บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 319 ละครเด็ดฉากนี้จะเริ่มแสดงเมื่อใด
ตอนที่ 319: ละครเด็ดฉากนี้จะเริ่มแสดงเมื่อใด
ตอนที่ 319: ละครเด็ดฉากนี้จะเริ่มแสดงเมื่อใด
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “เจ้ารีบไปจากที่นี่เร็ว ๆ จะดีกว่า”
โจวจือเจิ้นทนไม่ไหวกล่าวขึ้นมา “คุณชายซู ขอเรียนถามแผ่นดินต้าโจวในตอนนี้ นอกจากเสด็จพ่อของข้าแล้ว ใครกันที่สามารถปกป้องเจ้าได้อีก?”
ชายชราชุดแดงก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “คุณชายซูเก่งถึงขั้นสามารถฆ่าเทพเซียนเดินดินได้ ไม่เกรงกลัวภัยอันตราย แต่คุณชายคงยังจะไม่รู้ว่านครหลวงอวี้จิงในตอนนี้ ที่แท้แล้วอันตรายน่ากลัวมากเพียงใด? อย่างไรก็แล้วแต่ คุณชายจงคิดให้รอบคอบ”
หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูกล่าว “คุณชายซูเป็นคนหนุ่มมีความสามารถ หนทางวันข้างหน้ายังกว้างไกล เหตุใดต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับอันตรายด้วย? ยิ่งกว่านั้น คุณชายเลือกที่จะจงรักภักดีต่อฝ่าบาทกับองค์ชายสาม มีแต่ประโยชน์ไม่มีผลร้าย คนฉลาดย่อมรู้ด้วยกันทั้งสิ้นว่าต้องเลือกเอาอย่างไหน”
เห็นว่าชายวัยกลางคนที่อุ้มดาบกำลังจะเอ่ยพูด ซูอี้ยกมือขึ้นห้าม “เชิญ ไม่ส่ง”
พูดจบก็ย่างเท้าเดินตรงไปยังลานซงเฟิงเปี๋ย
“เจ้า…”
โจวจือเจิ้นสีหน้าเคร่งเครียด
ชายชราชุดแดงส่งเสียงฮึกล่าวเสียงเย็นชา “คุณชายซู องค์ชายสามปรารถนาดีจึงมาช่วยเหลือ แต่เจ้ากลับแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อองค์ชายสามอย่างนั้นรึ?”
ซูอี้หยุดเดินแล้วหมุนตัวกลับมา สายตาเย็นยะเยือกก่อนจะกล่าว “ต้องการจะถือโอกาสในตอนนี้ ให้ข้าซูผู้นี้ก้มหัวรับใช้เท่านั้น เช่นนี้ก็เรียกว่าช่วยเหลือเช่นนั้นหรือ? ขอเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย รีบไปจากที่นี่ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
สีหน้าของโจวจือเจิ้นยิ่งบูดเบี้ยวมากขึ้นกว่าเดิม
เขาไม่นึกเลยว่าตัวเองมาหาถึงที่เช่นนี้แล้ว ทว่าซูอี้กลับไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย ท่าทีหยิ่งผยองเช่นนั้น ราวกับไม่เคยมองเขาผู้เป็นองค์ชายสามอยู่ในสายตาเลย
ชายชราชุดแดงขมวดคิ้วแน่น ไม่เข้าใจมากเช่นกัน
ตามที่เขารู้มา ซูอี้เคยทำงานรับใช้ข้างกายองค์ชายหกมาก่อน คิดว่าองค์ชายสามมาหาด้วยตนเอง ทั้งยังรับปากว่าจะช่วยปกป้องเขา เช่นนี้ซูอี้น่าจะทำงานรับใช้องค์ชายสามได้
แต่ใครกันจะคิดว่าซูอี้กลับแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา!
“ไม่เกรงใจ? ซูอี้ ที่นี่เป็นนครหลวงอวี้จิง อยู่ใต้พระเนตรขององค์จักรพรรดิ ตัวเจ้าเองยังเอาตัวไม่รอด ยังกล้าประมือกับพวกเราอีกเช่นนั้นหรือ?”
ผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูหัวเราะเย็นชาไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย
นางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าพลังของซูอี้นั้นมีความน่ากลัวมาก ทว่านางไม่เชื่อหรอกว่าในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ ซูอี้จะกล้าผิดใจกับพวกเขา
เพราะอย่างไรเสียก็ดี หากเป็นตัวตนที่ปกติธรรมดาล้วนเข้าใจดีว่าผลของการทำเช่นนี้มันร้ายแรงมากเพียงใด!
ซูอี้ชายตามองดูนางสักครู่ กล่าว “หากเจ้าพูดมากกว่านี้อีกแค่คำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า ไม่เชื่อก็ลองดู”
ผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูปล่อยหัวเราะออกมา กล่าว “เจ้า…”
เอื๊อก!
ดาบเล่มหนึ่งแทงทะลุคอหอยของผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรู
ลูกนัยน์ตาของนางเบิกกว้าง เขียนติดเต็มหน้าว่ายากนักจะเชื่อ ส่งเสียงฮือ ๆ ออกมาจากริมฝีปาก สุดท้ายสองมือกุมคอล้มหงายลงกับพื้น
ตุบ!
เสียงดังหนัก ๆ ราวกับค้อนใหญ่ตอกหัวใจ
โจวจือเจิ้น ชายชราชุดแดง กับผู้ชายวัยกลางคนอุ้มดาบพากันสีหน้าเปลี่ยน ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าซูอี้จะลงมือรวดเร็วเฉียบขาดเช่นนี้!
พวกเขาไม่แม้แต่จะมองเห็นว่าซูอี้ลงมือเช่นใด!
รวดเร็วมาก ทำให้พวกเขาตั้งตัวไม่ทัน อย่าว่าแต่ออกไปห้ามเลย
“ซูอี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”
ผู้ชายวัยกลางคนอุ้มดาบตะคอกด้วยความโกรธอย่างแรง
เมื่อก่อนหน้านี้เขานิ่งเงียบมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้ เป็นเพราะการตายของสตรีนางนั้นทำให้เขาโกรธอย่างที่สุด
“เจ้าพูดมากอีกแค่คำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าในแบบเดียวกัน”
ซูอี้กล่าวราบเรียบ
ผู้ชายวัยกลางคนอุ้มดาบตัวแข็งทื่อ หน้าเขียวปั้ด แต่ไม่กล้าพูดอะไรอีก
โจวจือเจิ้นสูดลมหายใจลึก ๆ ราวกับต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง
ขณะนี้เอง ซูอี้เบนสายตามองไป กล่าว “เจ้าก็เช่นกัน”
โจวจือเจิ้นสะดุ้งราวกับไม่คาดคิดมาก่อนว่าซูอี้จะกล้าใช้วิธีเดียวกันนี้ข่มขู่ตนเองผู้เป็นองค์ชาย!
ทว่าเมื่อเผชิญกับสายตาอันราบเรียบสงบนิ่งไร้ความรู้สึกของซูอี้แล้ว เขาก็ได้แต่ตัวสั่นสะท้านขึ้นมา แล้วกลืนคำพูดที่มาถึงปากแล้วลงท้องไป
ชายชราชุดแดงเห็นเช่นนี้แล้ว ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก?
“นำศพกลับไปด้วย”
ซูอี้ชี้ไปที่ร่างของสตรีสวมชุดกระโปรงสวยหรูนางนั้น
เห็นได้ชัดว่าโจวจือเจิ้นโมโหจนแทบระเบิด ในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนเดินดินก็ยังต้องให้ความเกรงใจในฐานะที่เขาเป็นองค์ชาย
เขาเคยได้รับการสบประมาทเช่นนี้เมื่อไรกัน?
ทว่าเขากลับไม่กล้าเอ่ยปากพูด ไม่กล้าเอาชีวิตของตัวเองเข้าเสี่ยง ความโกรธเกรี้ยวและอับอายที่อัดแน่นในใจทำให้เขารู้สึกอึดอัดยากจะทน
ในที่สุด เขากัดฟัน จ้องดูซูอี้เขม็งแล้วหมุนตัวกลับไป
ชายชราชุดแดงกับชายวัยกลางคนอุ้มดาบเห็นเช่นนี้แล้วรีบนำศพของผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสวยหรูนางนั้นออกไปพร้อมกัน
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครกล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว
จนกระทั่งออกจากตรอกเถาฝูไปแล้ว จึงได้ยินเสียงตะคอกด้วยความโกรธของโจวจือเจิ้นดังมาแต่ไกล
“ซูอี้ ตอนที่เจ้าตาย ข้าจะมาเก็บศพเจ้าด้วยตัวเอง!”
ซูอี้ได้แต่หัวเราะไม่ได้ใส่ใจ จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปในลานซงเฟิงเปี๋ย
โกรธจนส่งเสียงด่าตะคอกอย่างรุนแรงลับหลัง คนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่ไร้ความสามารถอย่างที่สุด
กลับถึงห้อง ซูอี้นั่งขัดสมาธิลง หยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมา เทโอสถเม็ดใสแวววาวออกมาเม็ดหนึ่ง
โอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจร!
เป็นหนึ่งใน ‘สี่มหาโอสถวิญญาณวิถีต้นกำเนิด’ ที่ ‘สำนักโอสถกระจ่าง’ สำนักหลอมโอสถอันดับหนึ่งในเก้ามหาแดนดินผลิตขึ้นมา
และก็เป็นโอสถวิญญาณอันดับหนึ่งที่ใช้สำหรับสร้างรากฐานเวลาที่ผู้ฝึกตนก้าวสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิด เป็นโอสถวิญญาณที่ขึ้นชื่อในแผ่นดิน
ถึงตอนนี้ โอสถอันสูงค่าเช่นนี้กลับถูกซูอี้ใช้เพื่อฝึกฝนขอบเขตปรมาจารย์
อีกทั้ง ตั้งแต่วันที่เจ็ดเดือนสี่หลังออกจากขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาในวันนั้นแล้ว ทุก ๆ สามวัน เขาก็จะนำออกมากินหนึ่งเม็ด
จนถึงตอนนี้กินเป็นเม็ดที่สามแล้ว
หากว่าอยู่ในมือผู้ฝึกตนขอบเขตไร้เบญจธัญ โอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรหนึ่งเม็ดก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาสร้างรากฐานมหาวิถีที่แข็งแกร่งได้
ทว่าเมื่อนำมาใช้กับซูอี้ โอสถวิญญาณเช่นนี้สามเม็ดเพียงแค่ทำให้การฝึกตนของเขาบรรลุถึงขอบเขตปรมาจารย์ขั้นที่สี่อย่างสมบูรณ์เท่านั้น
แกนสำคัญอยู่ตรงที่ รากฐานมหาวิถีของเขานั้นแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่จนเกินไป พื้นฐานมหาวิถีในตัวล้วนเรียกได้ว่าหายากในพันปี
“หากสามารถหลอมเปิด ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ สำเร็จ ข้าก็จะสามารถบงการดาบฆ่าศัตรู แสดง ‘ดาบดินแดนห้าธาตุ’ ออกมาได้ ถึงเวลานั้น การฆ่าฉือเฟิงหลิวผู้ที่ฝึกฝนภาวะดาบสำเร็จภายในดาบเดียว ก็ไม่ต่างอะไรไปจากหยิบของในย่าม”
“นอกจากนี้ เมื่อสำเร็จเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ ห้าอวัยวะประดุจเตาหลอม กำลังร่างกายเทียบได้กับร่างทองอำพันของสำนักพุทธ สามารถบดขยี้ดาบลึกลับวิถีต้นกำเนิดด้วยมืออย่างง่ายดาย”
“ส่วนพลังจิตวิญญาณ สามารถฝึก ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ ได้ อานุภาพนั้นยิ่งใหญ่กว่าเคล็ดดาบนภาไร้วิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่รับมือกับพลังจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิด สามารถสำแดงอานุภาพการทำลายล้างแบบล้างผลาญได้”
“แต่ว่า ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ นั้นรุนแรงเกินไป พลังจิตวิญญาณที่สูญเสียมีมากเกินไป ไม่ถึงเวลาจำเป็นจริง ๆ อย่านำมาใช้จะเป็นการดี”
ซูอี้กินโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรไปเม็ดหนึ่งแล้ว ด้านหนึ่งฝึกตน อีกด้านหนึ่งคิดพิจารณา
การเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงอย่างแท้จริงของขอบเขตปรมาจารย์ เริ่มตั้งแต่ขั้นห้า
สี่ขั้นแรกเป็นเพียงแค่การสั่งสม เมื่อถึงขั้นห้าแล้วเนื้อแท้จึงจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง
ถึงเวลานั้น อวัยวะทั้งห้าเป็นเตาหลอม กอปรกับเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ สามารถทำให้จิตวิญญาณ ร่างกาย ผลการฝึกในตัวผู้ฝึกตนเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าผันแผ่นดิน
และก็มีแต่บรรลุถึงขอบเขตนี้แล้วเท่านั้น จึงจะมีพื้นฐานสำแดงเคล็ดวิชาเหล่านี้
ดังเช่น ‘ดาบดินแดนห้าธาตุ’ เป็นเคล็ดดาบสะท้านโลกวิชาหนึ่งที่ซูอี้คิดค้นเมื่ออดีตชาติ ติดอันดับ ‘คัมภีร์สามสิบสามวิถีดาบแดนดิน’
ความลึกลับในเคล็ดวิชาเกี่ยวข้องกับการใช้มหาวิถีห้าธาตุอันลึกล้ำ
ต่ำกว่าผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดล้วนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะฝึกฝนคัมภีร์ดาบเช่นนี้
เช่นเดียวกัน หากว่าซูอี้ไม่อาจฝึกฝนพื้นฐานมหาวิถีอย่าง ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ในขอบเขตปรมาจารย์ได้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสำแดงอานุภาพเคล็ดดาบสะท้านโลกที่แท้จริงออกมา
ดังเช่น ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ เป็นวิชาสุดยอดแขนงหนึ่งของผู้ฝึกจิตวิญญาณ ไม่ถึงกับล้ำลึกมากนัก แต่ก็เป็นเคล็ดวิชาวิชาที่เจาะจงในด้านพลังจิตสัมผัส ซึ่งมีความร้ายกาจยิ่งนัก
ด้วยพลังจิตสัมผัสที่มีอยู่ในตอนนี้ของซูอี้จึงสามารถแสดงเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาได้ ทว่าในชั่วขณะที่บุกโจมตีอาจทำให้จิตสัมผัสตกอยู่ในสภาวะอ่อนล้า
มีแต่พลังจิตวิญญาณบรรลุอีกครั้งจึงจะสามารถแสดงเคล็ดวิชานี้ออกมาได้อย่างงดงาม
โดยสรุปคือสำหรับซูอี้ ผู้ที่มีประสบการณ์ในอดีตชาติอย่างเขา เดิมทีมีความช่ำชองในเคล็ดวิชามากมายหลายแบบ ไม่มีทางขาดแคลนวิชาการสู้รบฟาดฟัน
และแน่นอน เงื่อนไขก็คือผลการฝึกตนจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องซึ่งกันและกัน
“ด้วยความเร็วในการฝึกฝนของข้าตอนนี้ ไม่น่าเกินเจ็ดวันก็สามารถย่างเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ขั้นห้าได้อย่างแท้จริง…”
ซูอี้แอบคิดในใจ
เขาไม่ได้ร้อนใจจนเกินไปนัก
แม้ว่านครหลวงอวี้จิงแห่งนี้จะเต็มไปด้วยภัยอันตราย ทว่าเขาก็ไม่ค่อยให้ความสนใจจนเกินไปนัก อาศัยพละกำลังในตอนนี้ของตัวเองก็เพียงพอที่จะรับมือกับอันตรายทั้งสิ้นแล้ว
สำหรับซูอี้ กลับชาติมาเกิดและฝึกตนอีกครั้ง แต่ละก้าวของการฝึกฝนต้องล้ำหน้าเกินกว่าพื้นฐานมหาวิถีในชาติที่แล้วจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
——
วังหลวง
ในตำหนักอันใหญ่โตน่ายำเกรง
จักรพรรดิโจวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินทั้งตัวนั่งสง่าอยู่บนบัลลังก์มังกร พลางนวดหัวคิ้วถอนหายใจยาว “เหตุใดข้าจึงมีบุตรเช่นเจ้าได้”
พูดจบ เขาก็นั่งตัวตรง สายตาลุ่มลึกจนน่ากลัว “หนุ่มน้อยผู้มีความสามารถฆ่าเทพเซียนเดินดินได้ แต่เจ้ากลับไปเรียกให้เขามาทำงานรับใช้? เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าผู้ฝึกตนเช่นนั้นจะเกรงกลัวอำนาจกษัตริย์ในโลกสามัญเช่นนี้?”
องค์ชายสามโจวจือเจิ้นคุกเข่าหมอบกราบอยู่ตรงนั้นด้วยอาการตัวสั่นงันงก กล่าว “เสด็จพ่อ บุตรต้องการจะถือโอกาสนี้ดึงรั้งคนหนุ่มมีฝีมือดีให้เสด็จพ่อ…”
ไม่รอให้พูดจบ จักรพรรดิโจวก็หัวเราะเย็นชาพลางกล่าว “เหลวไหล! ข้าอยากจะถามเจ้า ที่แท้แล้วเจ้าต้องการทำเช่นนี้เอง หรือว่าถูกใครคนอื่นสั่งสอนมากันแน่?”
โจวจือเจิ้นอ้าปากอยากจะพูด ทว่าจักรพรรดิโจวกลับกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าต้องการจะฟังความจริง! หากว่ามีคำเท็จแม้แต่คำเดียว ข้าจะปลดเจ้า!”
โจวจือเจิ้นสั่นไปทั้งตัว โขกศีรษะกล่าว “เสด็จพ่อ เมื่อคืนนี้บุตรกับพี่รองดื่มสุราด้วยกัน พี่รองบังเอิญเอ่ยขึ้นมาว่าหากเก็บซูอี้มาใช้ประโยชน์ได้ ย่อมสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับต้าโจวของเราได้ และยังทำให้ข้างกายเสด็จพ่อมีคนเก่งเพิ่ม…”
แววตาของจักรพรรดิโจวมีประกาย ถอนใจรำพัน “จริง ๆ คนโง่อย่างเจ้าเหมาะนักที่จะถูกคนอื่นหลอกใช้”
เขาโบกมือ “เจ้าถอยออกไปเถิด นับแต่วันนี้เป็นต้นไป จงสำนักความผิดอยู่ในตำหนักของตัวเอง หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามก้าวออกมาข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียว!”
ในน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความผิดหวังและเหนื่อยหน่ายถึงที่สุด
โจวจือเจิ้นเสียขวัญราวกับหมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรงกำลังในทันใด
เขาเข้าใจแล้วว่าตลอดชาตินี้ของตัวเองยากนักจะเข้าใกล้บัลลังก์มังกรตัวนั้นอีกแม้แต่ก้าวเดียว
จนกระทั่งโจวจือเจิ้นออกไปแล้ว จู่ ๆ จักรพรรดิโจวก็เอ่ยขึ้น “ราชครู เจ้าว่าหากข้าไปหาซูอี้ด้วยตนเอง เขาจะยอมทำงานรับใช้ข้าหรือไม่?”
หงเซินชางยืนสงบอยู่อีกด้านของตำหนักนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าว “กราบทูลฝ่าพระบาท ก็ต้องดูว่าซูอี้จะสามารถเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของซูหงหลี่ผู้เป็นบิดาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิโจวส่งเสียงร้องอ้อ จากนั้นจึงกล่าว “ตอนนี้ซูอี้มาถึงนครหลวงอวี้จิงแล้ว เช่นนั้นคณะทูตของต้าเว่ยกับต้าฉินมีความเคลื่อนไหวอันใดหรือไม่?”
นัยน์ตาสีทองอ่อน ๆ ของหงเซินซางผุดประกายแสงลุ่มลึกน่ากลัว พลางกล่าว “ฝ่าพระบาทไม่ต้องทรงเป็นห่วงเรื่องเหล่านี้ ขอเพียงซูอี้ยังอยู่ในนครหลวงอวี้จิง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีคนทนไม่ไหวโผล่หัวออกมาก่อนอย่างแน่นอน!”
จักรพรรดิโจวหัวเราะ ก่อนจะกล่าว “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็คอยดูต่อไปอย่างสงบ ดูสิว่าละครเด็ดฉากนี้จะเริ่มแสดงเมื่อใด!”