บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 303 พายุปั่นป่วนเมืองหลวง
ตอนที่ 303: พายุปั่นป่วนเมืองหลวง
ตอนที่ 303: พายุปั่นป่วนเมืองหลวง
ในวันที่สิบของเดือนสี่ ศึก ณ ค่ายทหารดั้นเมฆาถูกกำหนดให้ถูกบันทึกลงในพงศาวดารของราชวงศ์ต้าโจว
เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยมีตัวอย่างของปรมาจารย์ทำการสังหารเทพเซียนเดินดินมาก่อน
เรื่องนี้ได้สร้างแบบอย่างทางประวัติศาสตร์ขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง!
ในคืนนั้น
ภายในนครหลวงอวี้จิงเมืองหลวงของต้าโจว การต่อสู้ครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดพายุพัดไปทั่วเมือง
“บุตรชายของตระกูลซูผู้นี้แข็งแกร่งมากงั้นรึ?”
“ทุกวันนี้ผู้คนในโลกสงสัยกันว่าซูอี้ผู้นี้น่าจะเป็นผู้สิงสถิต หากเป็นกรณีนี้ ผู้ที่แย่งร่างของเขาไปน่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ทรงพลัง!”
“ไม่จำเป็น ว่ากันว่าในดินแดนต้าเซี่ยมีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ‘หลี่หานเติง’ อยู่ขอบเขตของปรมาจารย์ ทว่าได้สังหารเทพเซียนเดินดินลง เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด ซึ่งหลี่หานเติงผู้นี้ไม่ใช่ผู้สิงสถิต”
“โลกนี้… กำลังแปลกพิกลมากขึ้นเรื่อย ๆ…”
…ในช่วงดึกดื่น การพูดคุยทุกรูปแบบได้เกิดขึ้นในนครหลวงอวี้จิง กองกำลังขนาดใหญ่เหล่านั้นล้วนตื่นตระหนก แม้แต่ผู้อาวุโสบางส่วนที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษมานานหลายปีก็ตกใจเช่นกัน
พลังที่ซูอี้แสดงให้เห็นในการต่อสู้ครั้งนี้น่ากลัวเกินไป
อายุเพียงสิบเจ็ด สามารถสังหารเทพเซียนเดินดินจากวัดเสวียนเยว่แห่งต้าฉินด้วยขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสาม ซึ่งทำลายสามัญสำนึกของผู้คนลงโดยสิ้นเชิง
ในอดีตไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าขอบเขตปรมาจารย์จะสามารถสังหารเทพเซียนเดินดินได้!
“ซูอี้ออกเดินทางจากมหานครกุ่นโจวในวันที่สี่ของเดือนสี่ และตอนนี้ก็มาถึงไป๋โจวแล้ว อีกเพียงไม่กี่วันเขาก็จะมาถึงนครหลวงอวี้จิง! ตระกูลซูควรทำอย่างไร… เราจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?”
“ฝ่าบาท พวกเราควรทำอย่างไร ควรตัดสินใจเช่นไรดี?”
“เมื่อซูอี้มาที่นี่ พายุแบบไหนจะเกิดขึ้นในนครอวี้จิงกัน?”
…กองกำลังหลักทั้งหมดในนครหลวงอวี้จิงต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา
ในอดีตแม้ว่าซูอี้จะทรงพลังในอาณาเขตแคว้นกุ่น เขาก็ไม่เป็นที่สนใจกองกำลังต้าโจวในนครหลวงอวี้จิงมากนัก
เพราะถึงอย่างไรแคว้นกุ่นก็ห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกับนครหลวงอวี้จิง
แต่ตอนนี้ ด้วยพลังในการสังหารเทพเซียนเดินดินของซูอี้ ใครจะกล้าดูถูกปรมาจารย์อายุสิบเจ็ดปีผู้นี้อีก?
ไม่ได้พูดเกินจริงที่จะบอกว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีรุ่นเยาว์ในต้าโจวคนใดสามารถเปรียบเทียบกับซูอี้ได้!
แม้จะเป็นปรมาจารย์ขั้นห้าก็ยังต้องก้มหัว!
ตัวตนดังกล่าวมีค่าควรแก่ความสนใจจากกองกำลังหลักในโลกสามัญนัก
ในคืนนั้น ตระกูลซูไร้ความสงบ
“นายน้อยสามหนีออกจากบ้านเมื่ออายุสิบสี่ปี ตอนอายุสิบหก เขาประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันและสูญเสียการฝึกฝนไป เขากลายเป็นศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งของสำนักดาบชิงเหอ และกลายเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลเหวินในเมืองกว่างหลิง… นี่แค่ปีกว่าเอง เขา… เขาสามารถสังหารเทพเซียนเดินดินได้งั้นหรือ?”
“นายน้อยสามของเราถูกทอดทิ้ง ถูกปฏิเสธตั้งแต่เขาเป็นเด็ก และถูกถือเป็นลูกชั่วนิสัยดื้อด้าน ตอนนี้เขาได้รับอำนาจแล้วเขาจะต้องกลับมาชำระบัญชีอย่างแน่นอน!”
“ชู่ เงียบซะ!”
ในตระกูลซู แม้แต่คนรับใช้และสาวใช้ก็ตกใจเมื่อพวกเขาได้ยินข่าว
ส่วนเหล่าคนใหญ่คนโต ข่าวดังกล่าวก็ทำให้พวกเขาอยู่ไม่สุขเช่นกัน
ลานชิงอู๋
สถานที่อาศัยของซูหงหลี่
ในช่วงกลางดึก ดวงดาวหม่นแสงเล็กน้อย เมฆหมอกครึ้ม
ด้านนอกลานชิงอู๋ มีบุคคลสำคัญมากมายในตระกูลซูต่างรอฟังข่าว
คนใหญ่คนโตเหล่านี้ หากเลือกมาสักคนล้วนแต่เป็นตัวตนที่สามารถทำให้ดินแดนสั่นสะเทือนด้วยการกระทืบเท้าสามครั้ง ต่างกุมอำนาจมหาศาลทั่วทุกทิศเอาไว้
แต่ในเวลานี้ แต่ละคนล้วนเงียบราวกับรูปปั้นดินเหนียว ไม่กล้าส่งเสียงออกมา
ในลานชิงอู๋
ซูหงหลี่สวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้าง นั่งเฉย ๆ ในเรือนที่มีแสงสว่างจ้า
โดยมีอีกสามคนอยู่ในห้องโถง
พวกเขาคืออนุคนที่สี่ โหยวชิงจือ กับบุตรชายของนาง ซูป๋ออิ๋น และชายชราในชุดคลุมเต๋าที่มีรูปลักษณ์สะอาดสะอ้าน
โหยวชิงจือยืนอยู่ตรงกลางห้องโถง ใบหน้างดงามของนางซีดเผือดและไร้ชีวิตชีวา
ซูป๋อหนิงยืนขมวดคิ้วอยู่อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและหม่นหมอง
“ลงไป”
ซูหงหลี่โบกมือ
โหยวชิงจือตกตะลึงครู่หนึ่ง จิตใจของนางเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม กล่าวว่า “สามี ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่หลี่ฉางหนิงจะเสียชีวิต แต่ยังมีหลานชายของข้า โหยวซิงหลิน เรื่องนี้…”
ทันทีที่นางพูดเช่นนี้ นางก็สังเกตเห็นถึงสายตาของซูหงหลี่ ทำให้โหยวชิงจือรู้สึกกระวนกระวายและผวา จนไม่สามารถพูดต่อได้
“ข้ามีการตัดสินใจของข้าเอง”
ซูหงหลี่ดูเฉยเมย “ออกไปบอกคนอื่นว่าฟ้ายังไม่ถล่ม ให้พวกเขาจัดการเรื่องของตัวเองไป”
โหยวชิงจือสูดหายใจเข้าลึก ๆ ระงับความเศร้าโศกและความไม่ยินดีในใจ ก่อนพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
แต่ซูป๋อหนิงทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขากำหมัด กล่าว “ท่านพ่อ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น และตอนนี้ในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ ข้าไม่รู้ว่ามีกี่คนที่รอดูเรื่องตลกของตระกูลซูของเราอยู่ ท่าน… ท่านไม่โกรธเลยหรือ?”
สีหน้าของโหยวชิงจือเปลี่ยนไป นางเอ่ยตำหนิ “ป๋อหนิง เหตุใดจึงพูดกับท่านพ่อของเจ้าเช่นนี้! ท่านพ่อของเจ้ามีความคิดของเขาเอง เจ้าอย่าได้ตั้งคำถาม ไปกับข้า” ว่าแล้วก็ดึงซูป๋อหนิงจากไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ซูหงหลี่มองดูเรียบเฉย ไม่พูดอะไรสักคำ
จนกระทั่งร่างของโหยวชิงจือกับซูป๋อหนิงหายออกไปนอกลานชิงอู๋ สีหน้าของซูหงหลี่จึงอดปรากฏร่องรอยผิดหวังขึ้นไม่ได้ ก่อนถอนหายใจเบา ๆ
“เด็กคนนี้ดีทุกอย่าง เสียแต่ใจร้อนเกินไป เห็นได้ชัดว่าแม่ของเขาตามใจจนเสียนิสัย”
ชายชราในชุดคลุมด้านข้างยิ้มและเอ่ยเบา ๆ ว่า “มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของคนหนุ่ม ในอนาคตเจ้าสามารถค่อย ๆ ฝึกได้”
ซูหงหลี่พยักหน้า เขามองไปที่ชายชราในชุดคลุม และกล่าวว่า “สหายเต๋า ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
ชายชราในชุดเต๋ายิ้มจาง เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเส้นทางการฝึกตน หลี่ฉางหนิงฝึกฝนอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ ซึ่งท่ามกลางรุ่นเดียวกันในวัดเสวียนเยว่แห่งต้าฉินสามารถนับได้เป็นหนึ่งในสามอันดับแรก เขาได้เรียนรู้มรดกสืบทอดของ ‘ปราชญ์ไป๋เจี้ยว’ มา”
“ในต้าฉิน มีคนไม่เกินสิบคนที่สามารถสังหารเขาได้”
หลังจากหยุดชั่วครู่ ดวงตาของชายชราก็กะพริบ เขากล่าวว่า “ซูอี้สามารถสังหารหลี่ฉางหนิงและคนอื่น ๆ ลงด้วยขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสามได้ มันอาจดูน่าตะลึงไปหน่อย แต่หากศึกษาดูดี ๆ จะพบว่ามีความเป็นไปได้อยู่สองข้อ”
ซูหงหลี่โบกมือแล้วกล่าว “ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องที่ถูกเปลี่ยนตัวไป มาพูดกันถึงอีกเหตุผล”
มันมีนัยของการปฏิเสธและขยะแขยงในน้ำเสียงของเขา
ชายชราในชุดคลุมเต๋าพยักหน้า ร่างของเขาลุกขึ้น กล่าวว่า “ความเป็นไปได้ประการที่สองคือซูอี้ได้รับมรดกของคนจากโลกอื่น!”
“มันถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณ ว่าผู้แข็งแกร่งบางคนที่ได้ทะลวงฟ้า สามารถส่งต่อมรดกวิชาผ่านทางจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ผู้สืบทอดจึงสามารถเก่งกาจขึ้นในชั่วข้ามคืน เชี่ยวชาญทักษะ และได้ประสบการณ์ส่วนหนึ่งของผู้ถ่ายทอดวิชาไป ทำให้สามารถบรรลุความก้าวหน้าในการฝึกฝนอย่างรวดเร็ว”
“สหายเต๋าเองก็รู้ ว่าเส้นทางแห่งการฝึกฝนที่แท้จริงนั้นเริ่มต้นจากขอบเขตโคจรโลหิต และทุกย่างก้าวมีความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ ทักษะและมรดกที่ได้รับการสืบทอดโดยผู้ฝึกตนในโลกนี้ยังห่างไกลจากผู้ฝึกฝนที่แท้จริงนัก”
“หากซูอี้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แสดงว่าเขาได้เข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝนที่แท้จริงตั้งแต่แรกเริ่ม หากรวมกับมรดกของผู้ทรงพลัง พลังการต่อสู้ที่เขาครอบครองอยู่นั้นย่อมเยี่ยมกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปในโลกสามัญ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ชายชราที่สวมชุดคลุมเต๋าอดถอนหายใจไม่ได้ “แม้ว่าหลี่ฉางหนิงจะทรงพลัง แต่เขาเป็นผู้ฝึกตนที่เกิดและเติบโตในมหาทวีปคังชิง ท้ายที่สุด เขาก็เป็นแค่เทพเซียนเดินดินขอบเขตไร้เบญจธัญเท่านั้น ในสายตาของผู้ทรงอำนาจจากต่างโลก พวกเราก็ไม่ต่างจากมดปลวกแต่อย่างใด”
ซูหงหลี่หรี่ลงตาเล็กน้อย แล้วกล่าวคำออก “ข้าเองก็ได้ข้อสรุปที่คล้ายกัน แต่ข้าสงสัยอยู่เสมอว่าเจ้าวายร้ายนี่ได้รับมรดกมาจากที่ใด? เขาไปที่หุบเขามารบุปผาโลหิตกับขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาแค่สองแห่ง ในอดีตข้าก็เคยไปที่นั่นมาแล้ว นอกเหนือจากผนังกั้นมิติที่ถูกผนึกก็ไม่มีอะไรที่ควรค่าแก่การสนใจอีกแล้ว”
ชายชราในชุดเต๋ายิ้ม พูดว่า “เจ้าจำศิษย์ขี้อายของราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิงได้หรือไม่?”
“นักพรตเต๋าตัวน้อยที่ชื่อเก๋อเฉียน?”
ซูหงหลี่เลิกคิ้ว
“ถูกต้อง”
ชายชราในชุดคลุมเต๋าพยักหน้า กล่าวว่า “คนหนุ่มผู้นี้มีความลึกลับซ่อนเร้นอยู่มาก น่าสงสัยว่าเขาได้รับมรดกมาจากผู้มีอำนาจบางคน ทว่าคนหนุ่มผู้นี้ระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง และพยายามปกปิดความผิดปกติในร่างกายของเขาเอาไว้”
“แต่เขาไม่รู้ว่าอาจารย์ของเขา เก๋อฉางหลิง สังเกตเห็นเบาะแสบางอย่างนานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยออกมาก็เท่านั้น”
พูดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ช่วงก่อนข้าไปเยี่ยมเก๋อฉางหลิง และอยากเห็นเก๋อเฉียนผู้นี้ ใครจะคิดว่าคนหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะได้ยินข่าวจึงหนีไปล่วงหน้าหนึ่งก้าว ว่ากันว่าเขาไปยังส่วนลึกของทะเลฮุนหมิงที่ชายแดนทางเหนือของต้าโจว”
ซูหงหลี่กล่าวว่า “สหายเต๋าคิดว่าลูกชั่วก็ได้รับมรดกเช่นเดียวกับเก๋อเฉียนรึ?”
ชายชราลังเล
อย่างไรก็ตาม ซูหงหลี่ดูเหมือนจะเข้าใจความลังเลและพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ลูกชั่วนั่นไม่มีทางถูกเปลี่ยนตัวไปได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะยืนกรานที่จะแก้แค้นให้แม่ของเขาได้อย่างไร…?”
เขาพูดด้วยความเย็นชา
ชายชราในชุดคลุมเต๋าเงียบไป ก่อนจะพูดหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “สหายเต๋า หากไม่มีอุบัติเหตุ ซูอี้จะมาถึงนครหลวงอวี้จิงเร็ว ๆ นี้ เจ้าจะทำอย่างไร…?”
ซูหงหลี่เอนหลังพลางกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าก่อนวันที่ห้าเดือนห้า ข้าจะให้โอกาสเขาสำนึกผิดและชดใช้บาป ทว่าตั้งแต่ที่เขาสังหารเซี่ยโหวหลินกับคนอื่น ๆ ข้าก็ได้ตัดสินใจแล้ว ว่าถึงเขาจะก้มศีรษะยอมรับความผิดในวันที่ห้าของเดือนห้า ข้าก็ละเว้นเขาไม่ได้”
ถ้อยคำนั้นสงบแต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่
ดูเหมือนว่าการสังหารหลี่ฉางหนิงของซูอี้จะไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกดดันมากนัก
ชายชราในชุดเต๋าครุ่นคิด “แต่หากเป็นเช่นนี้ ในวันที่สี่ของเดือนห้า ซูอี้จะมาที่บ้านตระกูลซูตามที่กล่าวไว้ตอนแรก ข้าเกรงว่าจะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น”
ซูหงหลี่ยิ้ม พูดแย้งไม่เห็นด้วย “ถ้าเขาคิดว่าหลังจากฆ่าหลี่ฉางหนิงลงแล้วจะสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้ เช่นนั้นมันก็เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่”
ในขณะนั้นเอง เสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพก็ดังขึ้นนอกห้องโถงใหญ่
“ใต้เท้า ท่านราชครูมาเยี่ยมเยือนขอรับ!”
ซูหงหลี่ดูไม่แปลกใจ เขาพูดกับชายชราในชุดเต๋าข้าง ๆ ว่า “ดูสิ ตาเฒ่าหงเซินชางอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
ชายชราในชุดคลุมเต๋ายิ้ม กล่าวว่า “ราชครูมักสงสัยอยู่เสมอว่ามีบางอย่างผิดปกติกับซูอี้ ยิ่งตอนนี้ได้รู้ว่าซูอี้สังหารหลี่ฉางหนิงลง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจ”
หลังจากหยุดชะงัก เขาก็พูดต่อว่า “นอกจากนี้ การปราฏตัวของราชครูขึ้นที่นี่ในวันนี้ เป็นไปได้ว่าเป็นการแสดงถึงเจตนาของฝ่าบาท”
ดวงตาของซูหงหลี่เป็นประกาย เขาสั่งการด้านนอกห้องโถง “เชิญมาที่นี่”
ไม่นาน
ร่างสูงตรงราวกับต้นสนมุ่งเดินมาจากระยะไกล เขาสวมชุดคลุมสีเทา และมีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ เหนือผมยาวของเขามีปิ่นหยกอยู่ ใบหน้าดูอบอุ่นและสะอาดตา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้นซึ่งมีสีทองจาง ๆ ดูเหมือนจะสามารถเจาะลึกความลับที่ลึกที่สุดในหัวใจของผู้คนได้ ทำให้ดูน่ากลัวยิ่งนัก
คนผู้นี้คือราชครูแห่งต้าโจวคนปัจจุบัน เจ้าตำหนักเฟิ่งฉี หงเซินชาง!