บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 315 พายุที่เกิดขึ้นในเมืองทั้งหมดเป็นเพราะเขา
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 315 พายุที่เกิดขึ้นในเมืองทั้งหมดเป็นเพราะเขา
ตอนที่ 315: พายุที่เกิดขึ้นในเมืองทั้งหมดเป็นเพราะเขา
ตอนที่ 315: พายุที่เกิดขึ้นในเมืองทั้งหมดเป็นเพราะเขา
เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่เอาความเรื่องนี้ต่อ ฉางกั้วเค่อก็รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณคุณชายซู สำหรับความใจกว้างของท่าน”
เทียบกับเมื่อก่อน เห็นได้ชัดว่าชายมีเคราผู้นี้หวาดกลัวซูอี้กว่าเดิม
มีร่องรอยไม่สบายใจในความเคารพ เขาลังเลที่จะพูดจา เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ปรกติ
ซูอี้พูดอย่างครุ่นคิด “หลังจากที่ข้าสังหารหลี่ตงหลิวและคนอื่น ๆ …ในฐานะศิษย์สำนักดาบมังกรเร้น เจ้าก็คงถือว่าข้าเป็นศัตรูด้วยเช่นกัน”
ฉางกั้วเค่อรู้สึกอับอายขายหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น “คุณชายซู ท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าจะไม่ทำเรื่องเนรคุณเช่นนั้น”
ซูอี้กล่าว “ความรู้สึกที่ติดอยู่ตรงกลางนั้นน่าอึดอัดอย่างยิ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ซูผู้นี้ปฏิบัติต่อผู้อื่นตามใจตน หากเจ้าถูกอาจารย์บีบและจำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน ข้าก็ไม่นึกโกรธเคืองแต่อย่างใด”
ฉางกั้วเค่อตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ในขณะนั้นเอง นกกระเรียนขนนกเพลิงก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เป็นชายชราในชุดคลุมที่มีใบหน้าอ่อนวัยและเกล้าผมปล่อยส่วนปลายให้พลิ้วไหวตามสายลม นั่งอยู่บนหลังนกกระเรียน
ราวกับเทพเซียนขี่กระเรียน ครู่ต่อมาพลันเกิดความโกลาหลขึ้นในบริเวณนั้น
ฉางกั้วเค่อ ชิงจิน และฉีเหลียนเจวี๋ยที่อยู่ไกลออกไปล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ทั้งหมดต่างคำนับ “ศิษย์คำนับอาจารย์!”
เซียนฮัวซง!
ผู้อาวุโสสูงสุดอันดับสามแห่งสำนักดาบมังกรเร้น เทพเซียนเดินดินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมาหลายปี!
ผู้ฝึกตนบางคนในบริเวณจดจำฐานะที่แท้จริงของฮัวซงได้จึงอดหายใจหอบไม่ได้ สีหน้าของพวกเขาล้วนตกตะลึง
ตัวตนดุจเทพเซียนเช่นนี้ไม่ปรากฏร่องรอยในโลกมาหลายปีแล้ว แต่ชั่วขณะนี้เขากำลังขี่กระเรียนอยู่หน้าด่านหลงเหมิน!
บรรยากาศพลันเคร่งขรึมและกดดัน
เซียนฮัวซงร่อนนกกระเรียนขนเพลิงลง ดวงตาของเขากวาดไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
สุ้มเสียงนั้นเหมือนกับระฆังตอนเช้าและกลองยามเย็นกระจายออกไป
ชิงจินพลันก้าวไปข้างหน้า กระซิบเพื่อบอกสั้น ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้
อ้า!
หลังจากได้ยินเรื่องราว ดวงตาเซียนฮัวซงก็ตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า มองดูซูอี้จากไกล ๆ ก่อนสีสันประหลาดจะปรากฏขึ้นหว่างคิ้วของเขา “เจ้า… เจ้าคือซูอี้รึ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ดูเหมือนว่าในโลกจะไม่มีใครกล้าแสร้งเป็นซูผู้นี้”
เซียนฮัวซงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นโบกมือไปทางฉางกั้วเค่อแล้วกล่าว “มากับอาจารย์ เลิกยุ่งกับเขาซะ”
ภายในถ้อยคำเย็นชามีร่องรอยที่ไม่อาจขัดขืนได้
ฉางกั้วเค่อรู้สึกกดดันและลังเล
ซูอี้กล่าว “ไปเถิด จำคำข้าไว้ ข้าไม่สนใจ”
ฉางกั้วเค่อรู้สึกอับอายและกระซิบ “คุณชายซู ฉางผู้นี้ไม่มีวันลืมพระคุณช่วยชีวิตของท่าน!”
กล่าวจบเขาก็หมุนตัวจากไป
“การไม่เชื่อฟังคำสั่งอาจารย์คือไม่กตัญญู และการตัดขาดกับข้าก็ไร้คุณธรรม สถานการณ์เช่นนั้นช่างน่าอึดอัดเสียจริง…”
ซูอี้ลอบกล่าว “ทว่าแค่เขาไม่ใช่คนเนรคุณเท่านั้นก็พอแล้ว”
ขณะคิดเช่นนั้นซูอี้ก็หมุนตัวเดินเข้าไปในด่านหลงเหมิน
ตั้งแต่ต้นจนจบ เซียนฮัวซงไม่ได้ขัดขวางเขาและเพียงมองดูด้วยสายตาเย็นชา
นี่ทำให้ทุกคนในที่นั้นประหลาดใจ
ต้องกล่าวก่อนว่าเหตุการณ์ที่ซูอี้ตัดศีรษะของหลี่ตงหลิวกับคนอื่น ๆ จากสำนักดาบมังกรเร้นที่หุบเขามารบุปผาโลหิตได้สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลกแล้ว
แต่เดิมทุกคนคิดว่าเซียนฮัวซงจะต้องไม่ปล่อยซูอี้ไปง่าย ๆ แน่
ทว่าน่าประหลาดที่ไม่เกิดเรื่องใด ๆ ขึ้นเลย!
จนกระทั่งร่างของซูอี้หายลับไปสุดสายตา ฉางกั้วเค่อกับชิงจินพลันถอนใจอย่างโล่งอก ทั้งสองต่างหลั่งเหงื่อออกมาอย่างกังวลว่าอาจารย์จะลงมือหากตกลงกันไม่ได้
มีเพียงฉีเหลียนเจวี๋ยที่เหมือนจะเข้าใจและกล่าว “ท่านอาจารย์ ท่านวางแผนให้ซูอี้ไปถึงนครหลวงอวี้จิง แล้วให้ประมุขตระกูลซูจัดการกับเขาเองหรือ?”
ทว่าเซียนฮัวซงส่ายศีรษะแล้วกล่าวเบา ๆ “ข้าเพียงเพิ่งได้รับข่าว เมื่อราวครึ่งชั่วยามก่อน รองเจ้าสำนักดาบมังกรเร้น ฉือเฟิงหลิวถูกไล่ฆ่าโดยซูอี้และต้องหลบหนีไปอย่างอับอาย”
ทุกคนตกตะลึง ต่างมองกันและกันอย่างหวาดหวั่น
ฉือเฟิงหลิวเป็นเทพเซียนเดินดินที่เชี่ยวชาญการใช้ภาวะดาบและครองครองทักษะลับทุกประเภทเอาไว้!
แม้แต่เขายังต้องหลบหนีไปใต้เงื้อมมือของซูอี้ เช่นนั้นใครบ้างจะไม่หลาดใจ?!
เป็นตอนนี้เองที่พวกเขาเข้าใจในที่สุด ว่าเหตุใดอาจารย์ฮัวซงจึงไม่ได้ลงมือก่อนหน้านี้ เพราะมันชัดเจนว่าเขาเอาชนะไม่ได้!
“ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่เจ้าหนูนี่ไปถึงนครหลวงอวี้จิง เขาจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นไม่จำเป็นต้องให้สำนักดาบมังกรเร้นของเราลงมือทำอะไร เขาก็ไม่มีโอกาสรอดมากนักหรอก”
เซียนฮัวซงมองอย่างเฉยเมย “สิ่งที่พวกเราต้องทำคือตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาเสีย พวกเราจะต้องไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับเขาอีก!”
ระหว่างที่พูดเช่นนั้น เขาก็เหลือบมองไปที่ฉางกั้วเค่อกับชิงจินเป็นการเตือนโดยนัย
ในใจฉางกั้วเค่อรู้สึกขมขื่น เขาลอบถอนใจ
อารมณ์ของชิงจินเปราะบางและซับซ้อนสุดขีด
พูดไปแล้ว ความสัมพันธ์ของนางกับซูอี้ไม่อาจเรียกว่าสหายได้ ที่ซูอี้เคยตบนางในอดีตนางยังคงโกรธเคืองจนถึงตอนนี้
เดิมทีเมื่อนางรู้ว่ายามซูอี้ไปถึงนครหลวงอวี้จิงจะต้องพบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ นางสมควรดีใจถึงจะถูก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง… นางกลับไม่อาจยินดีได้!
“ไปกัน ถึงตาพวกเราไปนครหลวงอวี้จิงแล้ว”
ฉับพลัน เซียนฮัวซงก็จากไปพร้อมฉางกั้วเค่อกับชิงจิน
ในเวลาเดียวกันนั้น บรรดานกส่งสารที่ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารก็พากันพุ่งจากด่านหลงเหมินไปยังนครหลวงอวี้จิงด้วยความเร็วสุดขีด
ซูอี้มาถึงด่านหลงเหมินแล้ว ข่าวสำคัญเช่นนี้ต้องรีบรายงานให้เร็วที่สุด
…
“นั่นนครหลวงอวี้จิงหรือ? ช่างมีบรรยากาศยิ่งใหญ่นัก!”
หลังจากหนึ่งก้านธูปผ่านไป
ซูอี้มองเห็นจากแต่ไกลว่าเหนือพื้นดินมีนครอันกว้างขวางและทรงพลังซึ่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดตั้งอยู่
กำแพงเมืองสูงหนึ่งร้อยจั้งและขดงอราวกับมังกรยักษ์ ภายใต้แสงจากท้องฟ้า มันเรืองแสงสีทองวาววับอย่างเลิศหรู
เหนือตัวเมืองมีปราณสีแดงลอยอยู่ในอากาศเต็มไปหมด แล้วยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์วูบไหว ที่สำคัญกว่านั้นยังมีเส้นสายสีม่วงที่คนธรรมดายากจะมองเห็นอยู่ด้วย
นั่นคือปราณมังกรที่จะปรากฏขึ้นเฉพาะเมืองที่จักรพรรดิประทับอยู่!
โดนปราณสีม่วงที่ว่า พวกมันล้วนแต่มาจากทิศตะวันออก อันเป็นการบอกว่ามังกรหรือองค์จักรพรรดิ ทรงประทับอยู่ในทิศทางดังกล่าว!
นี่คือรูปแบบฮวงจุ้ย ไม่ว่าอาณาจักรใด ๆ ในโลก เมื่อสร้างเมืองหลวงแล้ว พวกเขาจะส่งนักพรตที่เชี่ยวชาญการทำนายไปตามหาเส้นชีพจรมังกรเพื่อช่วยบำรุงดินแดน
แน่นอนว่าสำหรับซูอี้ สิ่งที่เรียกว่าปราณมังกรก็เป็นเพียงปราณจิตวิญญาณที่มองไม่เห็นเท่านั้น
ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากโลกหล้าจะขึ้นเป็นจักรพรรดิมังกรที่แท้จริง และได้รับสืบทอดโชคลาภไม่สิ้นสุด!
ทว่าหากสูญเสียการสนับสนุนไป ปราณแห่งจิตวิญญาณที่รวมตัวกันก็จะกระจายหายไป
เช่นเดียวกับรูปปั้นในวัด ด้วยความเชื่อของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล รูปปั้นพวกนั้นจึงดูโอ่อ่าและเต็มไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์
มันมีกระทั่งนักพรตที่เผยคำสอน ‘จุดธูปบูชา’ ขึ้นโดยเฉพาะ พวกเขาใช้วิธีจุดธูปสักการะเทพเจ้าเพื่อรวบรวมความเชื่อของสิ่งมีชีวิต
นี่เรียกว่า ‘เส้นทางแห่งธูป’
ทว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทางแห่งเต๋า ทั้งยังถูกผลักไสว่าเป็นเส้นทางที่บิดเบี้ยว และเป็นที่รังเกียจที่สุดในศาสตร์การฝึกตนโบราณ
“ปราณสีม่วงของจักรพรรดิในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ถือว่าธรรมดานัก ไม่น่าแปลกใจที่จักรพรรดิต้าโจวองค์ปัจจุบันจะไม่สามารถทะลวงไปถึงขอบเขตปรมาจารย์ได้”
“พูดอีกอย่างก็คือตั้งแต่ที่นั่งบนบัลลังก์มังกรของราชวงศ์ต้าโจว มันก็เป็นเรื่องยากที่จะก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด ไม่อย่างนั้นเขาจะถูกทอดทิ้งโดยพลังจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด”
“เพราะอย่างไรเสียสิ่งที่ผู้คนในโลกสามัญต้องการไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แสวงหาความเป็นอมตะ”
ขณะคิดเช่นนั้นซูอี้ก็เดินเตร่เรื่อยเปื่อย
ทว่าซูอี้เองก็รู้แก่ใจว่าทุกสิ่งล้วนมีข้อยกเว้น แม้ฐานะจักรพรรดิของโลกสามัญยากจะก้าวต่อไปบนเส้นทางฝึกตน ทว่ามันก็ยังมีความหวังน้อยนิดเหลือไว้
เพียงเลียนแบบ ‘เส้นทางแห่งธูป’ ของนักพรต แล้วสร้างรากฐานแห่งเต๋าด้วยความเชื่อของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็จะสามารถก้าวขึ้นมาได้
ข้อเสียคือเมื่อก้าวหน้าด้วยความเชื่อของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ความพ่ายแพ้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเช่นกัน!
หากอาณาจักรล่มสลาย ผู้คนล้มตาย แคว้นไม่เป็นแคว้น ผลจะย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง!
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิต้าโจวคนปัจจุบันไม่ได้ใช้เส้นทางนี้ ไม่เช่นนั้นปราณสีม่วงที่สะท้อนอยู่ในนครหลวงอวี้จิงคงไม่ธรรมดาเช่นนี้
ไม่ช้า ประตูเมืองที่โอ่อ่าและยิ่งใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา เผยให้เห็นฝูงชนที่พลุกพล่านเข้าออกประตูเมืองตลอดเวลา
เสียจอแจรื่นเริงสามารถได้ยินมาแต่ไกล
นี่เป็นเพียงด้านนอกของเมือง แต่ความรุ่งเรืองของนครหลวงก็ได้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว
เห็นภาพนี้ดวงตาของซูอี้ก็ปรากฏร่องรอยระลึกถึง
ในฤดูหนาวตอนอายุสิบสี่ ขณะที่หิมะโปรยปราย เขาออกจากตระกูลซูไปเพียงลำพัง ก้าวออกจากประตูแห่งนครหลวงอวี้จิงไป
สามปีให้หลัง ในวันนี้เขาได้หวนกลับมาแล้ว
เพียงแต่เขาหาใช่เด็กหนุ่มผู้เปราะบางและโดดเดี่ยวอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว
ความทรงจำในเมืองยากที่จะลืมเลือนจริง ๆ หากไม่หยุดความคับข้องใจนี้เสีย ในอนาคตเส้นทางการฝึกตนอาจถูกฉุดรั้งด้วยเรื่องนี้ได้…
ดวงตาของซูอี้สงบนิ่งดุจบ่อน้ำเก่าแก่ที่ไม่ไหวติง
เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชั่วขณะนี้ ณ ด้านนอกของนครหลวงอวี้จิง ความทรงจำที่ถูกฝุ่นเกาะอยู่ในส่วนลึกได้ถูกเปิดออก ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนท่วมท้นไปด้วยอดีต
เขาไม่ได้สะกดมันลง
เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตเขา
ไม่จำเป็นต้องสะกดมันลง
สุดท้ายจิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความชิงชังและโทสะที่ลุกโหม
นั่นคือความเกลียดชังที่มีต่อตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง
มันคือโทสะที่สั่งสมมาจากการตายของเยี่ยอวี่เฟย มารดาของเขา!
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ซูอี้ก็ถอนใจเบา ๆ แล้วเอามือไขว้หลัง ก่อนเดินเข้าไปในฝูงชนที่พลุกพล่านตรงเข้าไปในประตูนครหลวงอวี้จิง ไม่ช้าร่างสูงตระหง่านก็หายลับไป
ในวันเดียวกัน ข่าวที่ซูอี้เข้ามาในนครหลวงอวี้จิงก็ได้กระจายออกไปด้วยความเร็วสูง ดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วน
“วันที่สี่เดือนสี่ เจ้าหนูนี้ได้เดินทางออกจากแคว้นกุ่นมายังนครหลวงอวี้จิง ใครจะคิดว่า… เขาจะมาถึงนครหลวงโดยยังมีชีวิตกัน?”
ผู้อาวุโสบางส่วนถูกครอบงำโดยอารมณ์
“เจ้าหนูนี่มาพร้อมกับดาบที่สังหารเทพเซียนเดินดิน พายุลูกใหญ่กำลังมาเยือนนครหลวงแล้ว!”
“ข้าเพียงแต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วซูอี้จะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน และจะเกิดอะไรขึ้นอีก…”
บางส่วนตั้งตารอ
“รีบส่งคนไปตรวจสอบว่าเจ้าหนูนี้อยู่ที่ใด แล้วมีกองกำลังในนครหลวงอวี้จิงลอบลงมือมากน้อยแค่ไหน เร็วเข้า!””
ผู้ทรงอำนาจบางส่วนรับรู้ถึงกลิ่นอายที่แตกต่าง พวกเขาส่งคนไปสืบสถานการณ์
ในยามเย็น ดวงอาทิตย์ดูราวกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ในส่วนลึกของวัง
“ทันทีที่มาถึงนครหลวงอวี้จิง ก็เกิดพายุโหมไปทั่วเมือง ซูอี้นั่นมันอะไรกัน!”
สวมชุดคลุมยาว เส้นผมยาวสยายเต็มแผ่นหลัง จักรพรรดิแห่งต้าโจวผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสูง เขวี้ยงจดหมายลับที่เพิ่งได้รับลงบนโต๊ะดังผัวะ
เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร ดวงตาลึกล้ำดุจมหาสมุทรมองออกไปนอกโถงแล้วกล่าว
“ส่งคำสั่งข้าลงไป จากวันนี้ไปให้องครักษ์เงามังกรจับตาการเคลื่อนไหวของซูอี้อย่างใกล้ชิด… ข้าล่ะอยากรู้นัก ว่าช่วงเวลาต่อจากนี้เขาจะสร้างพายุลูกใหญ่เพียงใดขึ้นมาในนครหลวงอวี้จิงกัน!”