บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 307 ปล้นและได้รับการช่วยเหลือ
ตอนที่ 307: ปล้นและได้รับการช่วยเหลือ
ตอนที่ 307: ปล้นและได้รับการช่วยเหลือ
ไต ถือเป็นธาตุน้ำ สีประจำธาตุคือสีดำ
ฝึกฝนในจุดนี้ เป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับพลังลมปราณ สร้างความมั่นคงให้กับฐานแห่งปฐมสวรรค์
อาการเหม่อลอยบนใบหน้าของซูอี้พลันหายไป นึกถึงวิถีกระจ่างที่ประสบเมื่อคืนแล้ว ถึงกับหัวเราะขึ้นมา
มีจิตสัมผัสย่อมสามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงความอัศจรรย์แห่งฟ้าดิน และอาจเข้าถึง ‘วิถีกระจ่าง’ ได้เป็นธรรมดา!
เช่นนี้ดีกว่าพยายามขยันหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างหนักเสียอีก ด้วยขอบเขตที่บรรลุรวมตัวจากวิถี ย่อมมีพื้นฐานที่เกินธรรมดา!
ทว่าน่าเสียดาย วิถีกระจ่างเช่นนี้ ไม่ได้พบเจอกันง่าย ๆ….
“ปรมาจารย์ขั้นสี่ บ่มเพาะแสงวิถีผสานวิญญาณได้สี่ประเภท เทียบกับปรมาจารย์ขั้นสามแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรากฐานมหาวิถีหรือกำลังการต่อสู้ที่มีล้วนก้าวหน้าขึ้นสูงอีกขั้นหนึ่ง”
ซูอี้สงบใจสัมผัสรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของผลการฝึกภายในตัว
“หากว่าสามารถย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ขั้นห้า และฝึก ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ อย่างแท้จริงได้ ธาตุวิถีในร่างนี้ของข้าจะต้องสามารถเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงได้เป็นแน่!”
ขอบเขตปรมาจารย์ สิ่งที่ต้องฝึกฝนคือเตาหลอมแห่งอวัยวะทั้งห้า
ปรมาจารย์ขั้นสี่เปรียบได้กับการสั่งสมครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อบรรลุถึงขั้นห้า เตาหลอมแห่งอวัยวะทั้งห้าจะเปลี่ยนแปลง คล้ายดั่งปลาน้อยข้ามประตูมังกร!
ถึงเวลานั้น… มันจึงเป็นช่วงเวลา ณ จุดยอดสุดของขอบเขตปรมาจารย์!
เมื่อมีพื้นฐาน ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ครบถ้วน ก็เท่ากับมีรากฐานการฝึกฝนที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด เมื่อฝึกฝนขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ย่อมสามารถสั่งสมลมปราณแรกกำเนิดได้!!
ลมปราณแรกกำเนิดเป็นรากฐานของการฝึกฝนบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์ ลมปราณแรกกำเนิดที่สั่งสมออกมาได้นั้นให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
ลมปราณเช่นนี้ สามารถแบ่งได้คร่าว ๆ เป็นสามขั้นคือ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูง
แต่ละขั้นจะแยกย่อยอีกเก้าระดับ
บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ทั่วไป ลมปราณแรกกำเนิดที่สั่งสมได้ในตอนแรก ส่วนใหญ่จะเป็น ‘ขั้นต้น’ เมื่อฝึกฝนจนก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ระดับของลมปราณแรกกำเนิดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง
ซึ่งเมื่อฝึกต่อไป เขาเหล่านั้นก็จะมาหยุดอยู่ที่ ‘ขั้นต้นระดับเก้า’
ทว่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่ร้ายกาจสักหน่อย อาจจะสามารถสั่งสมลมปราณแรกกำเนิดใน ‘ขั้นกลาง’ ออกมาได้
เหมือนดังราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลิน กับซื่อหลานซาน ราชาดั้นเมฆาที่ตายด้วยฝีมือของซูอี้ล้วนเป็นเช่นนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ในแบบเดียวกัน ปลายสุดของลมปราณแรกกำเนิดช่วงกลางก็คือ ‘ขั้นกลางระดับเก้า’
ส่วนบุคคลที่มีคุณสมบัติล้ำหน้าก็จะสามารถสั่งสมลมปราณแรกกำเนิด ‘ขั้นสูง’ ได้
ดังเช่นราชาสะกดขุนเขามู่ซี หนิงซือฮวา รวมถึงบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่มาจากกองกำลังใหญ่โตเหล่านั้น พวกเขามักสั่งสมลมปราณแรกกำเนิดในระดับนี้ทั้งสิ้น
ในแบบเดียวกัน ขีดสุดของลมปราณแรกกำเนิดขั้นสูงก็คือ ‘ขั้นสูงระดับเก้า’
เมื่อไม่กี่วันก่อน ในการต่อสู้ที่ค่ายทหารดั้นเมฆา สาเหตุที่โหยวซิงหลินผู้มาจากวัดเสวียนเยว่อาณาจักรต้าฉินมองซูอี้เป็นหินลับมีดก็เพราะต้องการฝึกฝนลมปราณแรกกำเนิด ‘ขั้นสูงระดับหนึ่ง’ นั่นเอง
ลมปราณแรกกำเนิดในระดับนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นพลังขั้นสุดยอดของขอบเขตนี้
ทว่าในเก้ามหาแดนดินแล้ว สำหรับขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ แท้ที่จริงมันยังมีลมปราณแรกกำเนิดในระดับที่สูงกว่า คือขั้นวิถีในตำนาน!
ลมปราณแรกกำเนิดที่ว่านี้ประกอบด้วยจังหวะวิถี ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจิตวิญญาณ และมีความล้ำลึกเป็นที่สุด
ในช่วงเวลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่สามารถฝึกฝนลมปราณแรกกำเนิดขั้นวิถีได้ ล้วนแล้วแต่หายากในรอบพันปี!
เป้าหมายของซูอี้ก็คือลมปราณแรกกำเนิดขั้นวิถี
ทว่าตอนนี้ เขายังคงห่างไกลจากเป้าหมายอยู่มาก
——
นานมาก ซูอี้จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย มองดูแสงอรุณเลือนรางนอกวัดร้าง แล้วกล่าวคำออก “ออกเดินทางกันเถิด”
พูดจบก็ก้าวเดินออกจากวัดร้าง สายฝนโอนเอนตามสายลม อากาศสะอาดสดใส ทำให้จิตใจเบิกบาน
ชิงหว่านติดตามอยู่ข้างกาย
ผีและคนก้าวเดินสู่ป่าเขาลำเนาไพรอย่างมีความสุข
——
ออกจากเทือกเขานั่นแล้ว เดินตรงไปข้างหน้าอีกสามร้อยลี้ก็เป็นนครหลวงอวี้จิงแห่งต้าโจว
นครหลวง
เดินมาถึงระยะทางช่วงนี้แล้ว ซูอี้ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคึกคักมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นหนทางระหว่างป่าเขา หรือว่าบนถนนสายใหญ่ มักจะพบเห็นผู้คนสัญจรไปมามากมาย
มีทั้งผู้ฝึกยุทธ์รับส่งสินค้า มีทั้งพ่อค้าทำการค้า มีทั้งนักหนังสือผู้เดินทางไกล และนักเดินทาง… ถึงแม้จะมีจุดประสงค์ในการเดินทางที่ต่างกัน แต่ทว่าล้วนมุ่งหน้าไปยังนครหลวงอวี้จิงด้วยกันทั้งสิ้น
สำหรับชาวบ้านโลกสามัญในแผ่นดินอาณาจักรต้าโจวแล้ว นครหลวงอวี้จิงไม่ได้เป็นแค่เพียงนครหลวงเท่านั้น มันยังเป็นสถานที่มั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดินด้วย
สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว นครหลวงอวี้จิงเป็นสถานที่ขึ้นชื่อว่าซ่อนมังกรอำพรางเสือ มีผู้แข็งแกร่งอยู่มากมาย
สำหรับซูอี้แล้ว ที่นี่ก็เป็นเพียงเมือง ๆ หนึ่งในโลกสามัญ
หากไม่ใช่เพราะภูมิกำเนิดหลังจากกลับชาติมาเกิดในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับเมืองนี้ ซูอี้ก็ไม่คิดจะเดินทางมาในครั้งนี้แม้แต่น้อย
เทียบกับนครหลวงอวี้จิงแล้ว เขาสนใจสถานที่แห่งโอกาสอย่าง ‘แปดมหาขุนเขาปีศาจ’ มากกว่า
บนหนทางภูเขาเส้นหนึ่งที่ห่างไกล
ซูอี้มองไปข้างหน้า จากนั้นเดินหน้าไปอีกหลายสิบลี้ก็ถึงแม่น้ำคลื่นใส
แม่น้ำคลื่นใสเป็นแม่น้ำใหญ่อันดับหนึ่งในเขตแดนแคว้นไป๋ มีความยาวถึงพันลี้ เป็นแม่น้ำสายกว้าง น้ำไหลเชี่ยวกราก
ข้ามแม่น้ำสายนี้ไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว เดินหน้าต่อไปอีกร้อยลี้ ก็คือนครหลวงอวี้จิงแห่งมหาอาณาจักรต้าโจวแล้ว!
“คุณชายท่านนี้ต้องการจะไปแม่น้ำคลื่นใสใช่หรือไม่?”
ฉับพลัน บนหนทางภูเขาใกล้ ๆ มีผู้ชายตัดฟืนผิวดำคล้ำคนหนึ่งเดินเข้ามาหา ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ซูอี้ชายตามองดูเขา ก่อนจะตอบ “ไม่ผิด”
“ถ้าเช่นนั้นต้องการเรือข้ามฟากหรือไม่?” ชายตัดฟืนถามอีก
ซูอี้ตอบ “เป็นเช่นนั้น”
คนตัดฟืนกล่าว “ข้ามีเรือข้ามฟากอยู่ลำหนึ่ง หากว่าคุณชายยอมมอบเงินหนึ่งพันตำลึง หรือหินวิญญาณระดับสองจำนวนสิบก้อนเป็นค่าเรือ ข้ายินดีจะพายเรือไปส่งคุณชาย”
“หนึ่งพันตำลึง?”
ซูอี้กล่าวด้วยความสงสัย “เจ้าทำเช่นนี้ต่างอะไรไปจากการปล้น?”
ชายตัดฟืนหัวเราะน่ากลัว กล่าว “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้ามาเพื่อปล้นจริง ๆ”
ซูอี้ร้องอ้อ เบนสายตามองดูรอบด้าน พลางกล่าว “สถานที่ห่างไกลเช่นนี้ เหมาะสำหรับดักปล้นจริง ๆ เสียด้วย”
ออกเดินทางจากแคว้นกุ่นจนถึงตอนนี้ ตลอดทางซูอี้พบเจอกับขโมยโง่ที่มาดักปล้นอยู่จำนวนไม่น้อย จึงไม่รู้สึกตกใจอะไรมากนัก
คนตัดฟืนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากว่าคุณชายมอบทรัพย์สมบัติติดตัวให้กับข้า ข้ารับรองว่า จะให้คุณชายมีชีวิตรอดถึงฝั่งตรงข้าม”
“หากข้าไม่ให้เล่า?” ซูอี้ยิ้มพลางถาม
คนตัดฟืนเกาหัวแกรก ๆ จากนั้นกล่าวถอนใจเบา ๆ “เช่นนี้ค่อนข้างหนักสมองอยู่บ้าง ช่วงระยะนี้ ข้าพบกับตัวตนอย่างคุณชายเช่นนี้มาบ้างเช่นกัน คิดว่าตนเองมีการฝึกตน จึงไม่เกรงกลัวสิ่งใด และมองข้าเป็นขโมยหน้าโง่ที่ไม่รู้จักความตาย ผลปรากฏว่า…”
เขาแสดงสีหน้ายิ้มแย้มซื่อตรงออกมาให้ซูอี้เห็น “พวกเขาตายหมดแล้ว บุคคลปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งกลายเป็นโครงกระดูกอยู่ในป่าแถบนี้ ส่วนข้า… ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อเป็นอย่างดี”
ซูอี้ยิ้ม ๆ พลางกล่าว “ขอเพียงเจ้าสามารถตอบข้าได้ว่าในมือของเจ้ามีเรือข้ามฟากอยู่จริงหรือไม่ ข้าสามารถมอบหินวิญญาณจำนวนหนึ่งให้เจ้าได้”
คนตัดฟืนตาลุกวาว แล้วตอบ “ข้าไม่โกหก!”
ซูอี้ถาม “อยู่ที่ใด?”
คนตัดฟืนยื่นมือข้างหนึ่งออกมา “เอาหินวิญญาณมาก่อน”
ซูอี้หยิบหินวิญญาณระดับสามออกมาก้อนหนึ่ง ขณะที่กำลังจะยื่นไปให้ เสียงร้องหนึ่งก็ดังขึ้น
“อย่าให้เขา!”
จู่ ๆ ร่างของหญิงสาวก็โผล่ออกมาจากด้านหลังของซูอี้
นี่คือสาวน้อยหน้าตาสวยใสน่ารัก ท่าทางทะมัดทะแมง ใส่ชุดสีฟ้า สองข้างเอวบางแขวนดาบข้างละเล่ม
สาวน้อยถลึงตาใส่ซูอี้ก่อน จากนั้นกล่าวเสียงใส “เจ้านี่นะ ดูท่าทางก็ฉลาดดี เหตุใดจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าคน ๆ นี้เป็นโจรดักปล้น เหตุใดยังเชื่อคำของเขาอีก?”
พูดจบ ไม่รอให้ซูอี้ได้ตอบ สายตาของสาวน้อยก็เบนไปยังคนตัดฟืน ดวงตางดงามดังน้ำแข็ง กล่าวเสียงเย็นชา “คนนี้คือสหายของข้า ไม่อยากตายก็รีบไสหัวไป!”
ดวงตาของคนตัดฟืนเป็นประกาย พินิจมองดูสาวน้อยตั้งแต่หัวจรดพื้น จากนั้นหัวเราะพลางกล่าว “แม่นางน้อย เห็นคนเดือดร้อนยื่นมือเข้าช่วยนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าได้เอาชีวิตมาทิ้ง…”
พูดถึงตรงนี้ ลูกธนูดอกหนึ่งก็ยิงพรวดเข้ามาจากระยะไกล
สวบ!
รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แหวกอากาศพุ่งแทงหัวไหล่ข้างซ้ายของผู้ชายตัดฟืน แรงกระแทกที่น่ากลัวทำให้คนตัดฟืนร่างกระเด็นออกไปอย่างแรง
“สมควรตาย!”
สีหน้าของชายตัดฟืนเปลี่ยนไป ยืนมั่นอยู่ตรงนั้นสักครู่ก็หมุนตัวหนีเข้าไปในป่าที่อยู่ไกลออกไป
สาวน้อยกำลังจะไล่ตามก็ถูกชายหนุ่มชุดขาวโผล่ออกมาขวาง
“ศิษย์น้อง อย่าได้ตามไป”
ชายหนุ่มชุดขาวท่าทางองอาจ ดูสุขุม มือถือธนูคันใหญ่ สะพายกระบอกธนู เห็นได้ชัดว่าลูกธนูดอกเมื่อสักครู่นี้เป็นฝีมือของเขา
สาวน้อยกล่าวไม่พอใจ “ศิษย์พี่ เหตุใดจึงไม่ฆ่าขโมยคนนั้นเสียเล่า?”
ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวด้วยความจนปัญญา “คน ๆ นั้นเป็นถึงปรมาจารย์ จะฆ่าตายง่าย ๆ ได้อย่างไร?”
พูดจบ เขาเก็บคันธนูใหญ่ หันไปยิ้มพลางประสานมือคารวะต่อซูอี้ “คุณชายท่านนี้ พวกเราเพิ่งพบหน้ากัน เหตุการณ์เมื่อสักครู่คงไม่ได้ทำให้คุณชายตกใจหรอกกระมัง?”
ซูอี้ส่ายหน้า
บนหนทางเมื่อก่อนหน้านี้ เขาเคยเจอชายหนุ่มชุดขาวกับสาวน้อยหน้าใสสองคนนี้ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้จักกัน มากสุดแค่เพียงเคยหน้ากันครั้งหนึ่ง
สาวน้อยมองไปที่ซูอี้เช่นกัน พลางบ่นอุบ “เจ้านี่นะ เหตุใดจึงเชื่อคำโจรได้ เจ้ารู้หรือไม่ หากว่ามอบหินวิญญาณให้เขาแล้ว เขาจะต้องคิดว่าในตัวของเจ้ายังมีทรัพย์สมบัติอย่างอื่นอีกมากมาย ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน”
ซูอี้อดขำไม่ได้ โดยไม่ต้องสงสัย สาวน้อยคนนี้จะต้องเห็นว่าตนเองเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งออกมาสัมผัสโลกอย่างแน่นอน
เขาก็คร้านจะอธิบายเช่นกัน
“เอาล่ะ ประสบการณ์เจ้ามีไม่มาก ยังพอสามารถเข้าใจได้ เอาเช่นนี้ ต่อไปเจ้าจงเดินทางไปพร้อมกับพวกเรา ระหว่างทางจะได้ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันได้”
สาวน้อยพูดพลางโบกมือ
หนุ่มน้อยชุดขาวยิ้มพลางกล่าว “คุณชายก็กำลังจะเดินทางไปนครหลวงอวี้จิงเช่นกันกระมัง พวกเราสามารถเดินทางพร้อมกันได้ ถึงแม้ข้ากับศิษย์น้องจะไม่ถือว่าเก่งกาจมากนัก แต่จัดการพวกโจรผู้ร้ายได้ไม่มีปัญหา”
ซูอี้ไม่ได้ปฏิเสธ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่และศิษย์น้องคู่นี้ก็มีนิสัยไม่เลวเลย ด้วยความเป็นจอมยุทธ์ เห็นใครเดือดร้อนก็ยังยินดีที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างตนเอง คนเช่นนี้หาได้ไม่ง่ายเลย
“ไปกันเถอะ เมื่อไปถึง ‘ท่าเรือข้ามฟากวสันต์ทะเล’ แล้ว พวกเราค่อยนั่งเรือข้ามฟากไปด้วยกัน”
สาวน้อยเดินนำหน้าไปก่อน
ชายหนุ่มชุดขาวหันมายิ้มให้ซูอี้ แล้วกล่าว “คุณชาย เชิญ”
จากนั้น ทั้งสามคนก็เดินทางด้วยกัน
เพียงแต่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ไม่รู้ว่าเมื่อคนตัดฟืนที่ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูเมื่อก่อนหน้านี้หนีเข้าไปในป่าลึกร้อยจั้งแล้ว สุดท้ายเขาก็ตายอย่างไร้สาเหตุ
ร้อยจั้ง เป็นขอบเขตที่จิตสัมผัสของซูอี้ไปถึง!
กล้าปล้นคนอย่างซูอี้ จะปล่อยให้รอดชีวิตได้เช่นใด?
“คุณชายมาจากที่ใดหรือ ชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด เดินทางไปนครหลวงในครั้งนี้มีจุดประสงค์อันใด?”
ระหว่างทาง สาวน้อยถามเสียงใส
นางทะมัดทะแมงปราดเปรียว นิสัยก็ตรงไปตรงมา สวยน่ารักและกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วมาก
เช่นนี้ทำให้ซูอี้อดนึกถึงเหวินหลิงเสวี่ยขึ้นมาไม่ได้ สายตาที่มองดูสาวน้อยจึงอ่อนโยนลงไปไม่น้อย ก่อนจะกล่าว “ข้าไปนครหลวงอวี้จิง เพื่อไปจัดการเรื่อง ๆ หนึ่ง ส่วนชื่อของข้า… ขอไม่เอ่ยจะดีกว่า”