บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 317 ความทรงจำในอดีต
ตอนที่ 317: ความทรงจำในอดีต
ตอนที่ 317: ความทรงจำในอดีต
ซูอี้เอ่ย “นครหลวงในยามนี้ มีสายตามากมายจับจ้องข้าที่อยู่ เจ้าไม่กังวลว่าจะถูกเข้าใจผิดรึ?”
เยว่ซือฉานเอ่ยเสียงเบา “สหายเต๋ากล้ามาที่นี่เพียงลำพังได้ ข้าเพียงแค่มาพบสหายเต๋า เหตุใดต้องกลัวคำวิจารณ์เหล่านั้นด้วย?”
ซูอี้หัวเราะออกมา ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจจริง ๆ
เขาชี้ไปที่ม้านั่งหินด้านข้างพลางเอ่ย “นั่งสิ”
แต่เยว่ซือฉานกลับปฏิเสธ “ข้าได้พบสหายเต๋าแล้ว ยามนี้ก็สมควรกลับแล้ว จริงสิ ข้ารอคอยการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับซูหงหลี่ในวันที่สี่เดือนห้ามาก”
เมื่อเอ่ยจบ ร่างนางพลันหายไปทันที ราวกับลำแสงมายาที่หายสาบสูญไป
ซูอี้เลิกคิ้ว เขาจึงกล้ามั่นใจว่า เยว่ซือฉานมาเพียงแค่พบเขาโดยเฉพาะจริง ๆ ไม่มีจุดมุ่งหมายอื่น
จากนั้น ซูอี้จึงตกอยู่ในความคิด
ก่อนหน้านี้ ดาบโบราณที่อยู่ด้านหลังเยว่ซือฉาน ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงลมปราณเลือนราง
ไม่ใช่พลังที่น่าหวาดกลัว และไม่ใช่ของล้ำค่าลึกลับ แต่เหมือนกับเป็น ‘สิ่งมีชีวิต’
“หรือว่าภายในดาบโบราณเล่มนั้น จะซ่อนจิตวิญญาณดาบเอาไว้?”
ซูอี้ลูบคาง แววตาเจือไปด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เยว่ซือฉานไม่มีเจตนาเป็นศัตรู ไม่เช่นนั้น เมื่อครู่คงถือโอกาสใช้จิตสัมผัส สำรวจความลึกลับของดาบโบราณเล่มนั้นแล้ว
“ภายในร่างหนิงซือฮวามีพลังลึกลับปิดผนึกเอาไว้ บนตัวมู่ซีมีจี้หยกโลหิต ฉือเฟิงหลิวน่าจะเป็นผู้สิงสถิตคนหนึ่ง และดาบโบราณด้านหลังเยว่ซือฉานผู้นี้ ก็ซ่อนความลี้ลับเอาไว้…”
“ดูเหมือนว่า เหล่าบุคคลที่ยืนอยู่จุดสูงสุดในต้าโจว เกรงว่าบนร่างคงจะมีความลับที่แตกต่างกัน”
“แล้วซูหงหลี่เล่า? เขาเป็นผู้สิงสถิตอย่างนั้นหรือ?”
ท้องฟ้าเริ่มมืดขึ้นเรื่อย ๆ
ซูอี้ลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้อง
และทำเหมือนเมื่อก่อน หลังจากฝึกบำเพ็ญเสร็จแล้ว ซูอี้ถึงได้เอนกายลงบนเตียง และเข้าสู่ห้วงนิทราไป
เพียงแต่คืนนี้ เขาฝันขึ้นมา
ภายในห้องอับชื้นและมืดมิด แสงเงาที่ขมุกขมัว
ผู้หญิงที่มีท่าทางไร้เรี่ยวแรงนั่งอยู่ตรงนั้น แสงเทียนที่สะท้อนอยู่บนใบหน้าก็มิอาจซ่อนสีหน้าขาวซีดของนางได้
นางผอมจนเห็นกระดูก บางครั้งปิดปากไออย่างรุนแรง ทว่าเมื่อนางมองซูอี้ แววตากลับเต็มไปด้วยความสงสารและรักสุดหัวใจ
ซูอี้ที่เพิ่งอายุสี่ขวบ นั่งอยู่บนม้านั่งสูง บนโต๊ะเขียนหนังสือด้านหน้ามีบะหมี่หนึ่งถ้วยวางไว้ น้ำซุปใสจืดชืด ผักเน่าสองสามใบ แม้มันจะร้อนมาก ทว่ารสชาติกลับเย็นชืด
นางมองซูอี้อย่างไม่ละสายตา พลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ วันนี้คือวันเกิดเจ้า แม้เจ้าจะยังเด็ก แต่แม่กลับไม่มีเวลารอได้อีก มีบางอย่างที่จะต้องบอกแก่เจ้า เจ้าต้องจดจำไว้ในใจให้มั่น รู้ไหม?”
ซูอี้เงยใบหน้าเล็กขึ้น “ท่านแม่ ท่านต้องการจะบอกสิ่งใดกับอี้เอ๋อร์?”
นางลูบหัวซูอี้ ขอบตาแดงเล็กน้อย “ต่อแต่นี้ไป หากแม่ไม่อยู่แล้ว เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ไม่ว่าผู้อื่นจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เจ้าต้องพยายามทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป เข้าใจหรือไม่?”
ซูอี้ในวัยสี่ขวบพยักหน้าแรง “อื้ม!”
แต่นางกลับถอนหายใจออกมาด้วยความขื่นขม และเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าระทม “เป็นเพราะแม่ทำให้เจ้าลำบาก หากไม่ใช่เพราะแม่ เด็กอย่างเจ้าจะลำบากขนาดนี้ได้อย่างไร…”
ขณะเอ่ยอยู่ พลันน้ำตาก็ไหลรินลงมา
ซูอี้ในวัยสี่ขวบลุกขึ้น ช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง และเอ่ยอย่างเจ็บปวด “ท่านแม่ ท่านจะร้องไห้ทำไม อี้เอ๋อร์ไม่ลำบากเลย ต่อแต่นี้ไป ข้าจะเชื่อฟังท่าน จะดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตให้ดี ท่านก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย รอมีโอกาสเมื่อใด ข้าจะไปขอร้องบิดา ให้เขามาดูอาการป่วยและรักษาท่าน…”
นางยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ กอดซูอี้ในวัยสี่ขวบไว้แน่น และเอ่ยพึมพำเสียงเบา “อี้เอ๋อร์ แม่… อยากอยู่เคียงข้างเจ้าจนเติบใหญ่จริง ๆ…”
น้ำเสียงค่อย ๆ เบาลง
ซูอี้ในวัยสี่ขวบที่เหม่อลอย ก็สัมผัสได้ทันที ร่างกายมารดาที่กอดเขาอยู่ก็ค่อย ๆ เย็นขึ้น
จนสุดท้ายก็เหมือนกับน้ำแข็ง…
วันนั้น คือวันที่สองต้นเดือนสอง วันเทศกาลมังกรเชิดเศียร
วันเกิดของเขา
และก็เป็นวันที่มารดาเขาจากไป
แสงเทียนสลัวบนโต๊ะนั้น บะหมี่อายุยืนที่รสชาติจืดชืดถ้วยนั้น ร่างไร้วิญญาณที่กอดเขาแน่น กลายเป็นภาพที่มิอาจลบเลือนไปตลอดชีวิต
จู่ ๆ ภาพในความฝันพลันแปรเปลี่ยน
เพียะ!
ซูอี้ถูกตบหน้าอย่างรุนแรง ร่างเขากระเด็นลอยออกไป ประมาณสิบกว่าจั้งแล้วล้มลง ใบหน้าที่หล่อเหลาในตอนแรกบวมแดงขึ้นมาทันที เจ็บปวดแสบร้อน มุมปากมีเลือดไหลออกมา
สองมือเขากำแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง จ้องเขม็งร่างที่อยู่ไกล ๆ นั้น
ร่างนั้นสวมชุดลายงูเหลือมสีม่วง สูงใหญ่ดั่งภูเขา แววตาเย็นชา เผยลมปราณบนร่างที่ทำให้รู้สึกกลัว ประหนึ่งเทพที่น่าเกรงขาม
ซูหงหลี่!
“เจ้าลูกทรพี ข้ารู้มาหลายปีแล้ว เจ้าวางแผนแก้แค้นให้กับหญิงเลวทรามอย่างมารดาเจ้ามาโดยตลอด หากไม่เห็นแก่เลือดข้าที่ไหลเวียนอยู่บนตัวเจ้า ข้าคงจะฆ่าเจ้าไปนานแล้ว!”
สองมือของซูหงหลี่ไพล่หลัง แววตาดุจสายฟ้า ลมปราณทั่วร่างน่าสะพรึงกลัว มองไปที่ซูอี้อย่างเย็นชา
คล้ายกับมองว่าเขาไม่ใช่ลูกชาย แต่เป็นเพียงแมลงที่น่าสงสารและน่าขันตัวหนึ่งเท่านั้น
“ยามนี้ข้าเพียงแค่อยากจะรู้ว่า ใช่เจ้าหรือไม่ที่ฆ่ามารดาข้า!”
ซูอี้เช็ดเลือดที่ไหลตรงมุมปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง นัยน์ตาเขาแดงก่ำ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แปรปรวน
เมื่อถูกซักถามเช่นนี้ ซูหงหลี่จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย และเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “การกระทำของข้าซูหงหลี่ เหตุใดต้องอธิบายให้ผู้อื่นฟัง และยิ่งเป็นลูกไม่รักดีที่ผิดครรลองครองธรรมเช่นเจ้าด้วย?”
“จากนี้อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะใช้นามผู้นำตระกูลซู จัดการเจ้าเพื่อความยุติธรรม!”
เมื่อเอ่ยจบ ซูหงหลี่ก็สะบัดเสื้อและเดินจากไป
ร่างสูงใหญ่ที่น่าเกรงขามนั้น พลันหายไปทันที
ทว่าน้ำเสียงกลับยังดังก้องอยู่ แต่ละคำดั่งคมมีด ทิ่มแทงในใจซูอี้อย่างรุนแรง
เขาขบกรามแน่น จากนั้นถึงได้ระงับความเกลียดชังที่ใกล้ระเบิดภายในใจเอาไว้
“ซูอี้ เจ้าเป็นเพียงแค่ลูกเมียน้อย อีกทั้งการฝึกฝนยังต่ำต้อยไร้ประโยชน์ และไม่ใช่ศิษย์สืบทอดสายนอกอันดับแรกของสำนักดาบชิงเหออีก แม้แต่บิดาเจ้าก็ไม่อยากเจอหน้าเจ้า เจ้าก็ยอมรับโชคชะตาตัวเองเสียเถิด”
คนหนุ่มร่างสูงใหญ่ สวมชุดผ้าไหมผู้หนึ่งเดินเข้ามา ยืนอยู่ต่อหน้าซูอี้ด้วยรอยยิ้ม แววตาแฝงไว้ด้วยความสงสาร
ซูป๋ออิ๋น!
ลูกชายของโหยวชิงจือภรรยาซูหงหลี่!
“แน่นอนว่า ข้าไม่ใช้โอกาสนี้เยาะเย้ยเจ้าหรอก เพียงแต่อยากจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“หลายวันมานี้ มารดาข้าช่วยมองหาเรื่องงานแต่งให้เจ้าแล้ว จากนี้ไป เจ้าก็แต่งไปเป็นลูกเขยอย่างสงบจิตสงบใจก็พอ”
ซูป๋ออิ๋นยิ้มตาหยี่ พลางยื่นมือตบไปบนแก้มซูอี้เบา ๆ การกระทำนั้นสร้างความอับอายขายหน้าให้กับชายหนุ่มยิ่ง
“จริงสิ จากนี้ไปข้าก็ไม่อยากเห็นหน้าเจ้าในมหานครหลวงอวี้จิงอีก ไม่เช่นนั้น ก็อย่าหาว่าข้าที่เป็นน้องชายไร้ความรู้สึกกับเจ้าล่ะกัน!”
…..
ทันใดนั้น ภาพเหล่านี้พลันหายไปราวกับภาพลวงตา
ซูอี้สั่นไปทั้งร่าง และตื่นจากความฝันทันที
เมื่อลืมตามองทิวทัศน์รอบ ๆ ที่คุ้นเคย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมา
ภาพเมื่อครู่ แม้จะเป็นความฝัน แต่เคยเกิดขึ้นจริงกับตัวซูอี้
ในความมืดมิด ซูอี้ลุกขึ้นมาจากเตียง นัยน์ตาที่ลุ่มลึกพรั่งพรูไอเยือกเย็นที่คาดเดาไม่ได้ออกมา
ในความฝันนี้ราวกับได้ย้อนเวลากลับไป ทำให้เหตุการณ์ในอดีตกลายเป็นภาพที่ปรากฏออกมาเพียงชั่วพริบตา แม้จะผ่านไปนานแล้ว แต่ซูอี้ก็เข้าใจดี นี่คือผลกระทบจากความหมกมุ่น
ประหนึ่งมารที่อยู่ในใจ!
เช้าวันต่อมา
ท้องฟ้าที่เพิ่งจะสว่าง เสียงฟ้าครางเปรี้ยงปร้าง พลันฝนตกหนักลงมาทันที เพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ฝนก็หยุดไป
อากาศเหมือนกับฤดูร้อน ราวกับผู้หญิงที่เปลี่ยนไปมาก
ซูอี้ตื่นแต่เช้า หลังจากล้างหน้าเสร็จ ม้วนผมยาวเป็นมวยผมปักด้วยปิ่นไม้ จากนั้นจับร่มกระดาษน้ำมันเอาไว้ และเดินออกไปจากลานซงเฟิงเปี๋ย
เมื่อเดินออกมาจากตรอกเถาฝู ซูอี้จ้างรถม้าหนึ่งคัน ขับตามริมถนนตลาดรุ่ยอันไปทางทิศเหนือ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม
รถม้าก็มาหยุดอยู่ที่ประตูเมืองทิศเหนือ
ซูอี้ลงจากรถม้า นำทองคำหนึ่งแท่งส่งให้สารถี และเอ่ยสั่ง “เจ้ารออยู่ที่นี่”
เมื่อเอ่ยจบ ท่ามกลางสายตามีความสุขของสารถีที่จ้องมอง เขาได้เดินออกไปไกลแล้ว
ทิศเหนือมหานครหลวงอวี้จิง มียอดเขาเรียงรายเป็นแถวยาวราวผ้าไหม จึงถูกเรียกว่า ‘ภูเขาชิงฉี’
ความประทับใจเดียวของซูอี้ที่มีต่อภูเขานี้คือ ปีนั้นในตอนที่อายุสี่ขวบ หลังจากมารดาเยี่ยอวี่เฟยจากไปแล้ว ก็ถูกกลุ่มคนใช้นำมาฝังไว้บนยอดเขาชิงฉีนี้
ซ่า!
เมื่อมาถึงใต้เชิงเขาชิงฉี สายฝนโปรยเทกระหน่ำลงมา ม่านน้ำฝนหนาทึบ กระทบหญ้าไม้ระหว่างเขาจนเกิดเสียงดังขึ้นมา
ซูอี้กางร่มกระดาษน้ำมันออก อาศัยความทรงจำเลือนรางในตอนเด็ก เดินทางไปด้านหน้าเรื่อย ๆ
เป็นเวลานาน เขาก็มาอยู่กึ่งกลางทางขึ้นยอดเขา
ที่นี่มีหญ้าป่าเกิดขึ้น สร้างเป็นเนินหลุมศพ และเนินหลุมศพด้านข้างก็มีต้นสนปลูกไว้
ไม่มีป้ายหลุมศพ
มีเพียงแค่เนินหลุมศพเดี่ยว ๆ ที่มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด
ซูอี้มองเนินหลุมศพนี้ คล้ายกับได้ย้อนกลับไปในตอนสี่ขวบอีกครั้ง
ซึ่งตอนนั้นฝนก็ตกหนักเช่นเดียวกัน ตั้งแต่นำมารดาฝังไว้ในดิน จนถึงตอนสุดท้าย ซูหงหลี่ก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย
ตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงทั้งหมด ก็ไม่มีคนในตระกูลมาเลยสักคน
ซูอี้จำได้ว่า ตัวเองในตอนนั้นเหยียบย่ำอยู่ในโคลนน้ำฝน มองเนินหลุมศพอย่างเหม่อลอย แม้แต่หยดน้ำตาหนึ่งก็ไม่ไหลลงมา
เขาในตอนนั้นอายุยังน้อยนัก และไม่เข้าใจ ว่าการเกิดกับการตายหมายถึงอะไร
จนสุดท้าย ในตอนที่เหล่าคนรับใช้จะพาเขากลับ เขาถึงได้สับสน และตะโกนเสียงดัง “ข้าจะกลับไปพร้อมกับท่านแม่ข้า!”
คนใช้เหล่านั้นต่างก็หัวเราะเสียงดังออกมา บอกว่ามารดาเขาตายไปนานแล้ว หากเขาอยากจะกลับพร้อมกับนาง ก็ต้องตายถึงจะทำได้
จากนั้นก็ไม่สนใจสิ่งใด จับตัวเขาไว้แล้วก็หมุนตัวเดินกลับไป
ไม่ว่าเขาจะร้องไห้ดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่มีผู้ใดปลอบโยนเลย
จากวันนั้น เขาก็กลายเป็นบุคคลที่ไม่มีผู้ใดในตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงสอบถามข่าวคราวเลยสักคน และถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา กดขี่ ถากถาง… เป็นช่วงวัยเด็กที่มีแต่ความมืดมน
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
แม้จะกลับชาติมาเริ่มต้นใหม่ ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องต่าง ๆ ในอดีต ในใจกลับทนความรู้สึกโศกเศร้าที่อธิบายไม่ได้พรั่งพรูออกมา
ในความทรงจำของเขา มารดาเยี่ยอวี่เฟยคือผู้หญิงอ่อนโยน เข้มแข็งมากคนหนึ่ง แม้จะถูกกักขัง และป่วยหนัก นางก็ไม่เคยแสดงความเสียใจออกมาต่อหน้าเขาเลย
เมื่อยืนเงียบอยู่นาน ซูอี้ก็สะบัดแขนเสื้อ
ปราณดาบที่ไม่มีรูปร่างปรากฏออกมา ตัดหญ้าป่าใกล้ ๆ เนิดหลุมศพทิ้ง และถูกสายลมพัดปลิวไปจนสะอาด
“วันที่สี่เดือนห้า ข้าจะไปเอาของเซ่นไหว้ที่ตระกูลซู รอวันที่ห้าเดือนห้า ข้าจะกลับมาหาท่าน”
ซูอี้เอ่ยกับตัวเอง
จากนั้นเขาก็กางร่มกระดาษน้ำมันออก หมุนตัวเดินกลับลงไปใต้เชิงเขา
เขาในชาติก่อน ได้รับยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินแห่งเก้ามหาแดนดิน
แต่นั่นมันก็ผ่านไปแล้ว
เขาในโลกนี้ คือลูกชายของเยี่ยอวี่เฟย!
ในฐานะลูก เขาต้องล้างแค้นให้มารดา สะสางบุญคุณความแค้นในตอนนั้น ขจัดความอึดอัดที่อยู่ในใจ!
เมื่อเดินมาถึงใต้เชิงเขา ซูอี้หยุดชะงักทันที พลันสายตามองไปที่ไกล ๆ ผ่านม่านน้ำฝน
ร่างสูงสง่า ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สองมือไพล่หลัง มองไปทางซูอี้ที่เดินลงมาจากยอดเขาเช่นกัน
ในขณะนั้นเอง มีฟ้าร้องฟ้าแลบแวบวาบไปทั่วท้องฟ้า เสียงดังก้องไปทั่วภูเขา จนรู้สึกอกสั่นขวัญหาย!