บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 304 คณะทูตสองอาณาจักร แสงสว่างแห่งโลกกว้าง
ตอนที่ 304: คณะทูตสองอาณาจักร แสงสว่างแห่งโลกกว้าง
ตอนที่ 304: คณะทูตสองอาณาจักร แสงสว่างแห่งโลกกว้าง
เมื่อเห็นหงเซินชางเดินมา ซูหงหลี่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ตีใบหน้าห่างเหินปกติ กล่าวเชิญ “นั่งเถิด”
หงเซินชางไม่ถือสา หันไปคำนับเล็กน้อยทางชายชราชุดเต๋า “สหายเต๋า ไม่เจอกันนาน”
ชายชราชุดเต๋าพยักหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่าทีของท่านราชครูดีกว่าแต่ก่อนมาก ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก”
หงเซินชางนั่งลง และเอ่ยอย่างพิจารณา “ที่หงผู้นี้มาในค่ำคืนนี้ มีเพียงแค่สองเรื่อง เมื่อกล่าวจบแล้วก็จะกลับทันที”
ซูหงหลี่เอ่ย “เชิญท่านพูดมา”
นัยน์ตาทองเย็นชาของหงเซินชางมองไปทางซูหงหลี่ “เรื่องแรก ไม่กี่วันก่อนซูอี้ได้มาถึงมหานครหลวงอวี้จิงแล้ว ฝ่าบาทกำชับให้หงผู้นี้มาถามว่าตระกูลซูจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้”
ซูหงหลี่เอ่ยโดยไม่ต้องคิด “เรื่องนี้เป็นเรื่องในตระกูลซูข้า ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง เมื่อถึงตอนนั้น แค่ฝ่าบาทได้เห็นก็จะรู้เอง”
หงเซินชางขมวดคิ้ว และพยักหน้าทันที “เรื่องที่สอง ต้าฉิน ต้าเว่ยทั้งสองอาณาจักรจะส่งคณะทูตเดินทางมาเยี่ยมเยือนอาณาจักรต้าโจว ประมาณเจ็ดวันให้หลังก็คงจะมาถึงมหานครหลวงอวี้จิง”
ซูหงหลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หรือว่าคณะทูตสองอาณาจักรที่เดินทางมาในครั้งนี้มีอะไรแตกต่าง?”
หงเซินชางเอ่ย “มันพิเศษมาก หรืออาจจะพูดได้ว่าไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยต่อ “ยามนี้พวกเราเพียงแค่รู้ว่า คณะทูตฝั่งต้าเว่ย นำคณะมาโดยอวิ๋นจงฉี ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวงเดือน”
“คณะทูตฝั่งต้าฉิน ก็นำคณะมาโดยจี้เหอ หัวหน้าผู้อาวุโสอารามหลานฮั่นแห่งวัดซ่างหลิน”
นัยน์ตาซูหงหลี่แข็งขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยพึมพำ “ไม่ธรรมดาจริง ๆ”
ไม่ว่าจะเป็นอวิ๋นจงฉี ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวงเดือน หรือว่าจี้เหอ หัวหน้าผู้อาวุโสอารามหลานฮั่นแห่งวัดซ่างหลิน ต่างก็เป็นเทพเซียนเดินดินที่มีชื่อเสียงมาหลายปี
แค่สองอาณาจักรส่งคณะทูตมาเท่านั้น ทว่าแต่ละฝั่งกลับมีเทพเซียนเดินดินนำคณะ ในอดีตไม่เคยเห็นเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก่อน
ชายชราชุดเต๋าที่เงียบมาโดยตลอดพลันเอ่ยขึ้น “หรือว่า พวกเขามาเพราะซูอี้?”
หงเซินชางเอ่ย “อาจเป็นเช่นนั้น จากข้อมูลข่าวที่ ‘องครักษ์เงามังกร’ ลอบสืบมา ซูอี้ได้สังหารหลิ่วหงฉี ผู้อาวุโสสายนอกสำหนักวงเดือนในมหานครกุ่นโจว และฉาจิ่นสาวรับใช้ข้างกายเขาก็คือศิษย์ของสำนักวงเดือน”
“และหลายวันก่อน ซูอี้ได้เข้าไปในขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา และเหมือนจะเกิดการปะทะกับจิงเหอ ผู้อาวุโสหอสยบมังกรแห่งวัดซ่างหลินและคนอื่น ๆ”
“ตามข้อมูลที่หอสิบทิศเผยแพร่ออกมา จิงเหอและคนอื่น ๆ ต่างก็ตายอยู่ในขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา เกรงว่าเรื่องนี้คงจะเกี่ยวข้องกับซูอี้”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หงเซินชางก็หันไปมองซูหงหลี่อีกครั้ง “นี่ก็หมายความว่า คณะทูตแห่งต้าฉินและต้าเว่ยที่เดินทางมาครั้งนี้ ก็อาจจะเล็งเป้าไปที่ซูอี้แล้ว”
ซูหงหลี่ตอบรับสายตาของหงเซินชาง “เรื่องที่ไอ้ลูกกตัญญูคนนี้ก่อขึ้น ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า หรือพวกเขากล้าคิดบัญชีกับซูหงหลี่ผู้นี้?”
หงเซินชางส่ายหน้า “ไม่หรอก ข้าแค่สงสัย ผู้ฝึกตนทางฝั่งต้าฉิน ต้าเว่ยก็อาจจะสงสัยเหมือนกัน บนร่างซูอี้มีบางอย่าง และพวกเขาอาจจะมาเพราะของล้ำค่าบนร่างซูอี้ก็ได้!”
“ของล้ำค่า?”
ซูหงหลี่อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าเยาะเย้ยออกมา “เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เหตุที่เหล่าผู้แข็งแกร่งเดินทางไปขัดขวางลูกชายอกตัญญูในช่วงนี้ ก็ไปเพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ของล้ำค่า’ ไม่ใช่หรือ? ทว่าจะมีใครรู้จริง ๆ ว่าบนร่างของลูกชายทรพีนั้นมีของล้ำค่าแบบใดอยู่?”
แววตาหงเซินชางลุ่มลึกขึ้น “ความลับบนร่างของซูอี้ ด้วยความสามารถของพี่ซู ก็มิอาจมองออกได้รึ?”
ซูหงหลี่เอ่ยอย่างไม่แยแส “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังสงสัยสิ่งใด และข้าก็รู้ด้วยว่าเจ้ามีเหตุผลเพียงพอที่จะสงสัยว่าลูกชายอกตัญญูคนนั้นเป็นเหมือนกับเจ้า แต่ข้าบอกเจ้าได้ว่า เขาไม่ใช่”
แล้วหงเซินชางก็เงียบลงทันที ไม่นานเขาก็ลุกขึ้น “เรื่องทั้งหมดได้กล่าวออกมาหมดแล้ว หงผู้นี้ขอตัวลากลับ”
จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
ซูหงหลี่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่มีการลุกขึ้นส่งใด ๆ ทั้งสิ้น
ทว่าชายชราสวมชุดเต๋าลุกขึ้น เขาเดินไปส่งด้วยตัวเอง
จนกระทั่งเดินออกมาจากตำหนักแล้ว จู่ ๆ หงเซินชางก็เอ่ยถาม “สหายเต๋า เจ้าคิดอย่างไร?”
ชายชราสวมชุดเต๋ายิ้มออกมาเล็กน้อย “ท่านราชครูมิต้องกังวล ยามนี้คือวันที่สิบเดือนสี่ รอถึงวันที่สี่เดือนห้าเมื่อใด บางทีเรื่องลึกลับทั้งหมดอาจจะถูกเปิดเผยก็ได้”
“วันที่สี่เดือนห้า…”
หงเซินชางครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ และคำนับ “ข้าขอลา”
จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไป
ชายชราสวมชุดเต๋ากลับเข้าไปในตำหนัก และเอ่ยด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ “เกรงว่า เวลาต่อจากนี้มหานครหลวงอวี้จิงต้องคึกคักแน่”
ซูหงหลี่เอ่ยอย่างเฉยเมย “เมื่อเทียบกับความคึกคักเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ข้าสนใจยิ่งกว่าคือ ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ ที่ถูกลิขิตไว้ ซึ่งไม่รู้ว่าสุดท้ายจะมาถึงเมื่อใดกัน”
“แสงสว่างแห่งโลกกว้าง… มันย่อมมาพร้อมกับโลกที่วุ่นวาย…”
ชายชราสวมชุดเต๋าถอนหายใจออกมา “สหายเต๋ายังจำเรื่องที่เก๋อฉางหลิงพูดได้หรือไม่? เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง ทุกสิ่งที่ถูกคุมขังอยู่ในมหาทวีปคังชิง ก็จะกลับมาเช่นกัน”
พลันมีหลายประโยคปรากฏขึ้นในหัว
“พลังที่ถูกปิดผนึกไว้ข้างใต้ จะต้องทะลวงออกมา”
“ทั้งหมดที่เคยถูกจองจำ จะต้องถูกพังทลาย”
“เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่และการนองเลือดในอดีต จะกลับมาอีกครา”
“ก่อนที่หมอกหนาทึบจะถูกเปิดเผย เรื่องที่ผิดปกติทั้งหมด จะเป็นลางบอกเหตุ!”
ชั่วครู่หนึ่ง ซูหงหลี่ถึงเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนขึ้น “ข้าคาดหวังมากทีเดียว”
…..
ในคืนเดียวกัน
ณ ตระกููลเซียว
ซูอี้ที่นอนเอนกายอยู่ในลานบ้านอย่างเกียจคร้าน กำลังสร่างเมา
ก่อนหน้านี้เขากับเซียวเทียนเชวี่ย เซียวเหิงชิวและบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในตระกูลเซียวดื่มเหล้าด้วยกัน และไม่รู้ว่าดื่มไปกี่ไห ถึงทำให้เขาในตอนนี้มีท่าทางอ่อนโยนเล็กน้อย
“คงจะดีหากมีฉาจิ่นอยู่ด้วย”
ซูอี้แอบเอ่ยขึ้นในใจ
เมื่อคิดครู่หนึ่ง เขาก็ตบน้ำเต้าปลุกวิญญาณเบา ๆ “ชิงหว่าน”
ชิงหว่านที่สวยน่ารัก สวมชุดกระโปรงแดงก็ปรากฏออกมา ตากลมโตดั่งหยดน้ำกะพริบไปมา และเอ่ยถามอย่างขลาดกลัว “นายท่านมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ?”
“ช่วยนวดไหล่ให้ข้าที” ซูอี้เอ่ย
ชิงหว่านส่งเสียงตอบรับเป็นการเข้าใจ รีบเดินไปข้างหน้า ยื่นมือเล็กขาวนุ่มออกไป นวดอยู่บนไหล่ซูอี้ แรงที่ใช้พอเหมาะพอดี
ชูอี้สบายจนหลับตาลง และเอ่ยถามอย่างใจลอย “ เคล็ดวิชา ‘มหาวิญญาณทศทิศ’ ที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้า ฝึกบำเพ็ญไปถึงไหนแล้ว?”
“เรียนนายท่าน หว่านเอ๋อร์เหลืออีกหนึ่งขั้น ก็จะสามารถแปรสภาพเป็นผีวิญญาณแล้ว!”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ดวงตาชิงหว่านพลันเปล่งประกาย และมีความสุขเล็กน้อย
“ไม่ต้องรีบร้อน เส้นทางของผู้ฝึกผีนั้น อันตรายและเต็มไปด้วยหายนะมากกว่าเส้นทางอื่น ยิ่งมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากเท่าใด ก็ยิ่งไปได้ไกลมากเท่านั้น”
ซูอี้เอ่ยขึ้นทันที
กลายเป็นผีวิญญาณ ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ฝึกตนที่ก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด!
เมื่อถึงตอนนั้น ชิงหว่านก็จะเป็นผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง เพียงแต่เดินบนเส้นทางของผู้ฝึกผี
แต่เมื่อกลายเป็นผีวิญญาณ กลับต้องผ่านหายนะการ ‘กลายร่าง’ ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก ผีธรรมดาไม่มีโอกาสได้ข้ามผ่านเลย
เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตทั่วไป การดำรงอยู่ของผีที่มุ่งแสวงความเป็นอมตะ จึงอาจได้รับทัณฑ์จากสวรรค์ได้ง่าย
เมื่อคิดครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “รอเจ้าเผชิญหายนะการ ‘กลายร่าง’ เมื่อใด ข้าจะช่วยคุ้มครองเจ้าเอง”
“ขอบคุณนายท่าน!”
ชิงหว่านดีใจยิ้มตาหยี ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงจนกลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยวที่งดงาม ออกแรงนวดไหล่ให้กับซูอี้หนักขึ้น ใช้กำปั้นเล็กขาวราวหิมะทุบไหล่ให้ซูอี้
“เจ้าฝึกบำเพ็ญมาจนถึงยามนี้ ได้ฟื้นความทรงจำกลับมาได้บ้างหรือไม่?”
ซูอี้ถามขึ้นอีกครั้ง
แววตาชิงหว่านเผยความผิดหวังออกมา พลางส่ายหน้า “ไม่มีเลยเจ้าค่ะ”
“ดูเหมือนจะต้องรอให้เจ้าก้าวไปสู่เส้นทางผู้ฝึกตนอย่างแท้จริงก่อนถึงจะได้ แต่ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้แล้วว่าหยกวิญญาณซึ่งเป็นที่สถิตวิญญาณเจ้าน่าจะมาจากอีกโลกหนึ่ง”
ซูอี้เอ่ย “รอให้พลังปิดผนึกในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตพังทลายไปเมื่อใด ไม่ช้าก็เร็วคงมีผู้ฝึกตนอีกโลกหนึ่งเหมือนกับเจ้าข้ามเข้ามาไม่น้อย เมื่อถึงตอนนั้น ข้าไปจับบางส่วนมาถามก็พอแล้ว”
ชิงหว่านขานตอบเป็นอันว่าเข้าใจ พลางลังเลไปครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้น “นายท่าน จริง ๆ แล้วหว่านเอ๋อร์พอใจกับการใช้ชีวิตฝึกบำเพ็ญในยามนี้แล้ว ไม่ต้องคิดสิ่งใดมาก และไม่มีสิ่งใดที่ต้องทุกข์ใจ มันดีมาก…”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา “นั่นเป็นเพราะเจ้าอยู่ข้างกายข้า หากสับเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนอื่น เกรงว่าเจ้าคงกลายเป็น ‘ของล้ำค่า’ เซ่นไหว้ไปนานแล้ว”
ชิงหว่านแลบลิ้นออกมา และเอ่ยอย่างหวาดกลัว “นายท่าน หว่านเอ๋อร์จะไม่ไปจากท่าน เว้นแต่ว่า… เว้นแต่ว่าท่านจะไม่ต้องการหว่านเอ๋อร์…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตอนท้าย น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเบาลงเล็กน้อย
“ข้าจะไม่ต้องการเจ้าได้อย่างไร รอเจ้าก้าวสู่วิถีวิญญาณเต็มตัว ข้ายังต้องให้เจ้าเป็นคู่บำเพ็ญข้า และสร้างพื้นฐานไปด้วยกัน”
ซูอี้ยืดเอวอย่างเกียจคร้านเป็นเวลานาน
คู่บำเพ็ญ…
พลันใบหน้าเล็กงดงามราวกับเด็กของชิงหว่านแดงคล้ายกับแอปเปิ้ลลูกใหญ่ เขินอายจนก้มหน้าลง นายท่านเขา… เขายังนึกถึงเรื่องนี้มาตลอด…
“คุณชายซู ด้านนอกมีหลวงจีนรูปหนึ่งเดินทางมาพบท่าน”
ด้านนอกลานบ้าน มีเสียงจื่อจิ่นดังขึ้นมา
ซูอี้แตะลงบนมือเล็กอ่อนนุ่มของชิงหว่านที่กำลังนวดอยู่บนไหล่เขาเบา ๆ “เจ้ากลับเข้าไปก่อน”
“อา… อืม”
ราวกับชิงหว่านถูกไฟฟ้าช็อต เร่งรีบเก็บทั้งสองมือ และแปลงเป็นกลุ่มควันเข้าไปในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ
แค่แตะมือเท่านั้น การตอบสนองต้องใหญ่ขนาดนี้เชียวรึ?
ซูอี้ส่ายหน้า จากนั้นจึงเอ่ยไปทางด้านนอกลาน “แม่นางจื่อจิ่น ให้คนผู้นั้นเข้ามาได้”
ไม่นาน ประตูใหญ่ลานบ้านก็ถูกผลักออกมาจากด้านนอก เผยให้เห็นหลวงจีนที่มีรูปร่างอ้วนท้วมไร้สิ่งใดเทียบ และแทบจะเดินเข้าประตูมาไม่ได้
เขานุ่งห่มจีวรเก่า เปิดแขนออก ใบหน้ามันขลับ
เมื่อเห็นซูอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย ก็เร่งรีบก้าวไปด้านหน้าทันที หัวเราะออกมาพลางคำนับ
“อาตมา ‘หงจี้’ ยินดีที่ได้พบคุณชาย!”
ซูอี้มองหลวงจีนที่อยู่ตรงหน้าซึ่งกำลังยิ้มเต็มใบหน้าจนแก้มตุ่ยนั่นสั่นเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้น “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใด?”
หลวงจีนหงจี้รีบเอ่ยตอบ “อาตมาจะไม่ปิดบัง อาตมามาที่นี่ในนามของหอสิบทิศ หนึ่งเพื่อมาส่งของล้ำค่าให้แก่คุณชาย สองมีเรื่องที่ต้องหารือด้วยกัน”
ขณะเอ่ย เขาก็นำกระเป๋าถุงที่มีสมบัติล้ำค่า ยื่นให้ด้วยสองมือ “คุณชายซู ในนี้มีศิลาวิญญาณระดับห้ายี่สิบก้อนที่ท่านควรได้รับ เชิญท่านเก็บไว้ให้ดี”
ซูอี้เอ่ยอย่างแปลกใจ “ไม่ใช่ว่าหอสิบทิศของพวกเจ้าใช้ปักษาเวคินสื่อสารกับคนหรอกรึ เหตุใดยามนี้เจ้ากลับมาที่นี่ด้วยตัวเอง?”
หลวงจีนหงจี้ยิ้มพลางเอ่ยอธิบาย “คุณชายซูไม่ใช่คนธรรมดา แน่นอนว่ามิอาจปฏิบัติอย่างขอไปทีได้ เมื่อทำเช่นนี้ ก็เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อคุณชายของหอสิบทิศ หวังว่าคุณชายจะไม่เอาความเรื่องในอดีต และอย่าได้เข้าใจหอสิบทิศผิด”
ซูอี้แปลกใจเป็นอย่างมาก ไม่นึกว่าหอสิบทิศที่ถูกเรียกขานว่าลึกลับและมีอำนาจกระจายไปทั่วอาณาเขตชายแดนต้าโจว ต้าเว่ย ต้าฉินสามอาณาจักร จะเกรงใจเช่นนี้
เหมือนกับท่าทางของหลวงจีนหงจี้รูปนี้ ไม่เพียงแต่เคารพเท่านั้น แต่ยังมีความรู้สึกเกรงกลัวและจริงใจอยู่บ้าง…
เมื่อคิดครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเจ้ามาครั้งนี้เพราะเรื่องอันใดกัน?”