บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 318 แขกที่มาช่วยเหลือ
ตอนที่ 318: แขกที่มาช่วยเหลือ
ตอนที่ 318: แขกที่มาช่วยเหลือ
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวแขนกว้าง ผมที่ยาวม้วนขึ้นเป็นมวยผม ใบหน้าราวกับหยก ดูเหมือนจะมีอายุราว ๆ สามสิบหรือสี่สิบกว่าปี
ซูหงหลี่!
ผู้นำตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงแห่งต้าโจว เมื่อหลายปีก่อนคือตำนานที่ถีบตัวเองอยู่ในรายนามสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์และเป็นคลื่นยักษ์ที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘คู่สมบรูณ์แบบแห่งต้าโจว’ กับราชครูหงเซินชาง
ในตอนนี้ แม้ซูอี้จะมีประสบการณ์การฝึกฝนเมื่อหนึ่งแสนแปดพันปีก่อน ทว่ายามนี้ ในส่วนลึกของใจยังมีความเกลียดชังและเคียดแค้นที่มิอาจควบคุมได้ปะทุออกมา
นี่คือความหมกมุ่นที่มิอาจลบเลือนทิ้งไปได้!
แม้มีจิตใจที่แน่วแน่ และเฉลียวฉลาดมาก ก็ยากที่จะคลี่คลายได้
แต่สายตาซูอี้ยังคงเยือกเย็นดั่งสายฟ้า และเฉยเมยเหมือนแต่ก่อน
หมกมุ่นส่วนหมกมุ่น เกลียดส่วนเกลียด ด้วยสภาพจิตใจในยามนี้ของเขา เขาจะไม่เสียการควบคุมในเวลานี้
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก สายลมที่พัดอย่างรุนแรง แม้จะเป็นช่วงเช้าตรู่ ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มดั่งยามเย็น บางครั้งมีฟ้าแลบแวบวาบ สะท้อนภูเขาและแม่น้ำขาวเป็นเงา
ผ่านไปหลายปี สองพ่อลูกได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง!
เพียงแต่ บรรยากาศกลับเยือกเย็นอึดอัดเป็นอย่างมาก
“หลังจากเมื่อวานได้ยินข่าวว่าเจ้ากลับมามหานครหลวงอวี้จิงแล้ว ก็เดาได้ว่า เจ้าจะต้องมาที่นี่ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมาดู”
ซูหงหลี่เริ่มเอ่ย น้ำเสียงสงบธรรมดา ไม่มีอานุภาพใด ๆ และไม่มีความรู้สึกใด นั่นคือการแสดงความเย็นชาและไร้ความรู้สึกอย่างหนึ่ง
เขาไม่ได้กางร่ม ทว่าเมื่อน้ำฝนหยดลงไปบนหัวห่างไปสามฉื่อ ก็เหมือนกับเจอม่านกั้นที่มองไม่เห็นแผ่ปกคลุมไปทั่ว
เมื่อตกอยู่ในสายตาซูอี้ กลับเป็นภาพอีกแบบหนึ่ง
แม้รอบร่างซูหงหลี่จะไม่มีลมปราณพรั่งพรูออกมาเลย ทว่าร่างของเขากลับคล้ายกับภูเขาและแม่น้ำ ฟ้าและดินรวมกันกลายเป็นหนึ่งเดียว
เหมือนกับว่าเขาคือภูเขาและแม่น้ำนี้ คือฟ้าและดินผืนนี้ คือหญ้าต้นไม้ที่อยู่ที่นี่!
“เหตุใดจึงไม่ลงมือ?”
ซูอี้ถาม “ปีนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าหากข้าก้าวเข้ามาในมหานครหลวงอวี้จิง จะฆ่าอย่างไร้ปรานี?”
แววตาซูหงหลี่สงบนิ่ง พลางเอ่ยอย่างไม่แยแส “ข้าก็เคยบอกว่า ให้เวลาเจ้าก่อนวันที่ห้าเดือนห้า ให้โอกาสเจ้ากลับเนื้อกลับตัว ข้าเอ่ยแล้วไม่คืนคำ”
ซูอี้ยิ้มออกมา “เช่นนั้นเจ้าก็รอข้าไปตระกูลซูในวันที่สี่เดือนห้าได้เลย”
เมื่อเอ่ยจบ เขาที่กางร่มกระดาษน้ำมัน ก็เดินออกไปไกล
และไม่หันกลับมามองซูหงหลี่อีก
คนผู้นี้คือบิดาเขา และเป็นคนที่เขาเกลียดที่สุดตั้งแต่เกิด แต่… ตามที่บอกไว้ในจดหมาย วันที่สี่เดือนห้า เขาจะไปสะสางบุญคุณความแค้นนี้ด้วยตัวเอง!
ซูหงหลี่ราวกับแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นซูอี้เดินจากไปโดยไม่สนใจใคร ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
สุดท้าย เขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใด
จนกระทั่งร่างของซูอี้หายลับไปกับม่านน้ำฝน ซูหงหลี่ถึงได้เอ่ยขึ้น “สหายเต๋า พวกเราก็กลับกันเถอะ”
สีหน้าเขานิ่งเรียบ สองมือไพล่หลัง และเดินออกไปไกล
พลันในม่านน้ำฝน ปรากฏชายชราชุดเต๋าออกมาอย่างเงียบ ๆ
เขาเดินอยู่ด้านข้างซูหงหลี่ “เดิมทีข้าคิดว่า เมื่อพวกเจ้าสองพ่อลูกพบกัน จะต้องเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือนแน่ แต่ไม่นึกเลยว่า กลับเหมือนคนแปลกหน้าที่เจอกัน ไม่ถูกคอกัน และเดินจากไป ทำให้ข้าแปลกใจเสียจริง”
ซูหงหลี่เอ่ยทันที “ข้ามาในครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อฆ่าเขาตั้งแต่แรก แต่มาเพราะอยากยืนยันเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น”
ชายชราชุดเต๋าถามด้วยความอยากรู้ “เรื่องอะไร?”
ซูหงหลี่เอ่ยด้วยแววตาลึกซึ้ง “เจ้าลูกทรพีคนนี้… ไม่ได้ถูกสิงสถิต นั่นหมายความว่า สิ่งที่สหายเต๋าเคยคาดเดาไว้นั้นถูกต้องแล้ว เขาอาจจะได้รับการสืบทอดมาจากผู้ถ่ายทอดมรดกที่มีความสามารถมากผู้หนึ่ง”
แววตาชายชราชุดเต๋าแปลกไปเล็กน้อย พลางพยักหน้า “ยอมรับเลยว่า ซูอี้ในยามนี้เปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ ก่อนหน้านี้ข้าเคยมองลมปราณบนร่างเขาด้วย ‘วิชาดวงตาเห็นแจ้ง’ แต่กลับไม่สามารถสัมผัสถึงความลี้ลับใด ๆ เลย…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เขาทำให้ข้ารู้สึกเหมือนกับเหวลึกที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ ยากที่จะคาดเดาระดับเขาได้ ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ”
ซูหงหลี่หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเอ่ย “งั้นรึ เช่นนั้นมันก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ”
ชายชราชุดเต๋าเงียบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยขึ้นทันที “สหายเต๋า ไม่สู้ให้ข้าไปลองหยั่งเชิงซูอี้ดูดีหรือไม่?”
ซูหงหลี่โบกมือ “มิต้อง นี่เป็นเรื่องส่วนตัวข้า สหายเต๋ามิต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง”
…..
ด้านหน้าประตูทิศเหนือมหานครหลวงอวี้จิง
ซูอี้นั่งอยู่บนรถม้า เดินทางกลับลานซงเฟิงเปี๋ย
“ยืมพลังฟ้าดิน ปกปิดลมปราณของตัวเองไม่ให้รั่วไหลออกมาสักนิด หรือกังวลว่าข้าจะดูความลี้ลับบนร่างเขาออก?”
บนรถม้า ซูอี้เอนกายอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน นึกถึงตอนที่เจอกับซูหงหลี่ก่อนหน้านี้ ดวงตาฉายแววครุ่นคิดขึ้นมา
ซูหงหลี่แข็งแกร่งมาก
นี่คือเรื่องที่ไม่ต้องส่งสัย
เมื่อเห็นซูหงหลี่ครั้งแรก ซูอี้รู้ได้ทันที อีกฝ่ายไม่เคยก้าวเข้าไปในเส้นทางวิถีต้นกำเนิดเลย แต่สามารถผสานลมปราณบนร่างเข้ากับฟ้าดินภูเขาและแม่น้ำได้แล้ว
ในจุดนี้ ยิ่งชัดเจนเลยว่า ลมปราณที่ซูหงหลี่หลอมออกมาอยู่ในระดับสูงสุด!
ซูหงหลี่คงเรียนรู้พลังแห่งจังหวะวิถีเหมือนกัน ไม่เช่นนั้น คงมิอาจผสานลมปราณบนร่างตัวเองเข้าด้วยกันกับฟ้าดินภูเขาและแม่น้ำได้
“มิน่า หนิงซือฮวาถึงบอกว่า เมื่อสิบปีก่อน ซูหงหลี่คือบุคคลลึกลับน่าหวาดกลัวที่สุดในบรรดาสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ด้วยตัวตนนี้ สามารถไปหาเรื่องเทพเซียนเดินดินอย่างหลี่ฉางหนิงได้…”
“แต่ นี่เป็นเพียงสิ่งที่เห็นภายนอกเท่านั้น พลังและไพ่ตายแท้จริงของซูหงหลี่คงไม่ธรรมดาเช่นนี้”
“เขาเคยเข้าไปในส่วนลึกหุบเขามารตาข่ายเร้น และได้รับของล้ำค่าชิ้นใหญ่กลับมา หากไม่ใช่ผู้สิงสถิต เช่นนั้นบนร่างเขา จะต้องได้รับการสืบทอดบางอย่างที่มิอาจรู้ หรือเป็นของล้ำค่าบางอย่าง…”
เมื่อซูอี้นึกมาถึงตรงนี้ เขาก็คร้านที่จะคิดลงไปลึกอีก
รอถึงวันที่สี่เดือนห้าเมื่อใด ก็ไปพบซูหงหลี่ด้วยตัวเองดู
“ส่วนชายชราชุดเต๋าที่ซ่อนอยู่ข้าง ๆ ซูหงหลี่… การฝึกฝนบำเพ็ญอยู่ในระดับขอบเขตเปิดทวาร แต่กลับให้ความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย”
ซูอี้ครุ่นคิด
เส้นทางแห่งวิถีต้นกำเนิดมีสามขอบเขตใหญ่ แบ่งเป็นขอบเขตไร้เบญจธัญ ขอบเขตเปิดทวาร และขอบเขตรวบรวมดารา
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เทพเซียนเดินดินที่ซูอี้เจออย่างหลี่ฉางหนิง ฉือเฟิงหลิว ต่างเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญขอบเขตไร้เบญจธัญ
กล่าวอีกอย่าง ชายชราชุดเต๋าผู้นั้นคือผู้ฝึกตนขอบเขตขอบเขตเปิดทวารคนแรกที่ซูอี้พบเจอ
ก่อนหน้านี้ ชายชราชุดเต๋าใช้วิชาลับสอดแนมซูอี้ ดูเหมือนจะราบรื่น แต่จริง ๆ แล้วซูอี้ได้ใช้จิตสัมผัสซ่อนลมปราณของตัวเองทันที ทำให้อีกฝ่ายมิอาจสัมผัสได้ถึงเบาะแสใด ๆ เลย
กลับกันซูอี้ก็ใช้โอกาสนี้ แอบดูการบำเพ็ญของชายชราชุดเต๋าโดยตรง
ขอบเขตเปิดทวาร คือการใช้พลังต้นกำเนิดเปิด ‘ขอบเขตเปิดทวาร’ ภายในตันเถียน ด้วยรากฐานนี้ สามารถบรรจุลมปราณนับหมื่นในร่างตัวเอง ควบคุมให้ปรากฏอยู่ภายในและออกมาแปรสภาพด้านนอก ระดับการบำเพ็ญและพลังเหนือขั้นกว่าขอบเขตไร้เบญจธัญมาก
แน่นอนว่า จะแข็งแกร่งอีกแค่ไหนก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนบนเส้นทางแห่งวิถีต้นกำเนิด
ยังไม่มากพอที่จะทำให้ซูอี้กลัวจนหัวหด
“คุณชาย ถึงตรอกเถาฝูแล้ว”
รถม้าหยุดลง ซูอี้ฟื้นสติจากการครุ่นคิด เขาลุกขึ้น และเดินลงจากรถม้า
ฝนหยุดตกแล้ว ท้องนภาสว่างสดใส
ซูอี้เก็บร่มกระดาษน้ำมัน แล้วเดินไปทางลานซงเฟิงเปี๋ย
ที่ไกล ๆ นั้น เขามองเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าประตูลานซงเฟิงเปี๋ย
คนแรกคือชายหนุ่มที่สวมหมวกสีม่วงทอง สวมชุดผ้าไหม หล่อเหลาสง่างาม ทั่วร่างมีกลิ่นอายทายาทตระกูลสูงศักดิ์แผ่ออกมา
ข้าง ๆ เขามีสามคนยืนอยู่
หนึ่งคือชายชราสวมหมวกผ้าแพรสีดำ สวมชุดสีแดง ใบหน้าขาวไม่มีหนวดเครา มือหนึ่งถือแส้ขนหางจามรี และร่างโก่งค่อมเล็กน้อย
สองคือชายที่มีหนวดเคราผมเผ้าไม่เรียบร้อย ผิวสีแทน กอดดาบไว้ในอ้อมแขน
สามคือผู้หญิงงดงามอ่อนช้อย สวมชุดกระโปรงสวยหรู
เมื่อเห็นร่างซูอี้ปรากฏตัวออกมา ชายหนุ่มรูปงามสวมชุดผ้าไหมคนแรกสูดหายใจเข้าลึก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มต้อนรับ “โจวผู้นี้มาเยี่ยมเยือนโดยพลการ หวังว่าคุณชายซูจะไม่ถือโทษ”
สายตาของชายชราชุดแดง ชายวัยกลางคนที่กอดดาบไว้และผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูมองไปทางซูอี้พร้อมกัน
“เจ้าคือ?” ซูอี้ถาม
“คุณชายซู ท่านนี้คือองค์ชายสามโจวจือเจิ้น วันนี้เดินทางมาเยี่ยมเยือนท่าน”
ชายชราชุดแดงแนะนำพร้อมกับรอยยิ้มอยู่ที่อีกด้าน น้ำเสียงอ่อนโยน
ซูอี้ส่งเสียงเป็นอันว่าเข้าใจออกมา “ที่แท้คือองค์ชายสามคนนั้นนี่เอง ข้าจำได้ระหว่างทางที่เดินทางไปแคว้นกุ่นตอนนั้น ช่วยฉางกั้วเค่อสังหารปรมาจารย์ไปสองสามคน คนเหล่านั้นเหมือนจะเป็นคนใต้บังคับบัญชาของเจ้าสินะ หรือวันนี้เจ้ามาหาข้าเพื่อแก้แค้น?”
โจวจือเจิ้นมีสีหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง และเอ่ยด้วยรอยยิ้มทันที “คุณชายซูเข้าใจผิดแล้ว เรื่องเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้ว อีกอย่าง เหล่าคนใต้บังคับบัญชาไม่เปิดหูเปิดตา แพ้ในน้ำมือคุณชายซู ก็สมควรแล้ว ขออย่าได้เอ่ยถึงมันอีกเลย”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยความรู้สึกปลง “คุณชาย ให้พวกข้าเข้าไปคุยในลานซงเฟิงเปี๋ยได้หรือไม่?”
ซูอี้กลับเอ่ยปฏิเสธ “มีสิ่งใด เจ้าก็พูดออกมาตรงนี้เถิด”
นั่นทำให้ชายชราชุดแดงและคนอื่น ๆ ต่างก็ขมวดคิ้ว นี่คือกิริยาอะไรกัน?
“คุณชายซู ที่นี่คือนครหลวงอวี้จิง และคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าท่านคือองค์ชายสามองค์ปัจจุบัน ที่พวกเรามาในครานี้ก็เพื่อช่วยเหลือท่าน ท่านกลับทำกิริยาเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่สุภาพเสียล่ะกระมัง?”
น้ำเสียงหญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูเย็นยะเยือก
“ช่วยข้า? หมายความว่าอย่างไร?” ซูอี้รู้สึกแปลกใจทันที
พลันโจวจือเจิ้นก็กระแอมออกมา “คุณชายซู พูดตามตรง วันนี้ที่โจวผู้นี้มา เป็นเพราะเรื่องของคุณชายจริง ๆ”
ซูอี้เอ่ย “พูดมาข้าจะฟัง”
โจวจือหลี่สูดหายใจเข้าลึกพลางเอ่ย “ดูเหมือนคุณชายก็น่าจะเข้าใจดี สถานการณ์ของท่านในยามนี้อันตรายเพียงใด กล่าวได้เลยว่าทุกย่างก้าวอาจมีการดักซุ่มโจมตี หากไม่ระวัง ก็อาจตายได้”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย และเอ่ยด้วยความมั่นใจลำพองตน “แต่โจวผู้นี้กลับมีวิธีที่จะช่วยคุณชายพลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้”
ซูอี้เลิกคิ้วครู่หนึ่ง เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เจ้าน่ะรึ?”
กิริยาที่เหยียดหยามเช่นนี้ ทำให้ชายชราชุดแดงและคนอื่น ๆ ยิ่งขมวดคิ้วขึ้นไปอีก สายตาที่มองไปทางซูอี้ไม่พอใจเล็กน้อย
องค์สายสามให้เกียรติมาเยี่ยมด้วยตัวเอง หวังช่วยเจ้าคลายความกลัดกลุ้มใจ แต่กิริยานี้ของเจ้าคืออะไรกัน?
ในใจโจวจือเจิ้นก็รู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย แต่เขาควบคุมเอาไว้ได้ดี และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังเป็นองค์ชายคนหนึ่ง อยู่ในมหานครหลวงอวี้จิงนี้ ก็ยังพอมีอำนาจอยู่บ้าง”
“เพียงแค่คุณชายซูรับปากข้าเรื่องหนึ่ง ข้ารับรองว่า ไม่ว่าจะเป็นตระกูลซู สำนักดาบมังกรเร้น รวมถึงคนที่เห็นท่านเป็นศัตรู ก็มิกล้าชี้นิ้วมาที่คุณชายอีก”
“รับปากเจ้าเรื่องอันใด?”
ซูอี้ถาม แววตามีความหยอกล้อ
สายตาโจวจือเจิ้นกวาดมองไปรอบ ๆ จากนั้นถึงได้เอ่ยสีหน้าจริงจัง “รับปากว่าจะถวายความภักดีต่อเสด็จพ่อข้า และถวายความภักดีต่อ… ข้า!”