บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 31 ตำนานภูตผีในสำนักแพทย์
ตอนที่ 31 ตำนานภูตผีในสำนักแพทย์
เวลาล่วงพ้นผ่านรวดเร็ว
ผู้คนที่รอพบแพทย์บางตาลง
ซูอี้นวดขมับ ระหว่างเหลือบมองไปรอบ ๆ เขาเห็นเด็กรับใช้ถือกาน้ำชา กำลังชงชาสมุนไพรให้เขา
“ท่านบุตรเขย ดื่มชาร้อนให้ชุ่มคอเสียหน่อยเถิด”
ขณะนี้ข้ารับใช้ทั้งให้เกียรติและนอบน้อม
หูเฉวียนและคนอื่น ๆ มองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
บัดนี้ ข้ารับใช้เก่าแก่แห่งสำนักแพทย์ซิ่งหวงต่างประทับใจในตัวซูอี้ …ตกตะลึงในความสามารถเกินบรรยาย
“มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงที่จะสามารถซื้อใจผู้คนได้”
ไม่ห่างออกไป หวงเฉียนจวินเห็นการเปลี่ยนแปลง เขาเองก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน
กระจ่างแก่ใจว่าเหตุใดบิดาตนถึงให้เขาหาโอกาสติดตามใกล้ชิดซูอี้
เดิมทีเหล่าข้ารับใช้ของสำนักแพทย์ซิ่งหวงทั้งเย่อหยิ่งและไร้มารยาท
บัดนี้กลับล้วนค้อมศีรษะให้ด้วยความชื่นชมเต็มใจ!
ทั้งหมดนี้ ซูอี้มิได้ใช้กำลังกำราบแม้แต่น้อย
แต่เขาใช้ทักษะทางการแพทย์ชวนทึ่งทำให้ผู้คนยอมศิโรราบ!
ซูอี้จิบชาก่อนกล่าว “นับจากวันนี้ไป ข้าจะอยู่ประจำที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงแห่งนี้”
หูเฉวียนโพล่งขึ้น “ท่านบุตรเขย มีบ้านรกร้างด้านหลังสำนักแพทย์ ข้าจะส่งคนไปทำความสะอาดและนำสิ่งของจำเป็นมาเพิ่มเติมให้ ท่านต้องการเด็กรับใช้คอยทำหน้าที่ซักผ้า ชงชา และทำอาหารด้วยหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ทำความสะอาดบ้านก็เพียงพอแล้ว”
หูเฉวียนพยักหน้ารับคำสั่งเป็นอย่างดี
เดิมทีเขาเป็นพ่อบ้านของสำนักแพทย์ซิ่งหวง รับผิดชอบจัดการเรื่องเล็กเรื่องน้อย เวลานี้เมื่อนึกภักดีกับซูอี้ เขาจึงยินดีรับใช้เถ้าแก่คนใหม่อย่างซูอี้
“ต่อไปทุกอย่างในสำนักแพทย์ซิ่งหวงให้เจ้าจัดการ ทุกคนทำหน้าที่ของตน ข้าจะดูแลเรื่องการเงินและการลงบัญชีเท่านั้น”
ซูอี้ออกคำสั่งด้วยไม่ต้องการเสียเวลาและพลังงานไปกับการรักษาผู้คน
หลังครุ่นคิดอีกครู่หนึ่ง เขากล่าวเสริมเพิ่มเติม “แต่หากพบโรคร้ายไร้ทางรักษา หมดสิ้นหนทาง เจ้าสามารถมาหาข้าได้”
จังหวะเดียวกับที่บุรุษร่างกำยำราวเหล็กกล้าก้าวเข้ามาในโถงรักษา
หูเฉวียนกับคนอื่น ๆ จำได้ชายผู้นี้ได้มาที่นี่ก่อนหน้า เมื่อทราบว่าหมออู๋กว่างปินไม่อยู่ จึงสบถและเดินทางกลับไป
บัดนี้เขาหวนกลับมาอีกครั้ง
“คือ… คุณชายซู ก่อนหน้านี้ข้ากล่าววาจาล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด”
บุรุษร่างโตท่าทีกระอักกระอ่วน ประสานมือคารวะขณะเอ่ยขอโทษซูอี้
“เจ้ายังไม่แต่งงานใช่หรือไม่?”
ซูอี้ทอดสายตาประหลาดใจ
เขารีบพยักหน้ารับ “ถูกต้องแล้ว”
ซูอี้หยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมาเขียนสองคำ ยื่นให้อีกฝ่าย “เจ้าไม่ได้ป่วย เพียงทำตามสองคำนี้ เจ้าจะหายดีภายในสามเดือน”
เขารับกระดาษมาอ่าน อดสงสัยขึ้นไม่ได้ “จี้… คำหลังคืออะไรกัน?”
หูเฉวียนกับคนอื่นสนใจใคร่รู้ พวกเขาชะโงกหน้ามาดู ก่อนระเบิดหัวเราะออกมา
“น้องชาย คำนี้อ่านว่า ‘น่ง’ หมายถึงมือซ้ายขวาขึ้นลงพร้อมกัน รวมกันทำให้ตั้งขึ้น เจ้าคงเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไรใช่หรือไม่?” หูเฉวียนอมยิ้มพลางชี้บอก
ชายร่างใหญ่นิ่งค้าง พลันเข้าใจทันที สีหน้าหม่นหมองกลับกลายแดงซ่าน รู้สึกอับอายเสียจนก้มหน้างุด
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ตอนนี้เองที่หวงเฉียนจวินเข้าใจและหลุดขำ “ร่างใหญ่โตกำยำเพียงนี้ เขากลับนิยมใช้มือเดียว!”
หูเฉวียนและคนอื่นต่างยิ้มขำ
บุรุษด้วยกัน ย่อมเข้าใจดี
บรรยากาศภายในสำนักแพทย์ซิ่งหวงเป็นกันเองขึ้นมากในทันใด ชวนให้รู้สึกครึกครื้น
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนไข้แล้ว ซูอี้จึงลุกขึ้นและบอก “พาข้าไปที่พักที”
หูเฉวียนรีบเรียกเด็กรับใช้สองคนมานำทางให้ซูอี้ เดินผ่านประตูหลังสำนักแพทย์ซิ่งหวง ไม่นานก็มาถึงที่พักเงียบสงบด้านหลัง
…
ขณะเดียวกัน ไม่ห่างไปจากสำนักแพทย์ซิ่งหวง ภายในร้านน้ำชา
“ผู้อาวุโสอู๋ ดูใบสั่งยานี้สิ ทั้งตัวยาและวิธีการใช้เลิศล้ำนัก!”
ชายวัยกลางคนเอ่ยชม
นามของเขาคือถานเฟิง หนึ่งในแพทย์ประจำสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ข้างกายเขามีสองคนนั่งอยู่ ผู้หนึ่งคือชายชราผมหงอกขาว อีกคนคือชายท่าทางสุขุมหน้าตาเคร่งเครียด
คนแรกคืออู๋กว่างปิน แพทย์อาวุโสผู้เลื่องชื่อแห่งเมืองกว่างหลิง
คนหลังชื่อเว่ยทง ทำงานที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงเช่นเดียวกับถานเฟิง
เมื่อทราบข่าวว่าบุตรเขยซูอี้จะมาเป็นเถ้าแก่คนใหม่ของสำนักแพทย์ซิ่งหวง หมอทั้งสามคนต่างหาข้ออ้างแอบออกมาดื่มชาด้วยกัน รอดูความอัปยศของซูอี้
แต่ท้ายที่สุดโดยไม่คาดคิด ภาพที่พวกเขาหวังจะได้เห็นกลับไม่บังเกิดขึ้นเลย
กลับกันคนไข้ที่ต่อแถวรอด้านนอกสำนักแพทย์ต่างได้เข้าวินิจฉัยโรคและรักษาทีละคน!
ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดใจให้อู๋กว่างปินและคนที่เหลือ และอดไม่ได้จะเรียกคนไข้บางคนมาที่ร้านน้ำชาเพื่อถามไถ่ถึงขั้นตอนการรักษา
คำตอบที่ได้ชวนให้ตกตะลึง
ซูอี้ผู้เป็นบุตรเขยไร้ที่ยืนแห่งตระกูลเหวิน แท้จริงกลับเชี่ยวชาญการแพทย์!
“ผู้อาวุโสอู๋ วิธีการที่ซูอี้รักษาอาการ ‘แมลงกึกก้อง’ เปิดหูเปิดตาข้ามากทีเดียว”
เว่ยทงถอนหายใจ
คนไข้ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่เขาเอ่ยปากพูดมักเกิดเสียงก้องในช่องท้อง ราวกับมีสัตว์ประหลาดอยู่ในร่างของเขา
ซูอี้บอกว่าคนไข้บังเอิญกิน ‘แมลงกึกก้อง’ ก่อนจะจดตำหรับยาให้เขา และสั่งให้คนไข้อ่านชื่อสมุนไพรทีละอัน
ทุกครั้งที่คนไข้เอ่ยชื่อสมุนไพร จะมีเสียงกังวาลดังซ้ำในช่องท้อง
เสียงนั้นหยุดลงเมื่อเขาอ่านชื่อ ‘หญ้าสมุนไพรอัสนี’
ซูอี้สั่งให้ข้ารับใช้ไปเด็ดหญ้าสมุนไพรอัสนีมาให้คนไข้ได้กิน ยาระงับโรคร้ายได้ผลชะงัด คนไข้อาเจียนออกมาเป็นหนอนแมลงขนาดเท่านิ้วก้อย
ถานเฟิงที่อยู่ข้างเขาถอนหายใจอย่างทึ่งใจ “ยังมีวิธีการฝังเข็มเพื่อรักษาโรคอีก เกินคาดคิดเหลือเกิน ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อน”
อู๋กว่างปินยังคงนิ่งเงียบมาตลอด เขากลับลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังสำนักแพทย์ซิ่งหวง
“ผู้อาวุโส ท่านจะทำอะไร?” ถานเฟิงและเว่ยทงรีบลุกขึ้น
“แน่นอนว่าต้องไปขอโทษท่านบุตรเขย!” อู๋กว่างปินไม่แม้หันกลับมอง
ถานเฟิงและเว่ยทงมองหน้ากัน ต่างรีบไล่ตามไป
…
ณ ที่พักด้านหลังสำนักแพทย์ซิ่งหวง
บ้านหลังคากระเบื้องสีเทาสามหลังตั้งอยู่สลับฟันปลา กำแพงไม้เลื้อยอยู่ด้านข้าง ต้นแคฝรั่งพุ่มหนายืนต้นตระหง่านกลางลานบ้าน ถัดไปมีบ่อน้ำซึ่งถูกโซ่ขึ้นสนิมปิดเอาไว้
ด้วยร้างคนอยู่อาศัยมานาน ทั้งฝุ่น วัชพืช และใยแมงมุมจึงปรากฏอยู่ทั่วทุกที่
เวลานี้เกือบเที่ยง แสงแดดร้อนระอุ
หูเฉวียนพาข้ารับใช้สองคนมาทำความสะอาดและนำข้าวของเครื่องใช้มาให้
ซูอี้ยืนใต้ร่มไม้แคฝรั่ง กวาดสายตาไปทั่วบ้านก่อนมุ่ยหน้า
“ท่านบุตรเขย บ้านหลังนี้ทิ้งร้างมาหลายปี แต่เมื่อทำความสะอาดแล้วจะสะดวกสบายและน่าอยู่มากขอรับ” หูเฉวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้ถามเสียงเรียบ “ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องร้ายขึ้นที่นี่ใช่หรือไม่?”
หูเฉวียนชะงัก หน้าเหยเกพลางใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนกล่าว “จะว่าไปแล้ว ข้าจำได้เรื่องหนึ่ง”
“ราวเก้าปีก่อน มีแพทย์คนหนึ่งกับหมอยาอีกสองคนของสำนักแพทย์พักที่นี่ขอรับ แต่แล้วคืนหนึ่ง อยู่ ๆ พวกเขาทั้งหมดก็เสียชีวิต”
หูเฉวียนชี้ไปทางบ่อน้ำซึ่งมีโซ่ปิดกั้นเอาไว้ “แพทย์จมน้ำตายที่บ่อน้ำนี้ ตอนที่นำศพเขาขึ้นมา เนื้อหนังของเขากลับหลุดล่อนออกจากร่างอย่างรวดเร็ว ส่วนหมอยาอีกสองคน ผิวหนังของพวกเขาเหี่ยวย่นหดตัวไปทั้งหมด และทั้งสองร่างพาดติดอยู่บนกิ่งไม้ต้นแคฝรั่งนี้ราวกับมีใครนำขึ้นไปแขวน”
สิ้นคำ เขาก็ชี้ไปทางกิ่งไม้เหนือศีรษะ
ดวงตาซูอี้ฉายแวววูบไหว เขาถาม “ผิวหนังหดตัวเหี่ยวย่นหรือ? เช่นนั้นอวัยวะภายในกับกล้ามเนื้อหายไปด้วยใช่หรือไม่?”
หูเฉวียนเอ่ยด้วยความตกตะลึง “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
ซูอี้ยังไม่ตอบกลับแต่ถามกลับอีกครา “หลังจากนั้นบ้านหลังนี้จึงถูกทิ้งร้างอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับ ทุกคนต่างกล่าวขานว่าสถานที่แห่งนี้เป็นบ้านผีสิง เอ่อ… ท่านบุตรเขย ข้าไม่ได้ตั้งใจให้ท่านอยู่ที่นี่ขอรับ เพียงแต่มันเป็นสถานที่เดียวในสำนักแพทย์ซิ่งหวงที่สามารถพำนักได้” หูเฉวียนรีบแก้ต่าง ท่าทีร้อนรนเล็กน้อย
ซูอี้ยิ้มรับและกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าว่าที่นี่ก็น่าอยู่ไม่น้อย”
หวงเฉียนจวินเอ่ยขึ้นแทรกอย่างกระตือรือร้น “พี่ซู หากท่านอยู่ลำพังในบ้านใหญ่โตเช่นนี้คงไม่พ้นเงียบเหงา เหตุใดไม่ให้ข้าหาเด็กสาวมาปรนนิบัติท่านสักคนเล่า? รับประกันว่ารูปร่างหน้าตาเป็นที่พึงใจของท่านแน่!”
ซูอี้ยิ้มบาง “ในใจเจ้าเห็นข้าเป็นคนมักมากในกามหรือ?”
“พี่ซู อย่าเข้าใจข้าผิด ข้ามิกล้า”
หวงเฉียนจวินเหงื่อผุดหน้าผาก โพล่งแก้ต่าง เพิ่งได้รู้ตัวว่าตนเผลอล่วงเกินและมีท่าทีสอพลอเกินงาม
ซูอี้ครุ่นคิดก่อนสั่ง “ช่วยข้าเรื่องหนึ่ง ไปซื้อไก่จากตลาดมาให้ข้ายิ่งตัวที่มีแรงมากยิ่งดี และช่วยเตรียมกิ่งต้นหลิวให้ข้าที ยาวประมาณเกือบจั้ง รวมถึงไม้ต้นลูกท้ออายุสิบปีด้วย”
จะนำสิ่งนี้ไปทำอะไรกัน?
แม้หวงเฉียนจวินจะนึกฉงน แต่เขาก็ยังปลาบปลื้มใจที่ได้รับความวางใจจากซูอี้มอบหมายงานให้ เขารีบออกไปลงมือทันที
“พี่ซู รอประเดี๋ยว ข้าจะรีบกลับมา!”
เสียงตะโกนยังดังก้อง แม้ร่างเจ้าของเสียงลับตาไปแล้ว
หูเฉวียนอดแอบถอนหายใจไม่ได้ เจ้าอันธพาลหวงเฉียนจวินกลับนอบน้อมค้อมศีรษะให้ท่านบุตรเขย ช่างหาดูยากแท้!
“ท่านบุตรเขย ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ?” หูเฉวียนแคลงใจเช่นกัน
ไก่ ไม้ดอกท้อ กิ่งหลิว… ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่นักพรตเต๋าพเนจรใช้ขับไล่ภูตผีร้าย หรือท่านบุตรเขยจะสัมผัสได้ถึงภูตผีในบ้านแห่งนี้กัน?
เมื่อคิดเช่นนี้ หูเฉวียนก็ใจสั่นระรัว
ภูตผี!
มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้คนทั่วไปในเมืองกว่างหลิง มีข่าวลือมากมายว่ามีวิญญาณร้ายสิงสถิตที่สันเขามารดาภูตผีนอกเมือง!
“แค่เตรียมเผื่อเอาไว้เท่านั้น” ซูอี้ไม่อธิบายมากนัก
เวลานี้ร่างทั้งสามเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาบริเวณที่พัก
ชายชราผมขาวเดินนำมา โค้งทักทายซูอี้ทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่าย “ข้าน้อยอู๋กว่างปิน รู้สึกละอายแก่ใจนักจึงมาที่นี่เพื่อขอโทษท่าน!”
ถานเฟิงและเว่ยทงเห็นเช่นนั้นจึงรีบค้อมศีรษะขอโทษตาม
ซูอี้เหลือบมองพวกเขา พลันเข้าใจทันทีก่อนเอ่ย “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด เรื่องนี้ถือว่ายุติไป ภายภาคหน้าสำนักแพทย์ซิ่งหวงต้องพึ่งพาพวกเจ้าดูแล เงยหน้าขึ้นเถิด ข้าเองก็ไม่ได้คิดออกหน้ารักษาทุกวันแย่งงานพวกเจ้าหรอก”
อู๋กว่างปินและคนที่เหลือถอนหายใจอย่างโล่งอก
หูเฉวียนนึกยินดีเหลือเกิน เขาเอ่ย “ข้าขอบอกท่านทั้งสาม แม้ท่านบุตรเขยยังอายุน้อย แต่ฝีมือทางการแพทย์เหนือชั้น พวกท่านคงยังไม่ได้ประจักษ์งั้นข้าจะบอกเล่าให้ฟัง”
เขาเปิดปากโอ้อวดบอกเล่าการรักษาของซูอี้ไม่สิ้นสุด ท่าทางตื่นตาตื่นใจ
อย่างไรเสีย อู๋กว่างปินและอีกสองคนก็ไม่ได้เรียกคนไข้ที่ซูอี้รักษาทุกคนมาสอบถาม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด บัดนี้จึงอดสนใจฟังอย่างเพลิดเพลินไม่ได้
ท้ายที่สุดเมื่อหูเฉวียนกล่าวจบ แพทย์ทั้งสามจึงหันไปมองหน้าซูอี้ ดวงตาส่องประกายชื่นชมยิ่งนัก