บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 316 ชุดขาวแบกดาบ แวะเยี่ยมดึกดื่น
ตอนที่ 316: ชุดขาวแบกดาบ แวะเยี่ยมดึกดื่น
ตอนที่ 316: ชุดขาวแบกดาบ แวะเยี่ยมดึกดื่น
ตระกูลซู
ณ ลานชิงอู๋
มือหนึ่งของซูหงหลี่ยกตัวหมากรุกไว้ อีกมือเดินหมากรุกไปตามแผนที่วางไว้
หมากขาวดำแต่ละตัว ต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
เขาเล่นหมากล้อมกับตัวเอง และมีความสุขกับตัวเอง
จนกระทั่งตกดึก
ซูหงหลี่ขมวดคิ้วทันที พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ และสะบัดแขนเสื้อปัดหมากรุกที่เต็มกระดาน “เรื่องบนโลกนี้ สิ่งที่ชนะยากที่สุด มักจะเป็นตัวเอง เช่นเดียวกับการแข่งหมากล้อม และการฝึกตน”
ไม่ไกลนัก ชายชราชุดเต๋าที่รออยู่นานแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “การเดินหมากขอเพียงแค่ไม่เสียใจทีหลัง การฝึกบำเพ็ญขอเพียงแค่หลุดพ้นจากความกังวล”
ซูหงหลี่ยิ้มออกมาครู่หนึ่ง พลางลุกขึ้น “ใคร ๆ ต่างก็รู้ทฤษฎี แต่ทว่ารู้ง่ายกว่าการปฏิบัติมาก สหายเต๋า ท่านมารอนานแล้วเช่นนี้ หรือท่านมีเรื่องเร่งด่วนอันใด?”
ชายชราชุดเต๋าพยักหน้า “ซูอี้มาถึงมหานครหลวงอวี้จิงแล้ว”
ค่ำคืนค่อย ๆ มืดมิด แสงไฟในลานบ้านริบหรี่ และลมยามกลางคืนพัดโชยมา
พลันซูหงหลี่หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “เป็นไปตามที่คิดไว้ ข้าไม่แปลกใจเลยจริง ๆ”
ชายชราชุดเต๋าเอ่ยเสียงเบา “และในวันนี้ ซูอี้ได้ปะทะกับฉือเฟิงหลิวบนแม่น้ำชิงหลาง เป็นฉือเฟิงหลิวถูกไล่ต้อนสังหาร ตกอยู่ในที่นั่งลำบากจนหลบหนีไป”
“นอกจากนี้ บริเวณหน้าด่าน เซียนฮัวซงที่ดูอยู่กลับนิ่งเฉย ไม่ลงมือทำสิ่งใดทั้งสิ้น”
ซูหงหลี่เงียบไป
ชั่วครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความชัง “ฉือเฟิงหลิวผู้นี้ เป็นผู้สิงสถิตที่ไม่ได้เรื่อง และยังบอกว่าตัวเองเก่งสุดในบรรดาสหายรุ่นเดียวกัน ช่างน่าขันร่างที่เขาสถิตนั้นเป็นเพียงแค่ปัญญาชนธรรมดา ไม่มีการฝึกฝน รากฐานย่ำแย่ เบาปัญญา ผลกระทบที่ได้รับจากร่างนี้ แม้เขาจะใช้ความสามารถมากมาย ก็ยากที่จะเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมได้”
เมื่อพักไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยต่อ “ส่วนเซียนฮัวซงผู้นี้ มีนิสัยระเอียดรอบคอบ ฐานะต่ำเกินไป ขาดแคลนความน่าเกรงขาม ทั้งชีวิตหยุดอยู่แค่เส้นทางวิถีต้นกำเนิด ช่างไร้ค่ายิ่งนัก”
“ที่พวกเขามิกล้าสังหารลูกชายทรพีนั่น… ข้าไม่แปลกใจเท่าใดนัก”
คำวิจารณ์นี้ เหมือนธรรมดามาก ทว่าเจือไปด้วยกลิ่นอายความดูถูก และเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
ทว่าชายชราชุดเต๋าเหมือนกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี จึงไม่แปลกใจมาก
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้องครักษ์มังกรเงาจับตามองการเคลื่อนไหวของซูอี้ตลอดเวลา ทว่าไม่มีแผนลงมือบีบคั้นซูอี้แต่อย่างใด แค่อยากจะดูเท่านั้น ว่าหลังจากที่ซูอี้เข้ามหานครหลวงอวี้จิงมาจะเคลื่อนไหวก่อเรื่องได้เท่าใดกัน”
ซูหงหลี่ยิ้มออกมาครู่หนึ่ง “ฝ่าบาทคงอยากจะดูว่า ระหว่างข้ากับลูกทรพีนั่น ท้ายสุดแล้วผู้ใดจะแพ้ผู้ใดจะชนะเสียมากกว่า”
ชายราชุดเต๋าเงียบ
นัยน์ตาซูหงหลี่ลุ่มลึก เอ่ยอย่างเฉยเมย “สิบปีมานี้ ข้าอยู่แต่ที่นี่ ไม่สนเรื่องภายนอก ฝ่าบาทคงจะอยากรู้ว่าการฝึกฝนของข้ายามนี้ไปถึงขั้นใดแล้ว ดังนั้นถือโอกาสนี้ให้เขาได้เห็นก็ไม่มีสิ่งใดเสียหาย”
ชายชราชุดเต๋าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน “สหายเต๋า ในตอนที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างยังมาไม่ถึง แสดงพลังตัวเองเร็วเกินไป เกรงว่าคงเกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นออกมา และที่สำคัญ กองกำลังฝึกบำเพ็ญในอาณาเขตต้าเซี่ย ยามนี้ได้ทยอยกันเคลื่อนไหว เดินอยู่ในเขตชายแดนต่าง ๆ ในมหาทวีปคังชิง…”
ซูหงหลี่เอ่ยขัด “ไม่เป็นไร แค่เก็บลูกทรพีเท่านั้น ไม่มากพอที่จะให้ข้าใช้พลังทั้งหมดหรอก”
ขณะเอ่ยอยู่ เขาก็ได้เดินออกไปนอกห้อง “นี่ก็ดึกมากแล้ว เชิญสหายเต๋าทำตัวตามสบาย”
ชายชราชุดเต๋าชะงักครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้า ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวซูหงหลี่ และเกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีตที่เป็นความลับมาก
เขาเข้าไปเกี่ยวข้องเกินไปคงจะดูไม่ดีนัก
…..
ราตรีมาเยือน จันทร์แรมที่ลอยสูงอยู่บนท้องนภา ใสกระจ่างราวกับคมมีด
ตลาดรุ่ยอัน ส่วนลึกตรอกเถาฝู ภายในลานซงเฟิงเปี๋ย
ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบายใจ
ลานบ้านหลังนี้ไม่เลวเลย สงบสวยงาม ปลูกต้นสนสูงใหญ่ปะปนกันไป มีแปลงดอกไม้ประดับประดา แปลงผัก สระน้ำเล็ก มีศาลาเล็ก ๆ และอื่น ๆ
ก่อนหน้าที่ซูอี้จะมาถึง ลานบ้านนี้ถูกคนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ดูสะอาดสะอ้าน แม้แต่ที่นอนภายในห้องก็เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
ขณะนั่งอยู่ในลานบ้าน มองดูจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า ฟังเสียงสายลมที่พัดโชยมา ซูอี้รู้สึกเกียจคร้านอย่างมาก
ก่อนหน้านี้เขาไปเดินเล่นในตรอกเถาฝูใกล้ ๆ นี้รอบหนึ่ง หาร้านอาหารเล็ก ๆ ที่เก่าแก่ธรรมดา กินบะหมี่เนื้อแพะร้อน ๆ กินเนื้อวัวปรุงรสสองจิน เนื้อปลารมควันหนึ่งถ้วย ถั่วลิสงต้มหนึ่งถ้วยเล็ก และดื่มเหล้าเข้มข้นที่เจ้าของร้านหมักเองไปหนึ่งไห
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะอาหารหรือสุรา ล้วนมีรสชาติที่แตกต่าง
“หากไม่มีเรื่องใดที่ต้องกังวล ก็เป็นช่วงเวลาที่ดี”
ซูอี้เอ่ยกับตัวเอง “ช่างน่าเสียดายภาพที่งดงามนี้ กลับถูกแมลงวันเหล่านั้นทำลายไป…”
ร่างเขาเอนอยู่บนเก้าอี้หวายไม่ขยับไปไหน ยกมือกวาดไปในอากาศ
ใบสนบนต้นสนสูงใหญ่ห่างไปสามจั้งร่วงโรยลงมาราวกับฝนโปรยปราย ลอยมาอยู่บนฝ่ามือขวาของซูอี้
ใบสนสีเขียวเล็ก ลอยอยู่ตรงนั้น ประหนึ่งดาบบินขนาดเล็กสีเขียวหนึ่งกอง ถูกแรงบนฝ่ามือซูอี้ควบคุมไว้ หมุนไปมาราวกับเต้นระบำ
“ไป!”
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ
พรึบ!
กลุ่มใบสนระเบิดออก คล้ายกับคมดาบขนาดเล็กพุ่งออกไป ทะยานขึ้นไปกลางอากาศ พลันแตกกระจายทันที และร่วงโรยไปในที่ต่าง ๆ
ด้านหน้าประตูบ้านที่ห่างจากลานซงเฟิงเปี๋ยสามสิบจั้ง
มีชายที่เหมือนกับขอทานขดตัวอยู่มุมกำแพง เบิกตากว้าง
ฉึก!
จู่ ๆ กลุ่มแสงสีเขียวที่ปรากฏออกมา แทงเข้าใบหน้าด้านข้างของชายขอทานคนนั้น เจาะใบหน้านั่นเป็นรูขนาดเล็กเท่ารูเข็ม จนชายขอทานคนนั้นลุกขึ้นทันที พร้อมกับเผยความเจ็บปวดบนใบหน้าออกมา
ในขณะเดียวกัน
ด้านนอกตรอกเถาฝู ร่างชายชราที่ขายปิงถังหูหลู่แข็งทื่อ ปากแผดเสียงเจ็บปวดออกมา หลังคอถูกแทงด้วยเข็มสนสีเขียว
บนชายคาห่างจากชายชราไปสิบจั้ง มีผู้หญิงสวมชุดเครื่องแบบทหารแผดเสียงกรีดร้องออกมา ร่างกายโงนเงน ทำให้กระเบื้องมุงหลังคาใต้ฝ่าเท้าแตกออก และเกือบร่วงลงมา
ภาพที่คล้ายกัน เกิดขึ้นภายในระยะหนึ่งร้อยจั้งใจกลางลานซงเฟิงเปี๋ย
บุคคลที่หลบซ่อนในเงามืดแต่ละคน ถูกเข็มสนสีเขียวทิ่มแทง พวกเขาทั้งหมดแสดงอาการตื่นตระหนก และขนลุกขึ้นมา
ในขณะที่พวกเขาบาดเจ็บนั้น ก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างหูพวกเขา
“กลับไปบอกผู้อยู่เบื้องหลังพวกเจ้า หากเหยียบเข้ามาในตรอกเถาฝูรบกวนการฝึกฝนข้าอีก จะฆ่าให้หมด ไสหัวไป!”
แต่ละคำราวกับค้อนขนาดใหญ่หนักพันชั่ง ทุบลงไปในจิตวิญญาณสายสืบเหล่านั้นอย่างรุนแรง ทำให้ด้านหน้าพวกเขาพร่ามัว เลือดลมปราณปั่นป่วน แทบจะรู้สึกพังทลาย
ไม่นาน เหล่ากองกำลังสอดแนมที่มาจากมหานครหลวงอวี้จิงต่างหลบหนีไป และมิกล้าอยู่ที่นี่อีก
และในคืนนี้เอง เรื่องการเตือนของซูอี้ ได้แพร่กระจายไปทั่วมหานครหลวงอวี้จิงในยามค่ำ และทำให้เกิดความโกลาหลไม่รู้ตั้งเท่าใด
ลานซงเฟิงเปี๋ย
“หากข้าฝึกบรรลุปรมาจารย์ขั้นห้า หลอมเปิดแสงเบญจธาตุครบถ้วน เสริมด้วยจิตสัมผัส ก็เหมือนกับมีเคล็ดวิชาร้ายกาจ สามารถคร่าศัตรูที่ห่างออกไปนับพันจั้งได้”
“ส่วนยามนี้… ทำได้เต็มที่แค่ทำให้บาดเจ็บเท่านั้น พลังที่มียังไม่เพียงพอหากคิดลงมือมากกว่านั้น”
นิ้วมือซูอี้เคาะที่พนักพิงแขนเกาอี้หวายเบา ๆ ตกอยู่ในห้วงความคิด
ไม่แปลกใจเลย กับเรื่องที่เข้ามานครหลวงอวี้จิงในวันนี้จะถูกแพร่ออกไปหมดแล้ว และดึงดูดความสนใจจากกองกำลังใหญ่ในเมือง
แต่ซูอี้กลับไม่กังวลใด ๆ
หากมีพวกไม่ดูตาม้าตาเรือเข้ามาวุ่นวาย เขาก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าพวกมันให้หมดสิ้น!
“วันที่สิบห้าเดือนสี่ ห่างจากวันที่สี่ต้นเดือนห้าอีกเก้าวัน มากพอที่จะทำให้ข้าบรรลุปรมาจารย์ขั้นห้าได้”
“เพียงแค่ไม่รู้ว่า ซูหงหลี่ได้เตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?”
สายตาซูอี้มองไปบนท้องฟ้า จันทร์กระจ่างดาวสว่างไสว ค่ำคืนที่มหานครหลวงอวี้จิงก็ไม่ต่างอะไรกับที่อื่น
ท้ายที่สุดมันก็เป็นสถานที่บนโลกสามัญเท่านั้น
เป็นเวลานาน ซูอี้ถึงได้ลุกขึ้น ตั้งใจจะกลับเข้าไปฝึกฝนในห้อง
และในตอนนั้นเอง เขาพลันหยุดชะงัก สายตามองไปประตูใหญ่ลานบ้าน
คล้ายกับสัญญาณเตือน ในตอนที่สายตาของซูอี้มองไป นอกประตูลานบ้านมีเสียงคมชัดราวกับเสียงร้องนกขมิ้นในหุบเขาดังขึ้นมา
“สหายซู ข้าแวะมาเยี่ยมยามดึก ขอท่านอย่าได้ถือสา”
ทุกคำเหมือนดั่งไข่มุกที่หยดลงบนจานหยก ไพเราะดั่งเสียงของธรรมชาติ
ซูอี้นั่งบนเก้าอี้หวายอีกครั้ง และเอ่ยทันที “ข้ามกำแพงเข้ามาเถิด”
“…”
ด้านนอกลานบ้านเงียบไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งลอยข้ามกำแพงเข้ามา
เป็นหญิงสาวสวมชุดขาวราวหิมะ ด้านหลังแบกดาบโบราณ เส้นผมอ่อนนุ่มดำขลับถูกมัดด้วยเชือกสีแดงกลายเป็นหางม้า เผยใบหน้างามนิ่งเรียบออกมา โฉมหน้าราวกับภาพวาด
รูปร่างนางค่อนข้างผอมสูง ผิวขาวใสและนุ่มนวล ข้างเอวมีเหล้าขวดน้ำเต้าสีเหลืองผูกไว้
นอกจากเชือกแดงที่มัดผมเอาไว้ บนร่างหญิงสาวไม่มีเครื่องประดับใดอีก ทว่ากลับมีความงดงามตามธรรมชาติ และมีท่วงท่าที่สง่างาม
ยามแสงจันทร์สาดส่องลงมา หญิงสาวที่ยืนอยู่ใต้เงาต้นสน ราวกับนางฟ้าบนสวรรค์ งดงามเหนือคนธรรมดา
นัยน์ตาซูอี้เผยความแปลกใจ
เพียงหญิงสาวยืนในลาน ดอกไห่ถังต้องก้มหัว แสงจันทร์ยอมเงียบสงัด ใครจะทนความงามไม่มีที่ตินี้ได้กัน?
ยอมรับว่า หญิงสาวที่แวะมาเยี่ยมเยือนในตอนดึกสงัดนางนี้ คือบุคคลยอดเยี่ยมที่พบเห็นได้ยากจริง ๆ บนร่างมีกลิ่นอายความมีชีวิตชีวาที่พิเศษ
หากคนธรรมดามาพบเห็น เกรงว่าคงเข้าใจผิดว่าเป็นนางฟ้าในภาพวาด
แน่นอนว่า สิ่งที่ทำให้ซูอี้ยิ่งสนใจคือ ลมปราณบนร่างหญิงสาวผู้นี้แตกต่างกับคนปรกติราวฟ้ากับดิน
ขณะที่ซูอี้สำรวจหญิงสาวแบกดาบชุดขาว อีกฝ่ายก็สำรวจเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย ดวงตาใสดุจทะเลสาบ นัยน์ตาเฉียบแหลมใสแจ๋ว แฝงไว้ด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“เยว่ซือฉาน ยินดีที่ได้พบสหายเต๋าซู”
ทันใดนั้น หญิงสาวเอ่ยด้วยท่าทางที่สุภาพ
ซูอี้เอ่ยทันที “เจ้าคือราชาขนนกที่มีชื่อเสียงเป็นตำนานคนนั้น?”
เขานึกออกแล้ว
ในเก้าราชาต่างสกุลแห่งต้าโจว ราชาขนนกคือราชาอันดับหนึ่งแห่งเก้าราชา!
ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดแห่งต้าโจวในรอบพันปีที่ผ่านมา!
นางเคยแบกดาบก้าวสู่อาณาเขตต้าเว่ยเพียงลำพัง และเอาชนะปรมาจารย์ทั้งเก้าท่านแห่งต้าโจวติดต่อกัน ชื่อเสียงสะท้านไปทั่วสองอาณาจักร และโด่งดังไปทั่วใต้หล้า
เคยเข้าไปใน ‘ภูเขาเทียนเซียน’ สถานที่อันตรายที่สุดในต้าโจว สังหารราชาปีศาจสิบสองตน บีบให้พวกมันแตกพ่ายไปทั่วสารทิศ
ในต้าโจว ราชาขนนกอย่างเยว่ซือฉานถูกขนานนามว่าตำนานที่ยังมีชีวิต!
“ไม่เป็นตำนานหรอก หากเทียบกันแล้ว อย่างสหายเต๋าถึงจะเรียกว่าเป็นตำนานจริง ๆ สามารถสังหารเทพเซียนเดินดินได้ด้วยการฝึกฝนขอบเขตปรมาจารย์ ทั่วทั้งมหาทวีปคังชิง คงหาได้เพียงไม่กี่คน”
น้ำเสียงไพเราะของเยว่ซือฉาน ท่าทางที่สงบนิ่ง ร่างอ่อนช้อยที่อยู่ใต้แสงจันทร์ประหนึ่งภาพความฝัน
ซูอี้ยิ้มออกมา พลางเอ่ยด้วยความสนใจ “หากไม่เอ่ยเรื่องเหล่านี้ เจ้าแวะมาดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องอันใด?”
เยว่ซือฉานเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ก่อนหน้านี้ ข้าได้ยินเรื่องมากมายเกี่ยวกับสหายเต๋า จึงรู้สึกอยากเห็นท่าทีของสหายเต๋ากับตาตัวเอง ถึงได้มาเยี่ยมเยือน”
ซูอี้ตะลึงค้าง ค่ำมืดเช่นนี้ มาเพียงเพื่ออยากพบเขา?