บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 313 ยืนนิ่ง ๆ
ตอนที่ 313: ยืนนิ่ง ๆ
ตอนที่ 313: ยืนนิ่ง ๆ
ริมแม่น้ำ ต้นหลิวเอนไหว
ยามเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์แผดเผาลอยขึ้นสูง
ใกล้ท่าเรือหลงจิ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป ลำเรือแน่นขนัดเหมือนป่า ติดกันดุจทอผ้า นักเดินทางต่างกระโดดขึ้นท่าดุจฝูงปลา ดูมีชีวิตชีวายิ่ง
ไม่นานหลังจากที่ซูอี้มาถึงฝั่ง นกกระจอกก็โฉบลงมาจากฟากฟ้าว่องไวดุจแสง กรงเล็บคู่หนึ่งนำจดหมายลับและถุงผ้ามาให้
ภายใต้การจ้องมองอย่างตกใจของฟู่ชิงเหยี่ยนและกูไฉ่หนิง ซูอี้หยิบจดหมายลับออกมาเปิด เผยให้เห็นตัวอักษรภายในนั้น
‘หลังจากที่คุณชายมาถึงนครหลวงอวี้จิงแล้ว ท่านสามารถไปที่จัตุรัสรุ่ยอันทางทิศตะวันตก ณ ตรอกเถาฝู อาศัยในลานที่สามเป็นการชั่วคราวได้ ชื่อของลานนี้คือ ‘ลานซงเฟิง’ เป็นสถานที่ลับที่ก่อตั้งโดยหอสิบทิศของข้า ซึ่งไม่ได้ใช้งานมาหลายปีแล้ว’
‘นครหลวงอวี้จิงเป็นเมืองหลวงของจักรพรรดิ ในเมืองมีหอคอยดาราอยู่หนึ่งร้อยแปดแห่ง โดยแต่ละแห่งมีองครักษ์เงามังกรจากวังหลวงประจำอยู่ พวกเขาจะคอยจับตาการเคลื่อนไหวในเมือง ป้องกันภัยพิบัติ ยามคุณชายลงมือ โปรดระวังสายตาขององครักษ์เงามังกรด้วย’
‘ในนครหลวงอวี้จิง เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้นกส่งสารติดต่อกัน หากคุณชายเกิดเรื่องอะไร ท่านสามารถทำลาย ‘ยันต์สะพานทองคำ’ ที่อยู่ในถุงผ้าได้ แล้วหอสิบทิศของข้าจะส่งคนไปพบคุณชาย’
‘สุดท้ายนี้ ข้าหวังว่าคุณชายจะเดินทางไปถึงนครหลวงอวี้จิงโดยราบรื่น’
‘จาก หลวงจีนหงจี้ ด้วยความเคารพ’
หลังอ่านจบ ซูอี้ก็ทำลายจดหมายแล้วเปิดถุงผ้าดู ก่อนพบว่าด้านในมีป้ายหยกยันต์สีทองอยู่สิบอัน
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ยันต์สะพานทองคำ’
หลังจากคิดดูแล้ว ซูอี้ก็หยิบยันต์สะพานสีทองสองอันออกมา แล้วส่งให้ฟู่ชิงเหยี่ยน “ถ้าพวกเจ้าสองคนเข้าไปในเมืองและถูกลากไปเกี่ยวข้องกับตัวข้าแซ่ซู เจ้าสามารถบดขยี้ยันต์นี้และขอความช่วยเหลือได้”
เขายัดของใส่มือฟู่ชิงเหยี่ยนโดยไม่พูดอะไรเพิ่มอีก
“ขอบพระคุณคุณชาย!”
ฟู่ชิงเหยี่ยนกับกูไฉ่หนิงมองกันและกัน ในใจรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก
พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าในเวลานี้ ตัวตนเช่นซูอี้จะยังนึกถึงความปลอดภัยของเขากับศิษย์น้องหญิงอยู่
ซูอี้ยิ้มและคิดกับตัวเองว่าหากหอสิบทิศรู้ว่าเขามอบยันต์สะพานสีทองสองไปเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร…
ซูอี้ค่อนข้างแน่ใจว่าหากพวกฟู่ชิงเหยี่ยนทั้งสองขอความช่วยเหลือจริง ๆ หอสิบทิศจะไม่ช่วยแน่นอน
“เช่นนั้นก็ถึงเวลาเอ่ยลาแล้ว”
ซูอี้กล่าวแล้วหมุนตัวจากไป
เขาก็มักเป็นเช่นนี้ ไม่ชอบยืดเยื้อเวลาเอ่ยอำลา
เมื่อเห็นร่างสูงของซูอี้หายลับไป ฟู่ชิงเหยี่ยนกับกูไฉ่หนิงต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าพวกเขาได้ผ่อนคลายความกดดันในหัวใจลง
เห็นได้ชัดว่า ก่อนหน้าที่ข้ามแม่น้ำมากับซูอี้ พวกเขาทั้งสองรู้สึกไม่สบายใจ คอยระมัดระวัง และวิตกกังวล
ทว่าเมื่อพวกเขาแยกจากซูอี้จริง ๆ ถึงพวกเขาจะผ่อนคลาย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกโหวงในใจอย่างอธิบายไม่ถูก
บุคคลที่เปรียบเสมือนเทพเซียนเช่นนี้ ไม่อาจเข้าใกล้ได้!
“ศิษย์พี่ ข้าไม่คิดเลยว่าตัวตนเช่นคุณชายซูอี้จะยังคำนึงถึงว่าพวกเราอาจถูกลากไปข้องเกี่ยวด้วยหรือไม่ ช่างน่าตกใจจริง ๆ”
กูไฉ่หนิงกล่าวเสียงสดใส
ดวงตาอันงดงามของเด็กสาวเปล่งประกายและเต็มไปด้วยความสุข
“สมแล้ว! บางทีคงมีเพียงผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถบรรลุความสำเร็จที่ไม่อาจหยั่งรู้บนเส้นทางฝึกตนได้”
ฟู่ชิงเหยี่ยนเองก็รำพึงไม่หยุด
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองเก็บยันต์สะพานทองคำลงอย่างระมัดระวัง และมุ่งหน้าไปยังท่าเรือหลงจิ่นที่อยู่ไกลออกไป
ระหว่างทางพลันมีเสียงดังมาจากแม่น้ำไกล ๆ
“ชิงเหยี่ยน ไฉ่หนิง เจ้าเด็กน้อยสองคนช่างวิ่งเร็วนัก พวกเขามาถึงท่าเรือหลงจิ่นก่อนพวกเราเสียอีก”
ไกลออกไป เห็นเรือลำหนึ่งแล่นเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนที่ยืนอยู่บนเรือ
ผู้ที่นำมาคือชายผมเทาสวมชุดแขนกว้าง ท่าทางร่าเริง ยืนอย่างมั่นคงและสงบ
ชายผู้นี้คือผูอี้ รองเจ้าตำหนักซิงหยา!
“อาจารย์!”
ฟู่ชิงเหยี่ยนกับกูไฉ่หนิงโบกมือพร้อมกับแสดงสีหน้าตื่นเต้น
หลังจากประสบกับเรื่องราวก่อนหน้านี้ เมื่อได้เห็นผูอี้ในยามนี้ คล้ายกับว่าทั้งคู่จะได้พบผู้หนุนหลังที่วางใจได้จึงรู้สึกยินดีในใจ
ไม่ช้าเรือก็เทียบท่า ผูอี้นำทุกคนลงมา
“ไปกัน ดูจากเวลาแล้วพวกเราน่าจะไปถึงนครหลวงอวี้จิงกันช่วงเย็น” ผูอี้ยิ้ม
ครั้งนี้ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่แห่งตำหนักซิงหยา เขาเป็นฝ่ายเสนอตัวนำกลุ่มศิษย์มายังนครหลวงอวี้จิงเอง
“อาจารย์ลุง ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องรายงานท่าน ข้า… ขอพูดกับท่านตามลำพังได้หรือไม่ขอรับ?”
ฟู่ชิงเหยี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสียงต่ำ
ผูอี้อึ้งไปก่อนพยักหน้า “มากับข้า”
เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็พาฟู่ชิงเหยี่ยนไปยังป่าหลิวที่อยู่ห่างออกไป และพูดอย่างอบอุ่นว่า “เกิดอะไรขึ้น? หรือว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทาง?”
ฟู่ชิงเหยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องหญิงกับข้า… อาจก่อปัญหาเข้าแล้ว…”
เขาก้มศีรษะลงโดยไม่กล้าสบตาผูอี้
ผูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัวไป เจ้าพูดความจริงมาเถิด”
ฟู่ชิงเหยี่ยนไม่กล้าปิดบัง ดังนั้นเขาจึงบอกเล่าว่าก่อนหน้านี้เขากับซูอี้พบกันได้อย่างไร และพวกเขาข้ามแม่น้ำมาทางเรือด้วยกันอย่างไร
เมื่อพูดถึงตอนที่ฐานะของซูอี้ถูกเปิดเผย ฟู่ชิงเหยี่ยนก็รู้สึกผิด โดยไม่ทันสังเกตว่าผู้อาวุโสใหญ่ที่เขาเคารพพึ่งพานั้น ดวงตาฉายแววประหลาด
จนกระทั่งพูดถึงการต่อสู้ระหว่างซูอี้กับฉือเฟิงหลิวที่แม่น้ำ ผูอี้ก็อดสุดลมหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้ และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เมื่อครู่… คุณชายซู ซูอี้ ทรงพลังจนฉือเฟิงหลิวนั่นต้องหลบหนีไปอย่างน่าอับอายหรือ?
ผูอี้ใจสั่น
ในสายตาของฟู่ชิงเหยี่ยน ท่าทางของผูอี้ทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกผิดมากขึ้น จึงเร่งพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายว่า “ท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้คาดคิดว่าชายหนุ่มที่ข้าพบระหว่างทางจะเป็นซูอี้ ตัวตนที่น่ากลัวเหนือจินตนาการ หากข้ารู้ก่อนหน้านี้…”
ผูอี้อดหัวเราะขัดไม่ได้ “เด็กโง่เอ๋ย นี่มันใช่ก่อเรื่องที่ไหนกัน นี่มันเห็นชัด ๆ ว่าได้พบกับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่!”
“อ๋า?”
ฟู่ชิงเหยี่ยนพลันสับสน เขานึกว่าผู้อาวุโสจะต่อว่าเขา
ไม่คิดว่าไม่เพียงแต่จะไม่โดนด่าเท่านั้น ยังโดนชมด้วย!
“เจ้ายังเยาว์เกินไป”
ผูอี้กล่าวอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ “ในสายตาของผู้ฝึกตนที่แท้จริง การที่เจ้าสามารถทำความรู้จักกับคุณชายซูได้นั้นเป็นวาสนาที่สั่งสมมาสามชาติ ต่อให้บำเพ็ญแปดชาติก็ไม่อาจพานพบ!”
“นี่…”
ฟู่ชิงเหยี่ยนสับสนยิ่งกว่าเดิม ไม่อาจเข้าใจได้ว่า …ผู้อาวุโสไม่กลัวว่าจะถูกลากไปเกี่ยวข้องหลังทำความรู้จักกับซูอี้หรือ?
ต้องบอกก่อนว่าในโลกนี้มีหลายคนที่มองว่าซูอี้เป็นภัยพิบัติ
“ใช่แล้ว อาจเป็นเพราะเจ้ากับศิษย์น้องหญิงของเจ้ายังเยาว์นัก เจ้าจึงลงมือเพื่อความชอบธรรม บางทีอาจเป็นเพราะธรรมชาติที่หาได้ยากนี้ที่ทำให้คุณชายซูยินดีเดินทางไปกับเจ้า”
ผูอี้คิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง และพอจะเดาได้ว่าซูอี้คิดอะไรอยู่ในเวลานั้น ซึ่งทำให้เขาอดอิจฉาฟู่ชิงเหยี่ยนกับกูไฉ่หนิงอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้
ต้องบอกก่อนในตอนแรกเขาใช้สมองอย่างหนักเพื่อสร้างมิตรภาพกับซูอี้ สุดท้ายภายใต้การแนะนำของมู่ซี ราชาสะกดขุนเขา จึงได้มีการจัดตั้งพันธมิตรกับซูอี้ขึ้น!
แต่ใครจะไปคิดว่ารุ่นเยาว์อย่างฟู่ชิงเหยี่ยนกับกูไฉ่หนิงจะมีโอกาสได้ร่วมเดินทางกับซูอี้โดยใช้เพียงความจริงใจเท่านั้น…
เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ ผูอี้ก็อดจะเกิดอารมณ์ซับซ้อนไม่ได้
“อาจารย์ลุง ก่อนที่คุณชายซูจะจากไป เขายังมอบป้ายยันต์หยกให้ข้ากับศิษย์น้องหญิงด้วย โดยบอกว่าหากเราสองคนถูกลากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของเขา เราสามารถบดขยี้เครื่องรางหยกนี้เพื่อขอความช่วยเหลือได้”
พูดจบฟู่ชิงเหยี่ยนก็หยิบยันต์หยกที่ได้รับมาและกำลังจะมอบมันออกไป
ผูอี้รีบพูด “รีบเก็บมันไป! เจ้าจะแสดงสมบัติที่คุณชายซูมอบมาให้คนอื่น ๆ เห็นได้อย่างไร?”
ว่าแล้วเขาลอบถอนใจ นี่คือโชคของคนโง่รึ? คุณชายซูดูแลเจ้าหนูสองคนนี่มากเกินไปหรือไม่?
“ว่าแต่ คุณชายซูเล่า?”
ทันใดนั้นผูอี้ก็ตระหนักถึงปัญหา
ฟู่ชิงเหยี่ยนรีบตอบ “เพิ่งจากไปไม่นาน น่าจะ… ราวหนึ่งถ้วยชา?”
ผูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “อย่าพูดเรื่องนี้กับผู้อื่น เจ้าก็ไปบอกไฉ่หนิงทีหลังด้วยว่าอย่าให้เรื่องที่คุณชายซูมอบป้ายยันต์หยกให้กับพวกเจ้ารั่วไหลออกไป”
ฟู่ชิงเหยี่ยนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ผูอี้ตบไหล่เขายิ้มแล้วมองด้วยสายตาอ่อนโยน “ชิงเหยี่ยน ไม่ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในระดับใดในการสอบยุทธ์ประจำภาควสันตฤดู ข้าก็ยินดียอมรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรง ไม่รู้ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่?”
ฟู่ชิงเหยี่ยนดีใจมากและรีบตกลงอย่างรวดเร็ว “ศิษย์ย่อมเต็มใจ!”
ผูอี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ กล่าวว่า “ไปกันเถอะ เราจะไปรวมกับคนอื่น ๆ แล้วออกเดินทางไปยังนครหลวงอวี้จิง”
ขณะนั้น เขากำลังคิดในใจว่าหลังจากถึงนครหลวงอวี้จิงแล้ว ตนเองจะไปติดต่อมู่ซีก่อน แล้วค่อยหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนซูอี้ด้วยกัน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม สายตาของคนแทบทั้งโลกในเวลานี้ล้วนจับจ้องไปที่นครหลวงอวี้จิง ทุกคนรู้ดีว่าเมื่อซูอี้มาถึง นครหลวงอวี้จิงจะต้องเกิดพายุขึ้นอย่างแน่นอน
เวลานี้ ในฐานะพันธมิตรร่วมหัวจมท้ายของซูอี้ เขาจะยืนดูเฉย ๆ ได้อย่างไรกัน?
…
ด่านหลงเหมิน
หนึ่งในสี่ด่านใหญ่นอกนครอวี้จิง เป็นแนวป้องกันที่คอยปกป้องด้านนอกนครหลวงอวี้จิงไว้
มันสูงเกือบร้อยจั้ง สร้างด้วยหินก้อนใหญ่ทั้งหมด ก่อนใช้โอสถวิญญาณเคลือบทับ และมีแกนกลางของค่ายกลใหญ่ฝังอยู่
มีข่าวลือว่าเมื่อค่ายกลนี้ทำงาน ด่านหลงเหมินจะกลายเป็นค่ายกลสังหารที่น่าสะพรึงสุดขีด เพียงพอที่จะคุกคามตัวตนขั้นเทพเซียนเดินดิน!
ในเวลานี้ ด้านนอกด่านหลงเหมิน ฝูงชนที่พลุกพล่านได้เข้าแถวต่อกันยาวเหยียด
สองข้างทางของด่านหลงเหมิน มีทหารกลุ่มหนึ่งที่มีลมปราณทรงพลังประจำการอยู่
นอกจากนี้ยังมีชายวัยกลางคนทรงอำนาจในชุดคลุมสีน้ำตาล พาดดาบยาวไว้บนหลัง ยืนอยู่บนรั้วสูงร้อยจั้งของด่านหลงเหมิน มองดูคนเดินถนนที่อยู่ใกล้เคียงอย่างเย็นชา
สิบวันก่อน แม่ทัพชื่อดังของต้าโจว ‘ฉีเหลียนเจวี๋ย’ ได้มาประจำด่านหลงเหมินตามคำสั่งของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของราชวงศ์โจว ใครก็ตามที่เข้าหรือออกจากเส้นทางนี้ต้องผ่านการตรวจสอบหลายครั้ง
ว่ากันว่า เมื่อไม่นานนี้ได้มีสายลับของต้าเว่ยและต้าฉินมากมายพยายามแทรกซึมเข้าไปในนครอวี้จิง จึงต้องตรวจตราป้องกันอย่างเข้มงวด
ซูอี้เองก็อยู่ในแถว
เขาไม่ได้คาดว่าจะต้องเจอเรื่องเช่นนี้เมื่อต้องการเข้าไปในนครหลวงอวี้จิง
“ต่อไป”
ไม่นานก็ถึงตาซูอี้
มีทหารสวมเกราะหนักถือกองรูปเหมือนคนเดินไปข้างหน้า แล้วมองไปที่ซูอี้เพื่อเปรียบเทียบ
ซูอี้สังเกตเห็นว่ามีบุรุษและสตรีอยู่บนภาพ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถูกต้าโจวมองว่าเป็นสายลับจากนอกแคว้น
“เจ้ามีเครื่องยืนยันฐานะหรือไม่?”
ผ่านไปสักพักทหารก็นำรูปไปเก็บแล้วถามขึ้น
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ เขาจะเตรียมของเช่นนั้นไว้ได้อย่างไร?
“ไม่มีทางเลือก เจ้าต้องได้รับการตรวจสอบฐานะเพิ่มเติม”
ทหารขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหยิบสมบัติกระจกทองแดงออกมาแล้วพูดอย่างแข็งกร้าว “ยืนนิ่ง ๆ”
เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็ยกสมบัติกระจกทองแดงขึ้นแล้วส่องไปที่ซูอี้
ทันใดนั้น หมอกแห่งจิตวิญญาณก็ปรากฏขึ้นบนกระจกสมบัติที่เรียบและสว่างไสว
แต่เพียงชั่วครู่—
เพล้ง!
สมบัติกระจกทองแดงก็ระเบิดออกทันที