บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 306 รู้แจ้งเห็นจริงในคืนมืดมิดบนยอดเขานกกระทา
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 306 รู้แจ้งเห็นจริงในคืนมืดมิดบนยอดเขานกกระทา
ตอนที่ 306: รู้แจ้งเห็นจริงในคืนมืดมิดบนยอดเขานกกระทา
ตอนที่ 306: รู้แจ้งเห็นจริงในคืนมืดมิดบนยอดเขานกกระทา
บนแผ่นหยกสุดท้าย บันทึกความลับเกี่ยวกับ ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ เอาไว้
กล่าวง่าย ๆ คือ ในมหาทวีปคังชิงแห่งนี้ มีสถานที่อันตรายอันผิดปกติและแปลกประหลาดมากมาย
ดังเช่นแปดหุบเขามารใหญ่แห่งต้าโจว สี่สถานที่ต้องห้ามลึกลับแห่งต้าเว่ย ‘ทะเลวิญญาณโกลาหล’ แห่งต้าฉิน ทั้งหมดต่างก็ถูกเรียกขานว่าเป็นสถานที่ผิดปกติและแปลกประหลาด
ในส่วนลึกใต้สถานที่เหล่านั้น ต่างมีพลังปิดผนึกอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับต่างโลก
และอีกส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับวิถีปราชญ์โบราณที่หายสาบสูญไปในมหาทวีปคังชิง
เฉกเช่นส่วนลึก ‘ทะเลวิญญาณโกลาหล’ ในต้าฉิน ก็มีโบราณวัตถุของวิถีปราชญ์โบราณมากมาย!
วิถีปราชญ์เหล่านี้ อาจจะอยู่ในมหาทวีปคังชิงมานานมากแล้ว ทว่าดูเหมือนจะถูกทำลายล้างในสมัยโบราณเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดและน่ากลัว
และเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงนี้ ทำให้พลังวิญญาณของมหาทวีปคังชิงนั้นเหือดแห้ง และวิถีปราชญ์ก็หายสาบสูญไปแทบจะทั้งหมด
ตั้งแต่อดีตจนถึงยามนี้ มีคำทำนายเกี่ยวข้องกับ ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ เล่าต่อ ๆ กันออกมามากมาย
หนึ่งในนั้นได้สลักคำทำนายไว้บนแผ่นหินอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาเถาวัลย์อาถรรพ์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุด
แผ่นหินนั้นถูกค้นพบโดยราชากลืนสมุทร เก๋อฉางหลิง ซึ่งบนนั้นได้เขียนเอาไว้ว่า
‘พลังที่ถูกปิดผนึกไว้ข้างใต้ จะต้องทะลวงออกมา’
‘ทั้งหมดที่เคยถูกจองจำ จะต้องถูกพังทลาย’
‘เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่และการนองเลือดในอดีต จะกลับมาอีกครา’
‘ก่อนที่หมอกหนาทึบจะถูกเปิดเผย เรื่องที่ผิดปกติทั้งหมด จะเป็นลางบอกเหตุ!’
…เมื่ออ่านคำทำนายนี้แล้ว ซูอี้ถึงได้ตกตะลึง และนึกถึงผนังกั้นมิติที่ตัวเองเห็นในหุบเขามารบุปผาโลหิต
นึกถึงว่า เมื่อไม่นานมานี้ในส่วนลึกขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา มีผู้สิงสถิตที่เรียกตนเองว่า ‘ปราชญ์จี้เผิง’ แห่งลัทธิปีศาจแปลงดาราที่มาจากต่างโลก
ผนวกกับข่าวลือของขุนเขาปีศาจเพลิงเงิน หุบเขามารหมื่นแมลง หุบเขามารหลุมสวรรค์ และสถานที่อื่น ๆ ที่รู้มาจากหนิงซือฮวาก่อนหน้านี้
ซูอี้เข้าใจในทันที สิ่งที่เรียกว่า ‘พลังที่ถูกปิดผนึกไว้ข้างใต้’ อาจจะเป็นสิ่งของในวิถีปราชญ์ที่เคยสาบสูญไปในสมัยโบราณ
อย่างเช่น… ลานฌานปัญญา!
พลังของพระพุทธรูปองค์นี้ ติดตั้งค่ายกลกักหมู่มาร สะกดผนังกั้นมิติเอาไว้ และอาจจะมีหลวงจีนชุดขาวขี่มังกรท่องนภา
ในมหาทวีปคังชิงเมื่อนานมาแล้ว สิ่งของในวิถีปราชญ์อย่างลานฌานปัญญา คงจะมีอยู่ไม่น้อยเลย
“พลังที่ถูกปิดผนึกไว้ข้างใต้ จะต้องทะลวงออกมา… ประโยคนี้อาจจะมีความหมายแฝงอยู่ ผู้สืบสานและถ่ายทอดวิถีปราชญ์โบราณที่หายสาบสูญไปในอดีต อาจจะปรากฏออกมาบนโลกนี้อีกครั้ง”
“ส่วน ‘ทั้งหมดที่เคยถูกจองจำ’ ประโยคนี้ ก็เข้าใจได้ อาจจะหมายถึงผนังกั้นมิติที่ถูกสะกดไว้ ซึ่งสกัดไม่ให้ผู้ฝึกตนต่างโลกข้ามมาถึงมหาทวีปคังชิง”
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูอี้พลันขมวดคิ้วแน่น สิ่งที่เรียกว่า ‘เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่และการนองเลือดในอดีต’ หรือจะบอกว่า เมื่อพลังวิถีปราชญ์โบราณปรากฏออกมา เมื่อผนังกั้นมิติที่จองจำเอาไว้พังทลาย มหาทวีปคังชิงนี้จะก้าวเข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่?
น่าสนใจยิ่ง!
จู่ ๆ ซูอี้ก็รู้สึกคาดหวังเล็กน้อย
หากมหาทวีปคังชิงเป็นเพียงโลกที่มีพลังปราณวิญญาณเหือดแห้ง มันคงจะน่าเบื่อเกินไป
หากวันหนึ่งพลังวิถีปราชญ์โบราณปรากฏขึ้น และผู้ฝึกตนต่างโลกทยอยข้ามมาทีละคน เมื่อถึงยามนั้นมหาทวีปคังชิงจะเป็นอย่างไร?
อาจจะเป็น ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ ดั่งที่บอกไว้ในแผ่นหยกนี้ก็ได้?
“ก่อนที่หมอกหนาทึบจะถูกเปิดเผย เรื่องที่ผิดปกติทั้งหมด จะเป็นลางบอกเหตุ…”
นี่เป็นคำทำนายประโยคสุดท้าย ซูอี้พิจารณาความหมายในประโยคนี้ และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เพราะประโยคนี้ คล้ายกับสิ่งที่เขาคาดเดาไว้มาก
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้ถึงเรื่องที่น่าสนใจและผิดปกติมากมาย ทั้งเคยปิดผนึกผนังกั้นมิติในส่วนลึกขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาและหุบเขามารบุปผาโลหิตด้วยตัวเอง และเคยเดาว่า อย่างน้อยสามปี อย่างมากห้าปี พลังที่ถูกปิดผนึกไว้เหล่านั้นจะสูญสิ้นและสูญสลายไป และผู้ฝึกตนจากต่างโลกจะต้องทยอยพากันก้าวข้ามมา!
เมื่อถึงตอนนั้น สิ่งที่เรียกว่า ‘หมอกหนาทึบ’ ก็จะเผยออกมา!
ไม่นาน ซูอี้ก็รวบรวมความคิด และนำแผ่นหยกเหล่านั้นคืนให้กับหลวงจีนหงจี้ “หอสิบทิศของพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดเก็บคำทำนายที่อยู่บนแผ่นหินในส่วนลึกหุบเขาเถาวัลย์อาถรรพ์ไว้?”
หลวงจีนหงจี้เอ่ย “เกรงว่านี่คงต้องไปถามราชากลืนสมุทร เก๋อฉางหลิงแล้วล่ะขอรับ เพราะตอนนั้นมีเขาเพียงผู้เดียวที่ค้นพบแผ่นหินนั้น”
ซูอี้นึกขึ้นมาได้ ในตอนนั้นบนสันเขามารดาภูตผีแห่งเมืองกว่างหลิง เขาเคยเก็บท้อไฟหยางบริสุทธิ์มาหลายผล และต้นท้อไฟหยางบริสุทธิ์นั้นก็เป็นของเก๋อฉางหลิง
ซูอี้เอ่ย “หากมีโอกาส ข้าจะไปพบคนผู้นี้ดู”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี เก๋อฉางหลิงฝึกบำเพ็ญอย่างสันโดษอยู่บนหุบเขานภาเมฆซึ่งห่างจากมหานครหลวงอวี้จิงแปดสิบลี้”
เมื่อหลวงจีนหงจี้พูดมาถึงตรงนี้ ก็เอ่ยเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา “คุณชาย ไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไรกับ ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ ที่กำลังจะมาถึงนี้?”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่แยแส “สำหรับข้า นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก สำหรับผู้ฝึกตนในโลกนี้ ก็อาจจะเรียกว่าเรื่องร้ายจะกลายเป็นเรื่องดี แม้จะบอกว่าเป็นแสงสว่างแห่งโลกกว้าง ทว่าต้องเกิดความโกลาหลและการนองเลือดขึ้นแน่ ส่วนตอนนั้นจะเป็นอย่างไร… ยามนี้ยังมิอาจพูดได้”
หลวงจีนหงจี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความคิดเห็นของคุณชายซูตรงกับหอสิบทิศของเรา แสงสว่างแห่งโลกกว้างนี้มีสิ่งที่คาดไม่ถึงได้มากมาย และมิอาจคาดเดาพายุนองเลือดได้ ช่างน่าเสียดาย จนถึงยามนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดเดาออกว่าแสงสว่างแห่งโลกกว้างนี้ ท้ายที่สุดจะเปิดฉากเมื่อใด”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ถอนหายใจออกมา
ซูอี้เอ่ยเหมือนกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ “เพราะเช่นนี้ หอสิบทิศของพวกเจ้าจึงต้องการสร้างสัมพันธไมตรีกับข้า เพื่อรับมือกับแสงสว่างแห่งโลกกว้างที่กำลังจะมาถึง?”
หลวงจีนหงจี้อดที่จะชื่นชมไม่ได้ และเอ่ยด้วยความจริงใจออกมา “คุณชายซูช่างเดาได้แม่นยำดุจเทพเซียน! เพียงแค่ไม่ทราบว่าท่านจะยอมร่วมมือกับหอสิบทิศของพวกเราหรือไม่?”
ซูอี้เอ่ยขึ้นทันที “ลองดูได้”
พลันหลวงจีนหงจี้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มทันที พลางเอ่ยด้วยความดีใจ “ในที่สุดอาตมาก็กลับไปรายงานผลให้กับนายท่านได้แล้ว! เช่นนั้นอาตมาไม่รบกวนคุณชาย ขอตัวลา!”
ขณะเอ่ยอยู่ เขาก็เร่งรีบเดินออกไป
“ช้าก่อน”
จู่ ๆ ซูอี้ก็เอ่ยขึ้น
“คุณชายซูยังมีเรื่องอันใดอีกรึ?”
หลวงจีนหงจี้หมุนตัวกลับมา
ซูอี้คิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ข้อมูลที่เจ้านำมาให้ข้าไม่เลวเลย เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าบอกกับเจ้าได้ว่า อย่างน้อยสามปี อย่างมากห้าปี การเปลี่ยนแปลงที่พวกเจ้าเรียกว่า ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ จะเริ่มเปิดฉากในมหาทวีปคังชิงนี้”
หลวงจีนหงจี้อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ไม่นาน เขาถึงได้คำนับด้วยความเคารพ “ขอบคุณคุณชายที่ชี้แนะ!”
ซูอี้โบกมือพลางเอ่ย “รีบไปเถิด”
หลวงจีนหงจี้ไม่รอช้า พลันเร่งรีบเดินออกไป
ซูอี้ที่เอนกายอยู่ในเก้าอี้หวาย จ้องมองท้องฟ้าที่มืดดำ นึกถึงเรื่องที่รับรู้ในคืนนี้ เป็นเวลานานถึงได้ยิ้มออกมา และเอ่ยกับตัวเอง “มหาทวีปคังชิงนี้… ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ…”
…..
เช้าวันถัดมา เป็นเช้าตรู่ในวันที่สิบเอ็ดเดือนสี่
ซูอี้ทานข้าวเช้าอยู่ในตระกููลเซียว และลาจากไป
เดิมทีเซียวเทียนเชวี่ย จื่อจิ่นและคนอื่น ๆ ตั้งใจจะไปส่งด้วยรถม้า ทว่าถูกซูอี้ปฏิเสธ
เมื่อได้ออกมาโลกภายนอก เขาก็ยิ่งชอบการเดินเท้ามากกว่า
เฉกเช่นไม่กี่วันก่อน ซูอี้เพียงคนเดียว เดินทางข้ามภูเขาและแม่น้ำ เดินทางทั้งวันทั้งคืน
ระหว่างทาง ก็ครุ่นคิดเรื่องเกี่ยวกับการฝึกตน
การต่อสู้กับเทพเซียนเดินดิน หลี่ฉางหนิงวัดเสวียนเยว่แห่งต้าฉิน แม้ว่าจะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต ทว่าก็ได้ประโยชน์มาไม่น้อย ทำให้เขาจัดระเบียบและปรับแต่งธาตุวิถีใหม่
นั่นก็เป็นข้อดีของการต่อสู้
สำหรับซูอี้ การแสวงหาเส้นทางของวิถีดาบชัดเจนยิ่งกว่า การต่อสู้เป็นแค่วิธีการบรรลุเส้นทางแห่งดาบของตัวเองที่ได้ประโยชน์มากที่สุด!
เพียงแค่หลับตานั่งทำสมาธิและไม่ต่อสู้เพื่อฝึกฝน ก็เหมือนกับต้นไม้ที่ไม่มีราก มีความคิดแต่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้
นี่คือการฝึกดาบ
นักดาบคือทหารที่ดุร้าย!
หากแสวงหาเส้นทางแห่งดาบ ก็มิอาจแยกจากการต่อสู้ได้
ช่างน่าเสียดาย สำหรับซูอี้ในตอนนี้ แม้จะอยากจะต่อสู้อย่างดุเดือดเพียงใด ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
เพราะในโลกสามัญนี้ มีคนน้อยมากที่จะมาประลองกัน
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ว่าเหตุใดเขาถึงได้รอคอย ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ ที่กำลังจะมาถึงนี้
ผ่านไปสองวัน
ค่ำคืนเงียบสงัด ณ หุบเขานกกระทา
ฝนตกโปรยปราย หุบเขาเงียบสงบ บางครั้งมีเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังออกมาจากที่ไกล
ในวัดทรุดโทรมระหว่างภูเขา
ชิงหว่านนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ด้านหน้าประตูวัดทรุดโทรม ใบหน้าเล็กน่ารักเงยขึ้นเล็กน้อย ดวงตาลึกล้ำคู่งามจ้องมองความมืดมิดที่อยู่ไกล ๆ อย่างเหม่อลอย
ซูอี้นั่งอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้หวายข้างกองไฟ จิตสัมผัสของเขาพุ่งออกไปอย่างเงียบ ๆ ราวกับหนวดเรียวเล็กที่กวาดไปในสายฝนโปรยปราย และแผ่ขยายออกในความมืดมิด
ใช้จิตสัมผัสกวาดมองไปทั่ว สิ่งที่ได้เห็นและรู้สึกนั้นแตกต่างกันมาก
เสียงฝนที่ตกโปรยปราย เสียงลม เสียงใบไม้ปลิวไสว เสียงแมลงเรไร มันชัดเจนเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงของกระแสลมต่าง ๆ ที่ไหลเวียนระหว่างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
ในเวลานี้ ซูอี้กำลังจับร่องรอยของทุกสิ่งในโลก เพื่อสัมผัสกับความมีชีวิตชีวาและความพิเศษ
นี่คือข้อดีของการมีจิตสัมผัส สามารถสังเกตทิวทัศน์ที่ละเอียดอ่อนที่สุดในโลก และสามารถสัมผัสกับความลึกลับที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่สามารถรับรู้ได้
และในความรู้สึกเหล่านี้ การบำเพ็ญของซูอี้คล้ายกับกระแสน้ำไหลเวียนอย่างเงียบ ๆ ไหลผ่านไปทั่วร่าง และไหลไปสู่ระหว่างเส้นลมปราณ สุดท้ายก็รวมกันกลายเป็นกระแสน้ำเดือดพล่าน ทะยานเข้าไปในอวัยวะทั้งห้า…
เวลาผ่านไป
ชิงหว่านที่กำลังเหม่อลอยจู่ ๆ ก็มีความรู้สึกบางอย่าง พลางหันหน้าไปมองซูอี้
พลันเห็นบนร่างซูอี้มีแสงเบญจธาตุสีแดง คราม และทองแผ่กระจายออกมา สว่างไสวงดงาม เปล่งแสงแวววับเจิดจ้า จนทำให้กองไฟแปรเปลี่ยนเป็นมืดขึ้นมา
แสงเบญจธาตุทั้งสามสีค่อย ๆ ขยายออก พุ่งออกไปในความมืด และยิ่งพุ่งสูงขึ้นผ่านละอองฝน หนึ่งร้อยจั้ง สามร้อยจั้ง ห้าร้อยจั้ง…
จนสุดท้าย ชิงหว่านมองไม่ชัดว่าแสงเบญจธาตุเหล่านั้นพุ่งสูงเท่าใด
ทว่านางกลับรู้สึกได้ว่า บนร่างของซูอี้ มีลมปราณที่เคลื่อนไหวอยู่กำลังเตรียมการ กำลังสะสมพลังขั้นสุดท้าย
ผ่าง!
แสงเบญจธาตุสีดำ จู่ ๆ ก็ปล่อยออกมาจากร่างซูอี้ทันที จากนั้นก็ลอยสูงขึ้น พุ่งออกไปบนท้องฟ้า
“นี่…”
ชิงหว่านตกตะลึงและค้นพบว่าการบำเพ็ญของซูอี้ ได้บรรลุในยามนี้แล้ว! ลมปราณทั่วร่างราวกับหน่อที่ผุดขึ้นหลังจากฝนตก ทันใดนั้นก็พุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
“แค่นายท่านเอนกายนอนอยู่ตรงนั้นก็บรรลุแล้ว? นี่มันเก่งกาจเกินไปแล้ว!”
ริมฝีปากอมชมพูของชิงหว่านเผยอขึ้นเล็กน้อย พลันใบหน้าเล็กน่ารักเผยความตกใจออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้
ในตอนนี้เอง ค่ำคืนผ่านไป เช้าวันใหม่โผล่ขึ้นมา
ภายใต้แสงยามเช้า สายลมโชยฝนตกโปรยปราย ทุกสิ่งสว่างไสว แสงเบญจธาตุสีแดง คราม ทอง ดำสี่สีเติมเต็มซึ่งกันและกันอยู่ในอากาศ ประหนึ่งการฝึกเต้นรำหลากสีสันในอากาศ
ทันใดนั้นซูอี้ที่อยู่บนเก้าอี้หวายลืมตาขึ้น พลันบนใบหน้าเผยความลังเลออกมาเล็กน้อย
เมื่อคืนที่รู้สึกบางอย่าง กลับไม่นึกเลยว่าจะเป็นการรู้แจ้งเห็นจริง และบรรลุอยู่ในวัดทรุดโทรมท่ามกลางความมืดมิด ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารณ์ขั้นสี่!
คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก
ทว่าก็ยอดเยี่ยมเกินคำบรรยาย