บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 32 ภูตผีสิงสถิตต้นไม้
ตอนที่ 32 ภูตผีสิงสถิตต้นไม้
แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องอาบบ้านทั้งหลัง ชวนอบอุ่นสบาย
ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ขณะมัดกิ่งหลิว
ทั้งบ้านสะอาดสะอ้าน พื้นที่กว้างขวาง
หูเฉวียนนำผ้านวม ผ้าปูเตียง และของอื่น ๆ มาให้ ทั้งยังซ่อมแซมกำแพงซึ่งมีตะไคร่และไม้เลื้อยเกาะ
แพทย์ทั้งสามคนรวมถึงอู๋กว่างปินกลับไปทำการรักษาที่สำนักแพทย์ซิ่งหวง
ซูอี้ผู้เป็นเถ้าแก่นั่งพักอย่างสบายอารมณ์
“พี่ซู ไก่ตัวนี้ใช้ทำสิ่งใดหรือ?”
ไม่ห่างออกไป หวงเฉียนจวินกำลังเบื่อหน่ายจึงหยอกเย้าไก่ที่ตนเพิ่งไปซื้อมาเล่น
ไก่ตัวนี้โมโหร้ายมากทีเดียว ทั้งกรงเล็บและจงอยปากคม เดินว่องไวราวสายลม ร้องขันเสียงดังลั่น
ระหว่างไปเลือกซื้อหวงเฉียนจวินพาข้ารับใช้มากกว่าสิบคนไปด้วย เพื่อเฟ้นหาทั่วตลาดเพียงเพื่อไก่ตัวโตทรงพลังที่สุด
“ฆ่าเอาเลือดมาใช้” ซูอี้ออกปากสั่งเรียบเฉย
หลังจากได้เผชิญกับเหตุการณ์ในวันนี้ ซูอี้พลันรู้สึกว่าการมีข้ารับใช้ข้างกายมิใช่เรื่องย่ำแย่ ช่วยประหยัดทั้งเวลาและกำลังของเขาได้มาก
“ได้เลย!” หวงเฉียนจวินดึงมีดสั้นที่เหน็บไว้ที่เอวและเริ่มลงมือทันที
ในไม่ช้า เขานำชามเลือดไก่สีสดมาให้ซูอี้
“ดีมาก หมดเรื่องของเจ้าแล้ว กลับไปได้”
ซูอี้หยิบกิ่งต้นหลิวจุ่มปลายลงในชามเลือดไก่
หวงเฉียนจวินท่าทางกระอักกระอ่วน “พี่ซู คนของเหวินฉางชิงที่สำนักแพทย์ซิ่งหวงต่างถูกท่านซื้อใจหมดแล้ว ข้าว่าหากเขารู้คงไม่ยอมรามือเป็นแน่ ท่านต้องการให้ข้าขอให้ท่านพ่อปรามเหวินฉางชิงหรือไม่?”
ซูอี้มองหน้าเขาก่อนตอบ “หากเจ้าอยากจะช่วยข้า เจ้าจงช่วยไปสืบให้ข้าว่าใครมีฝีมือในการทำอาวุธดีที่สุดในเมืองกว่างหลิงมาให้ข้าจะดีกว่า”
ฝั่งหวงเฉียนจวิน เมื่อได้ยินประโยคของซูอี้นี้กระตือรือร้นทันทีพร้อมกล่าวขึ้น “พี่ซู เรื่องนี้ง่ายดายนัก ตระกูลหวงของข้าผูกขาดกิจการทำอาวุธในเมือง มีช่างฝีมือมากกว่าสามสิบคน เพียงบอกมาว่าท่านต้องการอาวุธแบบใด ข้าสัญญาว่าจะสรรหาช่างมือฉกาจที่สุดมาให้ท่าน!”
ซูอี้รับรู้อยู่แล้วว่าสามตระกูลใหญ่ในเมืองกว่างหลิง ตระกูลเหวินผูกขาดในกิจการการแพทย์ ตระกูลหลี่ครอบครองกิจการการเกษตร ขณะตระกูลหวงมีอิทธิพลในแวดวงการทำอาวุธ
“ข้าตั้งใจจะตีดาบสักเล่ม” ซูอี้บอก
หวงเฉียนจวินพลันยิ้มและเอ่ยคำ “ตีดาบอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นต้องไปหาหวังเทียนหยาง เขาเชี่ยวชาญการทำดาบที่สุดในเมือง ท่านต้องได้ดาบชั้นดีจากเขาแน่นอน”
ซูอี้พยักหน้าพลางบอก “พรุ่งนี้เจ้ามาที่นี่แต่เช้า พาข้าไปพบเขาที”
หวงเฉียนจวินตอบตกลงพร้อมกล่าว “พี่ซู มีสิ่งใดไหว้วานอีกหรือไม่?”
เมื่อพูดถึงการช่วยเหลือซูอี้ เขายินดียิ่งนัก
“เจ้ากลับไปได้แล้ว” ซูอี้โบกมือไล่
“พี่ซู เช่นนั้นข้ามาหาท่านพรุ่งนี้!” หวงเฉียนจวินโค้งลาก่อนเดินทางกลับไป
เขารู้สึกสุขีไม่น้อย แต่หากเขาติดสอยห้อยตามซูอี้ไปทุกเมื่อ เขาคงไม่พ้นเป็นที่รำคาญใจของอีกฝ่าย
ไม่ต่างจากเมื่อครั้งเขาเที่ยวสถานประเวณี สิ่งที่รบกวนใจเขาที่สุดคือเด็กรับใช้ที่พ่อของเขาส่งมาตามประกบ…
หลังจากจุ่มกิ่งหลิวกับเลือดไก่ ซูอี้คว้ามีดอีกเล่มมาสับไม้ต้นท้อให้ได้ความยาวเกือบจั้ง
เปลือกไม้ถูกเหลาออก ไม่นานจึงกลายเป็นดาบไม้สีน้ำตาลแดง
เมื่อตระเตรียมทุกอย่างเสร็จ ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่พลางยกดาบไม้ที่เหลาจากกิ่งต้นท้อขึ้นมาส่อง ก่อนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“รอคืนนี้แล้วกัน”
ซูอี้แกว่งไกวดาบไม้ท้อฉวัดเฉวียน พลางเหลือบมองกิ่งหลิวชุ่มเลือดไก่
เลื่อนสายตาไปยังต้นแคฝรั่งซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป
ต้นแคฝรั่งตนนี้… มีภูตผีสิงสถิตอยู่ด้านในนั้น!
ต้นไม้ต้นนี้มากไปด้วยพลังงานหยิน จึงดึงดูดให้ภูตผีวิญญาณร้ายเข้ามาสิงสู่
ฮวงจุ้ยของบ้านหลังนี้ไม่ดีนักด้วยตำแหน่งของต้นแคฝรั่ง ยังมีบ่อน้ำที่ขุดเอาไว้ด้านข้าง เปิดช่องทางให้พลังงานหยินและผีร้ายขึ้นมาจากพื้น ทำให้บ้านหลังนี้กลับกลายเป็น ‘บ้านผีสิง’ ในสายตาปุถุชนทั่วไป
“บ่อน้ำถูกปิดเอาไว้ ดูเหมือนบางคนจะรู้แล้วว่ามีปัญหาที่บ่อน้ำนี้”
“แต่กลับไม่มีใครบอกข้าเรื่องนี้…”
ซูอี้ครุ่นคิด
…
ณ จวนตระกูลเหวิน
ภายในห้องของเหวินฉางจิ้ง
“ท่านพ่อ ข้าเพิ่งได้ข่าว แค่เพียงวันแรกที่เจ้าคนน่ารังเกียจซูอี้ครองกิจการสำนักแพทย์ซิ่งหวง มันก็ไล่ข้ารับใช้บ้านเราออกเสียหมด นี่มันไม่เป็นการหักหน้าครอบครัวเรามากไปหน่อยหรือ?” เหวินเจวี๋ยหยวนว่ากล่าวด้วยท่าทีโกรธเกรี้ยว
เขาคือลูกชายเหวินฉางจิ้ง อายุได้เพียงสิบเก้า มีความทะนงตนล้นเหลือ ปัจจุบันนี้สำเร็จระดับการบ่มเพาะถึงขั้น ‘ขัดเกลาภายใน’ ขอบเขตโคจรโลหิต อีกครึ่งปีเขาจะเข้าเป็นศิษย์เพื่อฝึกตนในสำนักดาบชิงเหอ
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าเศษสวะซูอี้จะโหดร้ายถึงเพียงนี้”
เหวินฉางจิ้งหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนถาม “ตอนนี้เขาพำนักที่ใด?”
เหวินเจวี๋ยหยวน “ว่ากันว่าเขาอยู่ที่บ้านผีสิงด้านหลังสำนักแพทย์ซิ่งหวง”
“หา?”
สายตาของเหวินฉางจิ้งฉายแววประหลาดใจเป็นอย่างมาก คิ้วที่ขมวดมุ่นแน่นค่อย ๆ คลายออกก่อนจะเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเราก็ไม่ต้องทำสิ่งใดทั้งนั้น มันไม่มีทางรอดพ้นคืนนี้ไปได้แน่!”
“ทำไมหรือท่านพ่อ?” เหวินเจวี๋ยหยวนงุนงง
เหวินฉางจิ้งเล่าย้อนความ “เมื่อเก้าปีก่อนมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นที่บ้านผีสิงหลังนั้น แพทย์และหมอยาซึ่งอยู่ที่นั่นจู่ ๆ ก็ตายจากไปอย่างสยดสยองภายในข้ามคืน”
“เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่ฮือฮาทั่วเมือง กระทบกับกิจการสำนักแพทย์ซิ่งหวงของเราอย่างหนัก”
“ข้าทุ่มเงินมากมายจ้างนักพรตเต๋าพเนจรผู้เลื่องชื่อ ซึ่งมีนามว่าอู๋รั่วชิว เมื่อเขาไปถึงบ้านหลังนั้น เขาก็บอกได้ทันทีว่ามีวิญญาณร้ายสิงสถิตในบ่อน้ำข้างต้นแคฝรั่ง!”
“จากคำกล่าวของนักพรตคนนั้น หากไม่ใช่ระดับปรมาจารย์ ไม่มีทางกำราบผีตนนั้นได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหวินเจวี๋ยหยวนพรึงเพริดก่อนบอก “เกิดอะไรหลังจากนั้น?”
ฝ่ายบิดาเล่าต่อ “เขาบอกให้ข้าหลอมโซ่ตรวนขึ้นมา จากนั้นเขาจึงใช้โซ่ตรวนเหล่านั้นปิดผนึกบ่อน้ำด้วยเคล็ดวิชาลับของเขา พร้อมกับกำชับว่าขอเพียงคนเป็นไม่ได้อยู่อาศัยที่นั่น ภูตผีก็จะไม่มีทางปรากฏกายอีก”
เหวินเจวี๋ยหยวนได้ฟังพลันเข้าใจ “หมายความว่าหากซูอี้อยู่ในบ้านผีสิงหลังนั้นคืนนี้ เขาต้องตายตกเป็นแน่ใช่หรือไม่?”
เหวินฉางจิ้งหัวเราะ “ควรเป็นเช่นนั้น แต่ข้ายังคงแคลงใจไม่หายว่าเหตุใดนายหญิงเฒ่าจึงยืนกรานให้หลิงเจาแต่งงานกับซูอี้คนนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร หากซูอี้ตายไปย่อมเป็นผลดีกับตระกูลเรา”
บุตรชายพยักหน้ารับก่อนสำทับ “ใช่แล้ว ตอนนี้หลิงเจาเป็นถึงศิษย์ยอดยุทธ์ มีหรือจะคู่ควรกับเจ้าสวะซูอี้? เขาต้องตายเท่านั้นจึงจะเป็นผลดีกับหลิงเจา!”
ท่าทีเหวินฉางจิ้งเคร่งเครียดจริงจัง เอ่ยคำ “เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายแก่ผู้อื่น หากคนอื่นรู้ว่าเรารู้อาถรรพ์บ้านผีสิง แต่ยังไม่บอกกล่าวซูอี้ คงไม่พ้นถูกลากไปเกี่ยวข้องด้วย”
เหวินเจวี๋ยหยวนยิ้มพลางรับคำ “ข้าเข้าใจ เขาไม่ต่างจากฆ่าตัวตายเอง คิดว่าจะได้สำนักแพทย์ซิ่งหวงไปอย่างง่ายดายงั้นหรือ? ฝันไปเถอะ! ว่าไปแล้ว อันที่จริงเรื่องราวนี้มันคล้ายกับคนที่อยากปลิดชีพเขามากที่สุดคงไม่พ้นแม่ยายเขาอย่างท่านอาฉินชิ่ง”
บิดาปราม “อย่าพูดไปเรื่อย นางเป็นอาของเจ้าและเป็นมารดาของหลิงเจา ต่อไปจงแสดงความเคารพนางบ้าง!”
เหวินเจวี๋ยหยวนพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก
ยามค่ำคืนมาเยือน
ผ่านพ้นวันยาวนาน สำนักแพทย์ซิ่งหวงปิดทำการ
ภายในบ้าน ซูอี้นั่งเพียงลำพังในห้อง นั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ พลังปราณและโลหิตไหลเวียนพัวพันไม่ขาดสายไปทั่วร่าง
นี่คือการบ่มเพาะในขั้น ‘ขัดเกลาเส็นเอ็น’ ของขอบเขตโคจรโลหิต
การขัดเกลาเส้นเอ็นต้องอาศัยการโคจรพลังปราณและบังคับเลือดให้ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย เพื่อสร้างเสริมให้เส้นเอ็นแข็งแกร่งและยืดหยุ่นได้ราวกับสายธนู
หรือเรียกว่าต้องพุ่งแรงเหมือนลูกธนู รวดเร็วไม่ผิดจากสายลม เคลื่อนไหวเหมือนแมวดาว สามารถทำสิ่งที่ผู้คนทั่วไปไม่อาจทำได้
แก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้คือ ‘การขัดเกลาเส้นเอ็น’
ผ่านไปเนิ่นนาน ซูอี้ก็ลุกขึ้นจากการนั่งสมาธิ จิบชาขิงที่เตรียมไว้ รู้สึกได้ถึงพลังงานอุ่นร้อนภายในกาย อดทนเฝ้ารอสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้อย่างใจจดใจจ่อ
ตั้งแต่มากำเนิดใหม่ เขายังไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกของการประลองอย่างแท้จริงเลย
เขาไม่คิดเลยว่าคู่ปรับของเขาคนแรกจะเป็นภูตผี?
ซูอี้หยิบกิ่งหลิวและดาบไม้ท้อ เดินออกจากห้อง ย้ายเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา นั่งสบายอารมณ์หน้าบันไดหิน
ช่อกิ่งหลิวจุ่มเลือดไก่มานานหลายชั่วยาม ใบและก้านหลิวที่เขียวขจีขณะนี้วาววับไปด้วยสีเลือด ซูอี้กวัดไกวมันไปมาอย่างเบามือ
ซูอี้วางดาบไม้ท้อพิงอยู่ข้างเก้าอี้ไผ่
เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้ดาบ หมายความว่าเป็นยามคับขันแท้จริง
‘หากเปลี่ยนเป็นผู้บรรลุขอบเขตโคจรโลหิตผู้อื่น คงไม่สามารถเผชิญหน้ากับผีตนนี้ได้เป็นแน่แท้ แต่ข้าเคยประมือกับจักรพรรดิผีซีหมิงในชาติก่อนมาแล้ว และเมื่อข้าชนะเขา เขาจึงจำเป็นต้องมอบคัมภีร์ดาบหมื่นทิศให้ข้าเนื่องจากแพ้พนัน ว่ากันว่าคัมภีร์ดาบหมื่นทิศเป็นสุดยอดวิชาในการปราบภูตผี…’ ซูอี้นั่งพลางปล่อยความคิดล่องลอย
สายลมยามค่ำคืนโชยมา ท้องฟ้ามืดลงทุกที
เที่ยงคืนใกล้ย่างถึง แสงไฟตามถนนในเมืองกว่างหลิงดับมอดลง ความมืดมิดเข้าแทนที่ทั่วบริเวณ
บรรยากาศทั้งเมืองผ่อนลงจากครึกครื้นกลายเป็นเงียบสงัด มีเพียงเสียงสุนัขเห่าดังมาจากไกล ๆ บางคราวเท่านั้น
คืนนี้ท้องฟ้าเมฆหนา บดบังดวงดาว
ภายในบ้านที่ซูอี้อยู่ เหลือเพียงแสงเทียนในห้องที่โหมกระพือ แสงยิ่งดูเลือนรางเมื่อส่องผ่านหน้าต่าง
เขาถือช่อกิ่งหลิวไว้ในมือขณะนั่งนิ่งท่ามกลางความมืด ไม่คิดรีบร้อน กลับทั้งใจเย็นและเงียบสงบ
มีเพียงสายตาที่ฉายแววแฝงคาดหวัง
ทันใดนั้น กิ่งต้นแคฝรั่งพลันสั่นไหว ใบไม้ร่วงโรย ส่งเสียงราวกระซิบยามราตรี
บ่อน้ำโบราณด้านหนึ่งซึ่งมีโซ่ขึ้นสนิมพันปิดผนึกไว้ราวฝูงงูขยับเสียดสีกัน เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดชวนให้เสียดเสียวฟัน
อากาศหนาวเย็นในบัดดล ไม่ต่างจากฤดูหนาว ไอเย็นทิ่มแทงถึงกระดูกดำ
ฟิ้ว
ยามใบต้นแคฝรั่งตกลงพื้น มันถูกลมเย็นพัดพาลอยขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน เกิดเงาพลิ้วไหวรุนแรงนับไม่ถ้วน
เสื้อคลุมของซูอี้ปลิวไสวไปกับสายลม
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย
เมื่อลมพัดพากองใบไม้ร่วงหล่น เขาก็ลงมือในท้ายที่สุด
ซูอี้ยกแขนขวาที่ถือช่อกิ่งหลิวย้อมเลือดขึ้นก่อนจะสะบัดอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
เสียงกึกก้องราวสายฟ้าฟาดดังสนั่นยามค่ำคืน!!!