิงหลินเต็มไปด้วยแสงยันต์อันแก่กล้าของตัวเอง พลังการป้องกันเช่นนี้แทบจะรวมตัวกันจนจับต้องได้ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าพลังเมฆกำลังเดือดพล่าน พลังทิพย์กำลังโหมกระหน่ำ
ทว่าชั่วขณะที่พลังดาบสีทองฟาดฟันลง เกราะแสงสีมรกตแวววาวนั้นเกิดรอยบุ๋มลึก สั่นสะเทือนอย่างแรง
ฉึบ ฉึบ ฉึบ!
ถัดจากนั้นรอยร้าวเล็ก ๆ คล้ายกับใยแมงมุมก็ปรากฏขึ้นบนเกราะแสง
โหยวซิงหลินตื่นตระหนกตกใจจนหน้าขาวซีด วิญญาณดวงน้อยแทบจะหลุดกระเด็นออกจากร่าง ต่อให้คิดจนสมองแตกก็คิดไม่ออกว่าเกราะแสงมรกตอี้เจินอันแข็งแกร่งนี้จะถูกดาบเล่มนั้นฟันจนพังทลายได้อย่างไร
ทั้งหมดนี้เกินกว่าความคาดหมายของเขา
เป็นเหตุทำให้สมองว่างเปล่าในพริบตา
ครืน!
สุดท้ายเกราะแสงมรกตอี้เจิ้นก็ต้านทานไม่อยู่ ระเบิดในทันใด
“ชีวิตข้าไม่เหลือแล้ว!”
ดวงตาของโหยวซิงหลินลุกโพลง ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ชั่วขณะเวลาคับขันอย่างเหลือกำลังเช่นนี้ ดาบเล่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ พุ่งเข้ามาต้านทานดาบของซูอี้
เพล้ง!
ฝนแสงไฟสีทองสาดกระเซ็นเต็มท้องฟ้า เกิดความปั่นป่วนโกลาหล
คลื่นพลังที่น่ากลัวนั้น สั่นสะเทือนร่างของโหยวซิงหลินจนกระเด็นออกไปอย่างแรง เป็นระยะทางถึงสิบกว่าจั้ง
ผมเผ้ายุ่งเหยิง เลือดกระอักออกจากปากและจมูก
“ข้า… ข้ายังไม่ตาย?”
โหยวซิงหลินไออย่างแรงราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน
ทั่วบริเวณสงบนิ่งปราศจากสุ้มเสียง มีแต่เพียงเสียงไอและเสียงพึมพำราวกับละเมอของเขา
บนใบหน้าของซื่อหลานซานกับเหล่าทหารม่ออวิ๋นที่อยู่ห่างไกลออกไปเต็มไปด้วยอาการตื่นตะลึงเช่นกัน เพียงแต่ว่าอาการตื่นตะลึงนั้นเกิดจากความตื่นตระหนกอย่างรุนแรง เป็นอาการตาค้างแบบยากนักจะเชื่อ
ดาบเดียว ถล่มภูเขาไฟสิบเก้าลูก ทลายเกราะแสงมรกตอี้เจิน!
ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นคล้ายกับวิธีการของเซียนตามที่เล่าขานกันมา พลังที่ปล่อยออกมาไม่ใช่พลังที่ผู้ฝึกยุทธ์ในโลกสามัญควรจะมี!
ไม่รู้ว่าหลี่ฉางหนิงมายืนอยู่ข้างกายโหยวซิงหลินตั้งแต่เมื่อใด ดาบโบราณลายสนลอยตัวอยู่ด้านหน้า
เขากล่าวเสียงเคร่งขรึม “ซิงหลิน อย่าได้ท้อแท้ เจ้าไม่ได้พ่ายแพ้ต่อหนุ่มน้อยขอบเขตปรมาจารย์ แต่เจ้าพ่ายแพ้ต่อผู้สิงสถิต”
ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะหลี่ฉางหนิงยื่นมือเข้าช่วย โหยวซิงหลินจึงรอดพ้นจากเพลิงอัคคี
“เช่นนั้นหรือ…”
โหยวซิงหลินสูดหายใจลึก ๆ สีหน้าขาวซีดจับจ้องดูซูอี้ที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นกัดฟันกล่าว “ท่านลุง ได้โปรดจับตัวเขาเพื่อนำมาเป็นคู่ฝึกซ้อมให้ข้าด้วย!!”
เขาเจ็บใจ!
เจ็บใจตัวเองที่เมื่อสักครู่ตื่นตระหนกจนสมองว่างเปล่า ลืมตอบโต้ จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด!
สำหรับบุคคลชื่อดังในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของอาณาจักรต้าฉินอย่างเขาแล้ว สิ่งนี้ถือเป็นการเหยียดหยามดูถูกกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“ได้”
หลี่ฉางหนิงพยักหน้า “เจ้าจงไปรออีกด้าน”
ห่างออกไป ซูอี้ยืนมือไพล่หลังสีหน้าราบเรียบ
คร้านจะพูดอธิบายให้มากความ
ผู้สิงสถิตหมายความว่าอย่างไร?
ใช้จิตวิญญาณขโมยร่างของคนอื่น แต่ก็ได้รับผลกระทบจากพื้นฐานและพรสวรรค์ของร่างเดิม ได้แต่ต้องฝึกฝนใหม่ทั้งหมด
ต่อให้เขาแย่สักแค่ไหน ก็ไม่อาจนำเขาไปเปรียบกับพวกขโมยร่างของคนอื่นได้!
แน่นอน พูดเช่นนี้ออกไป ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางเชื่อแน่
“สหายเต๋า โปรดชี้แนะ”
บนเวทีประลอง หลี่ฉางหนิงพยักหน้าน้อย ๆ
ซูอี้ไม่พูดพล่าม
ครืน!
ชุดคลุมยาวสีเขียวของเขาพองตัว ย่ำเท้ากลางอากาศ ปล่อยหมัดออกมา
กำลังหมัดอันรุนแรง เกิดเป็นรอยร้าวยาวกลางอากาศ ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้า จังหวะวิถีอันบริสุทธิ์ดุดันเดือดพล่าน
“ไม่ได้ใช้กำลังแห่งฟ้าดินแม้แต่น้อยนิด ใช้แต่เพียงธาตุแท้ของขอบเขตปรมาจารย์ก็สามารถหลอมประทับจังหวะวิถีได้!? ซูอี้คนนี้หากไม่ใช่ผู้สิงสถิต จะทำถึงขั้นนี้ได้เช่นใด?”
ในสายตาของหลี่ฉางหนิงมีแต่ความสงสัย
ปล่อยพลังดุดัน ปรมาจารย์แต่ละคนล้วนสามารถทำได้ แต่อย่างซูอี้ ปล่อยหมัดที่แฝงด้วยจังหวะวิถีลี้ลับเช่นนี้ เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก
อย่าว่าแต่ปรมาจารย์เลย แม้กระทั่งบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ก็ยังทำไม่ได้!
เพราะว่าจังหวะวิถีมีแต่เทพเซียนเดินดินเท่านั้นจึงสามารถรู้แจ้งในพลังที่มี!
“ขึ้น!”
ช่วงระหว่างที่จิตเคลื่อนไหว ดาบกุ้ยหยวนในมือหลี่ฉางหนิงฟันกลางอากาศ ดาบพุ่งออกไปทั่วฟ้าราวกับม่านฝนแตกกระจาย
ดาบแต่ละเล่มมีความยาวสองจั้ง คมกริบ ส่องประกายเย็นยะเยือก เพียงแค่ชั่วครู่เดียว ทั่วแผ่นฟ้าราวกับมีลูกธนูแหลมจำนวนนับพันนับหมื่นดอก
“ไป!”
ตามทิศทางการชี้ของหลี่ฉางหนิง
ดาบจำนวนนับพันนับหมื่นเล่มพุ่งไปยังซูอี้ ราวกับลูกธนูปราดเปรียว ดาบแต่ละเล่มชักนำพลังวิญญาณฟ้าดิน ขณะที่ฟัน อานุภาพก็พุ่งสูงขึ้น
ดาบทั้งหลายส่งเสียงดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
ความอลังการเช่นนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนในเหตุการณ์
เทพเซียนเดินดิน!
นี่คือความองอาจของเทพเซียนเดินดินอย่างแท้จริง เพียงแค่ดาบเดียวบงการฟ้าดิน ชักนำดาบนับร้อยพัน!
ซื่อหลานซานกับเหล่าทหารนับหมื่นในค่ายต่างพากันตื่นตะลึง
ในสายตาผู้ฝึกยุทธ์โลกสามัญ เทพเซียนเดินดินเท่ากับผู้ที่หลุดพ้นจากโลกสามัญ ไม่ต่างไปจากเทพเซียนในตำนาน
ดังนั้นในเวลานี้ เมื่อได้เห็นความอลังการของหลี่ฉางหนิงแล้ว ไม่ต้องคิดก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสักแค่ไหน
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!
บนเวทีประลอง ดาบจำนวนนับไม่ถ้วนกระแทกกำลังหมัด
ตอนที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสอง ซูอี้ก็สามารถฆ่าเทพเซียนเดินดินที่ฝืนบรรลุขอบเขตอย่างจิงเหอแห่งวัดซ่างหลินได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้?
เห็นแต่เพียง…
ท่ามกลางการระเบิดติดต่อกัน พลังหมัดอันแข็งแกร่งราวกับไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานได้ ซัดดาบแต่ละเล่มจนระเบิด หมัดยังคงพุ่งไปข้างหน้าไม่หยุด
“เปลี่ยน!”
หลี่ฉางหนิงเปลี่ยนกระบวนดาบ
ดาบเต็มท้องฟ้าเพิ่มความเร็วขึ้นจากเดิมหลายเท่า รวดเร็วราวกับลมมรสุม พุ่งไปที่หมัดไร้รูปร่างนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ดาบแต่ละเล่มทำให้หมัดลดกำลังลง ถึงแม้จะไม่มากนัก แต่โดนดาบจำนวนนับพันนับหมื่นเล่มฟาดฟัน สุดท้ายหมัดของซูอี้ก็แตกสลายไปกลางอากาศในระยะห่างจากหลี่ฉางหนิงสิบกว่าจั้ง
ฟ้าดินเงียบกริบ
คนทั้งหลายในเหตุการณ์ต่างก็นิ่งเงียบด้วยความตะลึง
“เป็นไปได้อย่างไร…”
โหยวซิงหลินเบิกตาโพลง คิดไม่ออกว่า หมัดของซูอี้จะต้านทานกำลังของหลี่ฉางหนิงผู้อยู่ในขอบเขตเทพเซียนเดินดินได้อย่างไร
มหัศจรรย์เกินไปแล้ว!
กระทั่งซื่อหลานซานกับเหล่าทหารพวกนั้นก็ยังตะลึง นี่เป็นพลังที่บุคคลระดับปรมาจารย์มีเช่นนั้นหรือ?
เมื่อไรกันที่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาสามารถต้านทานเทพเซียนเดินดินได้?
“รับหมัดของข้าไปอีกหมัด!”
ซูอี้หัวเราะเสียงดัง เท้าขยับก้าว หมัดวาดลวดลายมังกร กลางอากาศราวกับมีเซียนกระเรียนกระพือปีกแผดร้องเสียงดังถึงสวรรค์ชั้นเก้า
ปล่อยหมัดนี้ออกไป ธาตุแท้ทั้งหมดสำแดงแก่นแท้แห่งเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง ชักนำพลังโดยรอบรวมตัวเป็นจังหวะวิถีอันลี้ลับ
อานุภาพอันยิ่งใหญ่นี้มากกว่าเมื่อก่อนหน้ากว่าหนึ่งเท่าตัว ซัดจนอากาศแถบนั้นสั่นสะเทือน กระแสลมผันผวน
ครืน~
หมัดรุนแรงสีทองเรืองอร่ามซัดเข้ามา ดุจดังเซียนนกโฉบฆ่า มีความงดงามยิ่งนัก จังหวะวิถีเป็นธรรมชาติ
ครั้งนี้ กระทั่งหลี่ฉางหนิงก็ยังแสดงสีหน้าตึงเครียดออกมา ดาบโบราณลายสนในมือส่งเสียงดังก้องขึ้นมาในทันใด
ดาบนามว่ากุ้ยหยวน
เมื่อสิบเก้าปีก่อน หลี่ฉางหนิงบรรลุสู่ขอบเขตเทพเซียนเดินดิน ‘อวี่ชังซาน’ เจ้าสำนักวัดเสวียนเยว่มอบดาบกุ้ยหยวนให้เพื่อเป็นการแสดงความยินดี
ดาบเล่มนี้ยาวสองศอก กว้างสองนิ้วมือ เป็นสมบัติที่บรรพบุรุษสำนักเสวียนเยว่เก็บรักษาไว้ หลอมสร้างโดยเลียนแบบดาบเทพแห่งบรรพกาล ลักษณะของดาบคล้ายดาบโบราณ หนาและหนัก ไร้ซึ่งคม หนักถึงพันชั่ง หลังจากที่หลี่ฉางหนิงได้ดาบเล่มนี้มา บำรุงทั้งวันทั้งคืน ใช้เลือดและลมปราณของตัวเองฝึกฝน จนถึงวันนี้มีอายุสิบเก้าปีแล้ว!
ทว่าเวลานี้ หลี่ฉางหนิงใช้ผลการฝึกตนทั้งหมดที่มีขับดันดาบเล่มนี้ เสียงดาบก้องกังวานน่าตกใจยิ่งนัก
สวบ!
หลังจากที่เขาตวัดดาบ
สายรุ้งสีขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศในทันใด สายรุ้งสีขาวนี้พาดยาวอยู่กลางท้องฟ้า มีความยาวถึงสิบกว่าจั้ง ประกายดาบราวกับคลื่นมรสุมที่กำลังโกรธเกรี้ยว แฝงด้วยพลังแห่งฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่
ชั่วขณะนั้น ในสายตาของคนทั้งหลาย ราวกับมองเห็นมังกรสีขาวตนหนึ่งผุดออกมาจากดาบ เชิดหน้าสะบัดหาง ดูดเมฆาคายไอหมอก ก่อเกิดลมฝนแปรปรวน!
นี่คือภาวะดาบ!
นามว่า ‘มังกรผงาด’ หลี่ฉางหนิงได้มาโดยวิธีพินิจดูภาพโบราณ ‘มังกรเดินเมฆา’ เป็นระยะเวลาสามปี สุดท้ายจึงขโมยจังหวะวิถีอันลึกล้ำมาได้ และผสมผสานเข้าไปในตัวดาบ
เลี้ยงดูมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลาแปดปีแล้ว!
กล่าวได้ว่าเป็นผลงานวิถีดาบขั้นสุดยอดในชีวิตของหลี่ฉางหนิง
“ดี!”
เวลานี้ ซูอี้เดินตามหมัด กลายร่างเป็นเซียนกระเรียนร่ายรำสู่สวรรค์ชั้นเก้า พร้อมกับแสงสีทองอันเรืองอร่าม บุกโจมตีลงมา ต้องการจะใช้แรงกำลังทำลายดาบเล่มนี้!
ครืน!
พลังระเบิด ฟ้าดินสั่นสะเทือน
จากจุดที่ทั้งสองปะทะกัน พลังเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งถาโถม แผ่ขยายออกไปรอบทิศทาง ครู่ถัดมาคือพลังแข็งแกร่งกับพลังหมัดแผ่กระจาย สุดท้ายคือความสั่นสะเทือนไร้รูปร่าง
ภายใต้การทำลายล้างของพลังอันแข็งแกร่ง ลานประลองยุทธ์ร้อยจั้งที่สร้างจากเหล็กกล้าลึกล้ำถึงกับถล่มยุบตัวพังพินาศ
ส่วนนอกของลานประลอง มีเสียงร้องตื่นตระหนกของคนจำนวนมากมายดังขึ้น
นอกจากตัวตนที่มีผลการฝึกตั้งแต่ขอบเขตปรมาจารย์แล้ว คนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้บริเวณนี้ล้วนถูกลมแรงน่ากลัวนั้นซัดจนกระเด็นออกไปอย่างแรง เหตุการณ์วุ่นวายโกลาหล
“ครั้งนี้ ใครแพ้ใครชนะ?”
ทุกคนเบิกตากว้าง มองดูด้วยสายตาตื่นตระหนกยากนักจะปกปิด