บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 308 การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู
ตอนที่ 308: การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู
ตอนที่ 308: การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู
กระทั่งชื่อก็ไม่คิดบอก?
สาวน้อยน่ารักอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะกล่าว “หรือว่าคุณชายจะเป็นลูกหลานของตระกูลชั้นสูง มีชาติกำเนิดเหนือธรรมดา จึงเกรงว่าหากเอ่ยชื่อออกมาแล้วจะถูกพวกเราเกาะจับเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้กล่าว “ข้ากังวลว่าจะทำให้พวกเจ้าพลอยเดือดร้อน”
“เดือดร้อน?”
สาวน้อยน่ารักตะลึงไปชั่วครู่ จึงกล่าว “คงไม่ใช่เพราะเจ้าไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้กระมัง? ลองเล่ามาให้ฟังหน่อย บางทีพวกเราอาจมีวิธีช่วยเจ้าได้”
ซูอี้ยิ้ม ๆ พลางกล่าว “ไม่ถึงกับไปก่อเรื่องอะไรไว้ ข้าสามารถแก้ไขเองได้”
เห็นว่าสาวน้อยหน้าใสยังต้องการจะถามอีก ชายหนุ่มชุดขาวจึงกล่าวยับยั้ง “ศิษย์น้อง คุณชายท่านนี้ไม่อยากจะบอก เจ้าอย่าได้ถามอีกเลย”
นิ่งเงียบไปสักครู่ เขาก็กล่าวต่อซูอี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากว่าคุณชายต้องการความช่วยเหลือ ขอเพียงพวกเราสามารถช่วยได้ ไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงด้วยความมั่นใจในตัวเอง
ซูอี้เป็นบุคคลระดับใดมีหรือจะมองไม่ออกว่า ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี บนตัวของพวกเขามีคุณธรรมที่หาได้ยาก
หากเขาสันนิษฐานไม่ผิด จนถึงตอนนี้ทั้งสองคงยังไม่เคยเจอปัญหาอุปสรรคใหญ่โตมาก่อน จึงได้มีคุณธรรมแห่งจอมยุทธ์หลงเหลือภายในจิตใจ
เช่นนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกชื่นชมนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป เมื่อได้ประสบเจอกับเรื่องราวมากมายแล้ว ยังจะสามารถรักษาคุณธรรมความดีเช่นนี้ได้อีกหรือไม่
ระหว่างทาง ถึงแม้ซูอี้จะไม่เคยถาม แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ เขาก็สามารถรู้ได้ว่าชายหนุ่มชุดขาวมีนามว่าฟู่ชิงเหยี่ยน
สาวน้อยหน้าใสมีนามว่ากูไฉ่หนิง
ทั้งสองมาจากตำหนักซิงหยาซึ่งตั้งอยู่ในเขตแดนแคว้นหงแห่งอาณาจักรต้าโจว
——
แม่น้ำชิงหลาง ท่าเรือข้ามฟากวสันต์ทะเล
เมื่อทั้งสามคนมาถึง ก็เห็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล น้ำไหลเชี่ยวกราก สาดกระทบชายฝั่ง คลื่นซัดสีขาวประดุจหิมะ ช่างน่าตื่นตาตื่นใจนัก
ท่าเรือข้ามฟากวสันต์ทะเลมีเรือสำราญลำหนึ่งจอดอยู่ มีความยาวถึงสามสิบจั้ง มีเสากระโดงมากมาย และสำเภาใบใหญ่
“พี่ชิงเหยี่ยน แม่นางไฉ่หนิง พวกเจ้ามาถึงสักที!”
บนเรือสำราญ ชายหนุ่มชุดดำร่างสูงใหญ่งามสง่ายิ้มพลางกวักมือเรียก “รีบขึ้นมาคุยกันบนเรือ ผ่านไปอีกหนึ่งเวลาถ้วยชาเรือก็จะออกแล้ว”
ชายหนุ่มชุดขาวฟู่ชิงเหยี่ยนยิ้มพลางประสานมือคารวะ จากนั้นขึ้นเรือสำราญลำนี้พร้อมกับซูอี้และกูไฉ่หนิง
“พี่ชิงเหยี่ยน ท่านนี้คือ?”
ชายหนุ่มชุดดำเบนสายตามองไปที่ซูอี้ ยิ้มพลางถาม
ฟู่ชิงเหยี่ยนยิ้มพลางตอบ “สหายที่รู้จักกันระหว่างทาง เขาจะมุ่งหน้าไปยังนครหลวงอวี้จิงเหมือนกับพวกเรา ดังนั้นจึงเดินทางมาด้วยกัน”
พูดจบ เขาก็แนะนำให้ซูอี้รู้จัก “ท่านนี้คือเหยียนเหวินฝู่ ศิษย์สืบทอดคนสำคัญของตำหนักคงต้ง บุคคลรุ่นใหม่ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่ว อายุเพียงแค่สิบเก้าปีเท่านั้นก็ย่างก้าวสู่ขอบเขตแห่งปรมาจารย์แล้ว ตำหนักคงต้งจึงให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก”
ชายหนุ่มชุดดำยิ้มอย่างมีมารยาท พลางกล่าว “พี่ชิงเหยี่ยนชมเกินไปแล้ว พวกเจ้าตามข้ามา บนเรือสำราญลำนี้ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เดินทางไปร่วมงาน ‘การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู’ เหมือนกับพวกเรา ประเดี๋ยวข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จัก”
พูดจบก็เดินนำทาง ขึ้นไปยังส่วนบนสุดของเรือ
เรือสำราญลำนี้มีด้วยกันทั้งหมดสามชั้น ชั้นบนสุดสร้างเป็นเวทีหยกกับตำหนักที่มีปลายหลังคาแหลมสูง มองดูไกล ๆ ก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของแม่น้ำชิงหลางได้
ในตำหนักแห่งหนึ่งเวลานี้ มีหญิงชายวัยหนุ่มสาวนั่งรออยู่แล้วสิบกว่าคน กำลังพูดคุยดื่มสุรากันอย่างคึกคัก
เมื่อเหยียนเหวินฝู่พาทั้งสามคนไปถึง สร้างความสนใจดึงดูดสายตาหลายคู่ให้มองมา
คนที่นั่งตำแหน่งประธานเป็นชายหนุ่มสวมเกล้าขนนก ใส่ชุดคลุมยาวสีเหลืองหยก ดวงตาเฉียบแหลมเป็นประกาย ยิ้มพลางเชิญพวกเขาให้นั่งลง
ทว่า ที่นั่งในตำหนักมีไม่พอ เหลือแต่เพียงที่นั่งที่ใกล้กับประตูตำหนัก เป็นที่นั่งค่อนข้างห่างไกล
ด้วยเหตุนี้ เหยียนเหวินฝู่จึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก กล่าวขึ้นมาเบา ๆ “พี่ชิงเหยี่ยน พวกเรามาถึงช้า นั่งตรงนี้ไปก่อน”
ฟู่ชิงเหยี่ยนยิ้มพลางพยักหน้า
ซูอี้ไม่ติดใจเอาความอยู่แล้ว เดิมทีเขาก็เพียงแค่บังเอิญพบกับพวกเขาเท่านั้น ทำตัวตามสบายก็ได้แล้ว
ดังนั้นคนทั้งหมดจึงนั่งลง
“คุณชาย ผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานมีนามว่าเวินอวี้ชง เป็นคนรุ่นใหม่อันดับหนึ่งของตำหนักหลูหยาง มีชื่อเสียงโด่งดังมาก อายุเพิ่งยี่สิบกว่า ๆ เท่านั้นก็มีผลการฝึกตนเป็นปรมาจารย์ขั้นสามแล้ว ว่ากันว่าฝ่าบาททรงรับปากว่าขอเพียงเวินอวี้ชงติดสามอันดับแรกใน ‘การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู’ ได้จะแต่งตั้งให้เขาเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่!”
กูไฉ่หนิงบอกเบา ๆ น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความนับถือ
คนที่นางพูดถึงก็คือชายหนุ่มผู้สวมเกล้าขนนก ดวงตาเฉียบแหลมคนนั้น และเขาก็เป็นผู้จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นเช่นกัน
ชายหนุ่มหญิงสาวที่นั่งกับที่เหล่านั้นต่างก็แสดงสีหน้าเคารพยำเกรงต่อเวินอวี้ชงขณะที่พูดคุยกับเขา
ซูอี้ส่งเสียงรับอืม จากนั้นยกกาสุราขึ้นรินและดื่ม สายตาบังเอิญมองไปนอกตำหนักก็เห็นว่าบนแม่น้ำที่กว้างใหญ่ ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายกับภาพวาดที่ใช้น้ำหมึกสีดำสาด งดงามยิ่งนัก
“ใช่แล้ว การสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูคืออะไร?”
ซูอี้ดื่มสุราไปจอกหนึ่งพลางถาม
กูไฉ่หนิงนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ สายตาดูประหลาด “ข้าชักเริ่มสงสัยแล้วว่า เจ้าเป็นคนสมัยเดียวกับพวกเราหรือไม่ กระทั่งข่าวคราวการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูก็ยังไม่สนใจ…”
พูดจบ นางยังคงอธิบายที่มาที่ไปของการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูให้ฟังด้วยความใจเย็น
ที่แท้แล้ว ทุกวันที่หนึ่งเดือนแปดของทุก ๆ สามปี ต้าโจวจะจัดให้มีการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูขึ้น เพื่อคัดเลือกบุคคลสุดยอดในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่
ในครั้งนี้ ศิษย์ของสิบตำหนัก รวมถึงคนเก่งรุ่นใหม่ในอาณาเขตหกแคว้นใหม่ต่างก็เข้าร่วมในงานการสอบนี้
หากว่าติดห้าอันดับแรกในการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูได้ จะได้รับพระราชทานรางวัลและแต่งตั้งตำแหน่งในราชสำนักต้าโจว
ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ติดสิบอันดับแรกยังมีโอกาสเข้ารับใช้ภายในราชสำนักอีกด้วย
ส่วนตำแหน่งจอหงวน ป๋างเหยี่ยน กับทั่นฮวา ซึ่งติดสามอันดับแรก รุ่งเรืองอย่างที่สุดโดยมิต้องสงสัย
ไม่เพียงแต่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิและรับแต่งตั้งตำแหน่งเท่านั้น ยังสามารถเข้าฝึกตนที่สำนักดาบมังกรเร้นได้อีกด้วย!
ดังเช่นหญิงชายหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ในตำหนักใหญ่แห่งนี้ แต่ละคนมาจากสถานที่ต่าง ๆ ของต้าโจว ต่างก็เป็นผู้มีความสามารถชั้นแนวหน้าในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เดินทางไปนครหลวงอวี้จิงก็เพื่อเข้าร่วมการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูในครั้งนี้ทั้งสิ้น
เมื่อทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูอี้ก็กล่าวขึ้นด้วยความสงสัย “ตอนนี้เพิ่งวันที่สิบห้าเดือนสี่เท่านั้น ยังห่างไกลจากเดือนแปด เหตุใดจึงต้องเดินทางไปตั้งแต่ตอนนี้ด้วย?”
กูไฉ่หนิงได้ยิน สุดท้ายจึงมั่นใจได้ว่าผู้ชายที่ดูหน้าตาดีไม่ธรรมดาคนนี้ ที่แท้แล้วไม่ได้รู้กฎระเบียบการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูเลยจริง ๆ
คิดสักครู่ นางจึงตอบ “ต้องการจะเข้าร่วมการสอบยุทธ์ภาควสันตฤดู ยังต้องผ่านการทดสอบและคัดเลือกอีกหลายครั้ง สุดท้ายคนที่สามารถเข้าร่วมการสอบยุทธ์ได้จะมีเพียงแค่สามร้อยคนเท่านั้น การทดสอบเช่นนี้จะเริ่มมีขึ้นในกลางเดือนหน้า และดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่หนึ่งเดือนแปด”
ซูอี้จึงเข้าใจ
และในขณะนี้เอง มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากที่นั่งด้านหนึ่ง “น่าสนใจ กระทั่งการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดูก็ยังไม่รู้จัก กลับอยู่ในตำหนักแห่งนี้ได้ หรือว่าสหายท่านนี้มาเพื่อหลอกดื่มกิน?”
คนที่พูดคือชายหนุ่มร่างผอมสูงใส่ชุดคลุมยาวสีน้ำทะเล เวลานี้กำลังถือจอกสุราหมุนไปมาเล่นในมือ แสดงสีหน้าหยอกกระเซ้า
เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินคำสนทนาระหว่างซูอี้กับกูไฉ่หนิงเมื่อสักครู่
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจ ทว่ากูไฉ่หนิงกลับขมวดคิ้วกล่าว “เว่ยเสียน พวกเราคุยกันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เจ้าควรจะให้ความเคารพกันบ้าง”
ชายหนุ่มชุดสีน้ำทะเลที่ถูกเรียกว่าเว่ยเสียนคนนั้นเบะปากพลางกล่าว “ข้าไหนเลยไม่ให้ความเคารพ ข้าเพียงแค่คาดไม่ถึงว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ข่าวสารก็เท่านั้น มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดบ้างที่ไม่รู้เรื่องการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู?”
พูดจบ เขาก็ส่ายหน้า ทำท่าขี้เกียจจะสนใจอีก
กูไฉ่หนิงรู้สึกไม่พอใจ ทว่าไม่อาจโต้แย้งได้
เป็นผู้ฝึกยุทธ์ งานใหญ่อันดับหนึ่งเช่นนี้กลับไม่รู้ ดูแปลกกว่าพวกจริง ๆ
ซูอี้ยิ้ม ๆ พลางยกจอกสุราขึ้นกล่าวกับกูไฉ่หนิง “ข้ายืมดอกไม้ถวายพระ ดื่มเคารพแม่นางหนึ่งจอก ขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือระหว่างการเดินทาง”
กูไฉ่หนิงยิ้มหน้าบาน ยกจอกสุราขึ้นดื่ม
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เหยียนเหวินฝู่ชายหนุ่มชุดดำกดเสียงเบาถาม “พี่ชิงเหยี่ยน หนุ่มน้อยที่เดินทางมาพร้อมกับพวกเจ้า ที่แท้เป็นใครกัน เหตุใดจึงไม่รู้จักแม้กระทั่งการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู?”
ฟู่ชิงเหยี่ยนยิ้มฝืดขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นลดเสียงเบาตอบ “พี่เหยียน อย่าได้ใส่ใจ อืม… ถือเสียว่าคุณชายท่านนั้นเป็นเพียงแค่คนผ่านทางก็พอ”
เขาไม่อาจอธิบายอะไรได้มากนัก
“คนผ่านทาง…”
เหยียนเหวินฝู่ยิ้ม ๆ และไม่สนใจในตัวซูอี้อีก
ไม่นานนัก เรือสำราญลำนี้ก็เคลื่อนตัว แล่นทวนแม่น้ำชิงหลางอันกว้างใหญ่ไพศาล ไปนครหลวงอวี้จิงครั้งนี้ยังมีระยะทางอีกประมาณหกสิบกว่าลี้
ทว่าเนื่องด้วยน้ำในแม่น้ำชิงหลางไหลแรงเชี่ยวกราก อีกทั้งยังแล่นทวนน้ำ นั่งเรือสำราญต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยามจึงจะถึงฝั่ง
ในตำหนัก จู่ ๆ เว่ยเสียนผู้ที่สวมชุดคลุมยาวสีน้ำทะเลคนนั้นก็กระแอมขึ้นมาแล้วกล่าว “ทุกท่านเคยได้ยินเรื่องการต่อสู้ที่ซูอี้ฟันเทพเซียนเดินดินเมื่อหลายวันก่อนหรือไม่?”
เรื่องนี้ดึงดูดใจของทุกคนในตำหนักในฉับพลัน
กระทั่งเวินอวี้ชงผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานก็หัวเราะพลางเอ่ยขึ้นเช่นกัน “การต่อสู้ครั้งนั้นสั่นสะเทือนไปถึงใต้หล้า รู้กันไปทั่ว ใครบ้างไม่เคยได้ยิน?”
มีคนรำพึง “พูดถึงซูอี้ขึ้นมา เป็นคนที่น่ากลัวจนคาดไม่ถึงเลยคนหนึ่งจริง ๆ ว่ากันว่า… ปีนี้เขาอายุแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น…”
ทุกคนต่างรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
พูดถึงซูอี้ แม้กระทั่งกูไฉ่หนิง ฟู่ชิงเหยี่ยน กับเหยียนเหวินฝู่ล้วนแสดงสีหน้าเปลี่ยนไป
มีแต่เพียงซูอี้เท่านั้นที่นั่งสงบนิ่งเหมือนเดิม
มีคนทนไม่ไหวถามขึ้นมา “พี่เว่ยเสียนมาจากแคว้นกุ่น หรือว่าจะเคยเห็นซูอี้?”
เว่ยเสียนผู้ที่ก่อนหน้านี้ยังเคยพูดเหน็บแนมว่าซูอี้ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ข่าวสาร เวลานี้กลับจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและนั่งตัวตรง กล่าว “บอกทุกท่านตามตรง เว่ยผู้นี้โชคดีเคยเห็นความงามสง่าของคุณชายซูท่านนั้น”
สายตาแฝงไว้ซึ่งความชื่นชมนับถือ
คำกล่าวนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในตำหนัก
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าลองเล่าให้พวกเราฟังหน่อย”
เวินอวี้ชงที่นั่งตำแหน่งประธานกล่าวด้วยความสนใจอยากรู้
กูไฉ่หนิงอดไม่ได้เงี่ยหูคอยฟัง
กระทั่งซูอี้ก็ยังตะลึง เมื่อก่อน คน ๆ นี้เคยเห็นตัวเองเช่นนั้นหรือ?
เห็นสายตาของคนทั้งหลายต่างก็จับจ้องมาที่ตนเอง เว่ยเสียนรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นมาในทันใด
“ยังคงจำได้ว่า ตอนนั้นเป็นงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมแห่งแคว้นกุ่น ข้าไปกับบิดายืนอยู่ใต้เชิงเขา เคยเห็นซูอี้กับองค์ชายหกขึ้นสู่ยอดเขาพร้อมกัน…”
เขาเล่าถึงเหตุการณ์การต่อสู้ในงานเลี้ยงน้ำชาพลางใส่อารมณ์เต็มที่จนน้ำลายกระเด็นไปทั่ว คนอื่น ๆ ฟังแล้วหัวใจแทบเต้นตาม ส่งเสียงร้องตกใจติดต่อกัน
มีแต่ซูอี้เพียงคนเดียวที่มีสีหน้าประหลาด
หากว่าคน ๆ นี้อยู่ใต้เชิงเขาประจิมด้วย ไหนเลยจะสามารถมองเห็นการต่อสู้ในงานเลี้ยงน้ำชาได้?
อย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าหมอนี่กำลังพูดโม้โอ้อวด
“เฮ้อ น่าเสียดายที่ตอนนั้นอยู่ห่างไกลเกินไป ข้าจึงมองเห็นเพียงแค่คร่าว ๆ เท่านั้น ไม่อาจเข้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตนเอง ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
พูดถึงท้ายสุด เว่ยเสียนก็ทอดถอนใจยาว ๆ
สุดท้ายกูไฉ่หนิงทนไม่ไหว กล่าว “เว่ยเสียน ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่าซูอี้คนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร น่ากลัวอย่างที่เล่าขานกันหรือไม่?”
“ไร้สาระ เหตุใดพวกผู้หญิงอย่างพวกเจ้าถึงมักจะสนใจแต่รูปภายนอกของผู้ชาย?”
เว่ยเสียนชายตามองดูกูไฉ่หนิง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังเปี่ยมคุณธรรม “ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน สิ่งที่ควรจะให้ความสนใจ ควรจะเป็นเรื่องที่ว่าซูอี้ทำอย่างไรจึงกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้ไม่ใช่หรือ?”
กูไฉ่หนิงถูกต่อว่าจนรู้สึกกระดากอาย ในใจมีแต่ความละอาย