บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 309 วาจากลับกลอกเอาแน่ไม่ได้
ตอนที่ 309: วาจากลับกลอกเอาแน่ไม่ได้
ตอนที่ 309: วาจากลับกลอกเอาแน่ไม่ได้
เว่ยเสียนพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ราวกับว่าเพียงแค่ได้มองซูอี้สู้รบอยู่ไกล ๆ ก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว ควรค่าแก่ความภาคภูมิใจ
จากหัวข้อพูดของเว่ยเสียน ทุกคนในที่นั้นต่างก็เริ่มพากันพูดถึงเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซูอี้ขึ้นมา
อย่างเช่นการต่อสู้ที่จวนเจ้าแคว้นกุ่น การต่อสู้ที่จุดพักม้าหลงเฉียว การต่อสู้ที่อารามอวิ๋นเทา เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงการต่อสู้ระหว่างซูอี้กับเทพเซียนเดินดินหลี่ฉางหนิงที่ค่ายทหารดั้นเมฆา บรรยากาศในการพูดคุยไปถึงขีดสุด
เสียงร้องตกใจ ตื่นตระหนก หวาดเสียว ดังขึ้นไม่ขาด
สุดท้าย เว่ยเสียนนับนิ้วแล้วกล่าวสรุป “ในช่วงเวลาตั้งแต่งานเลี้ยงน้ำชาเขาประจิมจนถึงตอนนี้ ราชาต่างสกุลที่ตายด้วยฝีมือของซูอี้มีด้วยกันสามท่าน ได้แก่ ราชาคิ้วขาว ราชาปราการเพลิง ราชาดั้นเมฆา”
“จวิ้นอ๋องนอกสกุลที่ตายก็มีด้วยกันสามท่านเช่นกัน ได้แก่ จวิ้นอ๋องไฮว่หยาง จวิ้นอ๋องอวี้ซาน จวิ้นอ๋องเทียนหย่ง”
“นอกจากนี้ ยังมีผู้อาวุโสสำนักดาบมังกรเร้นหลี่ตงหลิว หลีชาง เลี่ยวอวิ้นหลิว มีเจ้าตำหนักจี้เซี่ยกับจ้าวตำหนักสุ่ยเยว่อีกสองท่าน…”
เขาประกาศรายชื่อบุคคลผู้ยิ่งใหญ่คนแล้วคนเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำท่าราวกับกำลังนับเพชรพลอยอัญมณี
ทว่าไม่รอให้เขาได้พูดจบก็ถูกตัดบทเสียก่อน “พอแล้ว!”
เวินอวี้ชงซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งประธานเอ่ยพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ตามที่ข้ารู้มา อีกไม่นานเท่าไรซูอี้คนนี้ก็คงจะต้องเจอเคราะห์ใหญ่ ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงผลงานการสู้รบในอดีตของเขาอีก”
ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบเห็นด้วย
ในช่วงเวลานี้ ทั่วทุกหัวระแหงในแผ่นดินอาณาจักรต้าโจวล้วนลือกันว่า เมื่อซูอี้มาถึงนครหลวงอวี้จิงแล้ว จะต้องเจอกับภัยพิบัติร้ายแรง
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลซู หรือว่าราชวงศ์โจว หรือแม้กระทั่งสำนักดาบมังกรเร้น ก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปเป็นแน่!
“พี่เวินกล่าวมาไม่ผิด”
เว่ยเสียนผู้ที่ก่อนหน้านี้ชื่นชมซูอี้ไม่หยุด เวลานี้กลับเปลี่ยนท่าที แล้วกล่าว “และจากที่ข้าดู การจัดการกับซูอี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราเช่นกัน”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เว่ยเสียนเผชิญกับสายตาแห่งความสงสัยของคนทั้งหลายแล้วเขากล่าวอย่างมีหลักการ “ทุกท่านลองคิดดู ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาฆ่าบุคคลยิ่งใหญ่ในอาณาจักรต้าโจวไปมากมายเท่าใด ทำลายความสงบ สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่แผ่นดิน ขืนปล่อยให้เขาก่อกวนต่อไปอีก จะไม่สร้างความเสียหายที่มากขึ้นหรอกหรือ?”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น กล่าวใส่อารมณ์ “ตามความเห็นของข้า กล่าวได้ว่าซูอี้คนนี้เป็นตัวสร้างความเดือดร้อน ไม่ทำงานให้อาณาจักรต้าโจว กลับยังกระทำการอุกอาจติดต่อกันหลายครั้ง สร้างเหตุการณ์สะเทือนขวัญเรื่องแล้วเรื่องเล่า การกระทำของเขาไม่แตกต่างอะไรไปจากปีศาจอสูร ใคร ๆ ล้วนฆ่าเขาได้!”
พูดอย่างมีเหตุมีผล ทำให้คนจำนวนไม่น้อยในตำหนักฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิม ต่างพากันปรบมือเห็นดีเห็นงาม
มีแต่กูไฉ่หนิงคนเดียวที่ขมวดคิ้วแน่น ผู้ชายคนนี้เกิดปีสุนัขหรืออย่างไร เปลี่ยนท่าทีเร็วเกินไปแล้ว!
“ใคร ๆ ล้วนฆ่าได้? หึ อาศัยเจ้า เว่ยเสียน เช่นนั้นหรือ?” ฟู่ชิงเหยี่ยนหัวเราะเย็นชาออกมา
สีหน้าของเว่ยเสียนแข็งทื่อไป กล่าวด้วยความไม่พอใจ “ฟู่ชิงเหยี่ยน ที่ข้าพูดนี้กำลังแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำที่โหดร้ายรุนแรงของซูอี้ แน่นอน ข้าสู้เขาไม่ได้ แต่ข้าไม่สามารถมองว่าเขาเป็นคนเลวที่ทำลายแผ่นดินได้เช่นนั้นหรือ?”
ฟู่ชิงเหยี่ยนกล่าวเสียงเคร่งขรึม “ซูอี้กับคู่ต่อสู้เหล่านั้นมีบุญคุณความแค้นต่อกัน พวกเราไม่ได้รู้เรื่องด้วย เจ้ามีสิทธิ์อย่างไรจึงบอกว่าซูอี้เป็นตัวสร้างความเดือดร้อน?”
ท่าทีของเว่ยเสียนเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป ทำให้คนอื่นดูแคลน กระทั่งฟู่ชิงเหยี่ยนก็ยังทนดูต่อไปไม่ได้
“ข้า…”
เว่ยเสียนกำลังจะพูดอะไรอีก เวินอวี้ชงก็ยกมือห้ามพลางพูดตัดบท “เอาล่ะ อย่าได้ทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้อีกเลย ซูอี้กับพวกเราไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน เกรงว่าชั่วชีวิตนี้หรือทั้งชาตินี้ก็คงไม่มีเรื่องอันใดที่ต้องข้องเกี่ยวต่อกัน ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องของเขา”
กูไฉ่หนิงสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง กล่าว “แต่ความเห็นของข้า ผู้แข็งแกร่งต้องการความเคารพ หากมองดูการต่อสู้ในอดีตของคุณชายซู แต่ละครั้งล้วนเป็นฝ่ายศัตรูที่ไปหาเขาถึงที่ เขาไม่เคยทำร้ายใครก่อน สำหรับผู้ที่สามารถฆ่าเทพเซียนเดินดินได้ในดาบเดียวเช่นนี้ ไม่ควรที่จะได้รับความเคารพยกย่องจากพวกเราหรอกหรือ?”
คนทั้งหลายต่างพากันนิ่งเงียบด้วยความตะลึง
คำกล่าวนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจโต้แย้งได้
ซูอี้คอยมองดูอยู่ห่าง ๆ มาโดยตลอด เห็นเช่นนี้แล้วอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ดื่มสุราไปจอกหนึ่งแล้วครุ่นคิด สิ่งที่ซูเสวียนจวินกระทำมาตลอดทั้งชีวิต เคยสนใจต่อคำตัดสินของคนอื่น ๆ เมื่อใดกัน?
ทว่าเขายอมรับในความคิดและคุณธรรมที่กูไฉ่หนิงกับฟู่ชิงเหยี่ยนแสดงออกมา
“แม่นางไฉ่หนิง ซูอี้สมควรจะได้รับความเคารพยกย่องหรือไม่ ในใจของแต่ละคนล้วนมีมาตรฐาน ไม่อาจบังคับจิตใจคนอื่นได้”
เวินอวี้ชงโบกมือด้วยความใจกว้าง “เรื่องนี้ขอให้หยุดเพียงเท่านี้ พวกเราดื่มสุรากันต่อ”
“เรื่องนี้ ไม่อาจหยุดเพียงเท่านี้ได้!”
ทันใด เสียงทุ้มหนักราวกับเสียงฟ้าผ่าลงมากลางแม่น้ำชิงหลางก็ดังขึ้น สร้างความสั่นสะเทือนจนแก้วหูเจ็บระบม มีดาวสีทองผุดขึ้นตรงหน้า
จานชามจอกสุราที่วางบนโต๊ะตรงหน้าต่างพากันส่งเสียงดังเพล้งพล้าง เรือสำราญทั้งลำโยกคลอนตามแรงสั่นสะเทือน
คนทั้งหลายมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก ใครกัน!?
แทบจะขณะเดียวกัน ซูอี้เบนสายตามองไปยังนอกตำหนัก เห็นว่าบนแม่น้ำชิงหลางที่กว้างใหญ่ กระแสน้ำปั่นป่วน เกิดเป็นคลื่นสีขาวสะอาดสูงหลายสิบจั้ง
มีเงาเลือนรางสีดำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ใต้แม่น้ำ ราวกับเงากลับหัวของเทือกเขาขนาดใหญ่มหึมา
ชั่วขณะที่ซูอี้เบนสายตามองไป…
ครืน!
จู่ ๆ ผิวน้ำก็พุ่งสูงขึ้น น้ำแตกกระเซ็น ร่างสัตว์อสูรขนาดใหญ่ใต้แม่น้ำชิงหลางโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำอย่างช้า ๆ
ลักษณะของสัตว์อสูรตนนี้คล้ายกับเต่าขนาดใหญ่เท่าภูเขา กระดองสีดำขลับหนาและหนักประดุจก้อนหินใหญ่ ผิวลายเต็มตัว แขนขาใหญ่ราวกับเสาหิน
เมื่อโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำแล้ว ส่วนหัวของมันมีขนาดเท่ากับบ้าน ลูกนัยน์ตาใสราวกับน้ำ ส่องประกายลึกลับเย็นวาบของอสรู
ครืน!
กระแสน้ำปั่นป่วน กลิ่นอายบนตัวสัตว์อสูรตนนี้แผ่กระจายไปถึงชั้นเมฆ ทำให้เมฆเปลี่ยนสี และทำให้เรือสำราญขนาดใหญ่ลำนั้นโอนเอนอย่างแรงจนแทบล่ม
“สวรรค์ นี่คือตัวประหลาดอันใด!?”
“หรือว่าจะเป็นใต้เท้าเทพน้ำที่ลือกันว่าซ่อนตัวอยู่ใต้แม่น้ำชิงหลางแห่งนี้?”
“อย่าตื่นตกใจ! อย่าตื่นตกใจ!”
เสียงหวีดร้องด้วยความตื่นตระหนกบนเรือดังไม่หยุด ทุกคนล้วนขวัญหนีดีฝ่อ
คนหนุ่มทั้งหลายในตำหนักพากันวิ่งออกมาโดยมีเวินอวี้ชงเป็นผู้นำ เมื่อมองเห็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่มหึมาในแม่น้ำแล้ว แต่ละคนต่างก็สูดปาก สีหน้าเปลี่ยนไป
สัตว์อสูรตนนี้คงจะเกินกว่าระดับที่เก้าแล้ว อาจจะถึงขั้นเบิกปัญญาแล้ว!
เบิกปัญญาคือการที่สัตว์อสูรมีสติปัญญา
เบิกปัญญาโดยทั่วไปเทียบเท่าได้กับบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์
ที่แข็งแกร่งมากสักหน่อย อาจถึงขั้นกล้าท้าทายเทพเซียนเดินดิน!
“นี่… นี่เป็นไปได้อย่างไร…”
ใบหน้างามของกูไฉ่หนิงขาวซีด ตื่นตระหนกในกลิ่นอายน่ากลัวที่สัตว์อสูรตนนั้นปล่อยออกมา
“ไม่ต้องกลัว มันไม่ได้มีประสงค์ร้าย”
ซูอี้ยืนอยู่อีกด้าน โพล่งออกมา
เขามองออกได้ในทันทีว่านี่คือเต่าธรรมดาที่ไม่ถึงกับหาได้ยากมากนัก มีสติปัญญาคล้ายกับวิถีแห่งการฝึกตน
“เช่นนั้นหรือ…”
กูไฉ่หนิงนิ่งอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อเอาเสียเลย
“ใต้เท้าเทพน้ำอย่าได้โกรธเคือง พวกข้าจะจัดเตรียมสุราอย่างดีให้ท่าน!”
เวลานี้เอง หัวหน้าเรือสำราญวิ่งออกมา โค้งคำนับต่อเต่าที่โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำอยู่ไกล ๆ ด้วยความหวาดกลัว
“วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อดื่มสุรา เพียงแต่มาขอความยุติธรรม!”
ไกลออกไป เสียงเต่าทุ้มหนักราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางผิวน้ำ
ลูกนัยน์ตาสวยใสคู่นั้นของมันจ้องมองเวินอวี้ชง กล่าวเสียงเย็นชา “ก่อนหน้านี้ ข้าอยู่ใต้ท้องเรือสำราญมาตลอดทาง ต้องการฟังว่าผู้ฝึกตนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้ามีความเข้าใจอันใดในการฝึกตน ไม่นึกเลยว่า สิ่งที่ข้าได้ยินกลับเป็นเสียงสนทนาพูดคุยของคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังอย่างแรง”
เวินอวี้ชงกับคนอื่น ๆ สีหน้าเปลี่ยนอย่างพร้อมเพรียงกัน ตัวหนาววาบ คำสนทนาที่พวกเขาพูดคุยกันตลอดทางกลับถูกดักฟังโดย ‘ใต้เท้าเทพน้ำ’ ผู้น่ากลัวเช่นนั้นหรือ?
จากนั้นเต่าเฒ่าก็กล่าวต่อ “หากว่าเพียงเท่านี้ ด้วยฐานะของข้า ไม่อยากจะถือสาเอาความกับคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าหรอก แต่พวกเจ้ากลับบังอาจถึงขั้นดูถูกและทำลายชื่อเสียงของใต้เท้าซูอี้ สมควรตาย!!”
พูดถึงสุดท้าย เสียงประดุจฟ้าผ่า เผยถึงความโกรธเกรี้ยว
เวินอวี้ชงกับคนอื่น ๆ ต่างก็สีหน้าเปลี่ยน ถึงตอนนี้จึงเข้าใจ ที่แท้ก็เป็นเพราะถกกันถึงเรื่องของซูอี้ ทำให้ ‘ใต้เท้าเทพน้ำ’ บังเกิดความโกรธ!
โดยเฉพาะเว่ยเสียน เขาตกใจจนสองขาสั่นสะท้าน ขาแทบอ่อนพับ สีหน้าขาวซีดด้วยความหวาดกลัว
ซูอี้กลับนิ่งตะลึง
เจ้าเต่าน้อยตนนี้ มาเพื่อขอความยุติธรรมให้เขา?
ชักน่าสนใจเสียแล้ว!
“ใต้เท้าเทพน้ำ พวกข้าปากไม่มีหูรูด หากว่าล่วงละเมิดอันใด ได้โปรดให้อภัยด้วย!”
เวินอวี้ชงสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่งเพื่อตั้งสติ
“เดิมทีข้าไม่ใช่คนที่ฆ่าคนไม่เว้น ไม่เช่นนั้น คงเขมือบเรือสำราญลำนี้ไปตั้งนานแล้ว“
เต่าเฒ่าเอ่ยพูดน้ำเสียงเย็นกระด้าง “แต่ว่า ดังคำกล่าวที่ว่าเคราะห์ร้ายมาจากปาก บางคนกล่าววาจากลับกลอกเอาแน่ไม่ได้ จะต้องได้รับการลงโทษ!”
ฉับพลัน คนทั้งหมดก็โล่งใจไป ต่างก็เบนสายตามองไปที่เว่ยเสียนอย่างพร้อมเพรียงกัน ต่างก็แสดงสีหน้าเวทนาสงสารออกมา
ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะคน ๆ นี้ชื่นชมไม่ขาดว่าซูอี้ร้ายกาจมากมายเพียงใด และก็เป็นเพราะเขาอีกที่ด่าว่าโจมตีซูอี้โดยไม่หวั่นเกรง จึงกล่าวได้ว่าเอาแน่ไม่ได้
กูไฉ่หนิงแอบสาแก่ใจเงียบ ๆ สวรรค์มีความยุติธรรม ไม่มีบิดเบือน คนที่พลิกหน้าเร็วอย่างกับพลิกหน้าหนังสือเช่นนี้ต้องเจอกรรมตามสนองเสียบ้าง!
ชั่วขณะนี้ เว่ยเสียนตกใจจนจิตใจเตลิดเปิดเปิงแทบจะหลุดจากตัว ร่วงไปกองกับพื้น ส่งเสียงร้องสั่นสะท้าน “ใต้เท้าเทพน้ำโปรดให้อภัย ใต้เท้าเทพน้ำโปรดให้อภัย วันข้างหน้าผู้น้อยไม่กล้าอีกแล้ว!”
เห็นเขาตกใจจนอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว คนจำนวนไม่น้อยแอบส่ายหน้าด้วยความดูแคลน
และก็มีบางคนทำใจไม่ได้ เวินอวี้ชงจึงเอ่ยคำ “ใต้เท้าเทพน้ำ พวกข้าต่างก็มาจากตำหนักที่ต่างกันไปในใต้หล้า พอจะเห็นแก่หน้าของอาจารย์ผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังของพวกข้า ให้อภัยเว่ยเสียนสักครั้งได้หรือไม่?”
“ฮึ!”
ประกายเย็นวาบผุดขึ้นในสายตาของเต่าเฒ่า “หากว่าเจ้ากล้ารับโทษแทนเขา ข้าจะไว้ชีวิตเขาสักครั้ง เป็นอย่างไร?”
เวินอวี้ชงสีหน้าเปลี่ยน เกิดความลังเลขึ้นมา
“จอมปลอม!” เต่าเฒ่าดูถูก
หน้าของเวินอวี้ชงกระด้าง ทั้งอึกอักทั้งขายหน้า ไม่กล้าโต้แย้ง
เต่าเฒ่าเบนสายตามองไปที่เว่ยเสียน แล้วกล่าวคำออก “เว่ยเสียน ข้าไม่รังแกเจ้า เพียงแต่เจ้ากระโดดลงแม่น้ำชิงหลางในตอนนี้ สามารถอยู่ในน้ำได้นานสามลมหายใจ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
เว่ยเสียนส่ายหน้าติด ๆ กันหลายที กล่าวขอร้องด้วยความหวาดกลัว “ใต้เท้าเทพน้ำ อย่าว่าแต่สามลมหายใจเลย เพียงแค่พริบตาเดียว ข้าก็ไม่สามารถทนไหว ท่านได้โปรดเมตตา ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าสัญญาว่าวันข้างหน้าไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว”
“ดูท่าแล้ว เจ้าต้องการให้ข้าลงมือใช่หรือไม่? มานี่!”
เต่าเฒ่าร้องตะคอก อ้าปากดูด
ครืน!
พลังดูดกลืนอันน่ากลัวถาโถมเข้ามาราวกับลมมรสุม ครอบคลุมตัวเว่ยเสียนอยู่ตรงกลาง
เห็นว่าเว่ยเสียนใกล้จะถูกม้วนตัวไป เวลานี้เอง…
เสียงดังชิ้ง ๆ ราวกับเสียงโลหะปะทะกันก็ดังขึ้นจากฟากฟ้าที่ห่างไกลออกไป
“สัตว์เดรัจฉาน บังอาจนัก กล้าทำร้ายคนกลางวันแสก ๆ หาที่ตายชัด ๆ!”