บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 320 โหยวเทียนหง หอหลิวซาง
ตอนที่ 320: โหยวเทียนหง หอหลิวซาง
ตอนที่ 320: โหยวเทียนหง หอหลิวซาง
รุ่งเช้าวันที่สอง
วันที่สิบเจ็ดเดือนสี่ ซูอี้มาถึงนครหลวงอวี้จิงเป็นวันที่สาม
ณ ลานซงเฟิงเปี๋ย
ซูอี้ยืนอยู่ใต้ต้นสน แสดงเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง
เมื่อผลการฝึกลึกล้ำยิ่งขึ้น เวลาที่ฝึกฝนวิชาสร้างพื้นฐานวิถียุทธ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าซึ่ง ‘จักรพรรดิมหายุทธ์’ แห่งแดนดินเป็นผู้คิดค้น ก็สำเร็จไปถึงขั้นสุดยอดอย่างที่สุดอีกแบบหนึ่งแล้ว
ไม่ต้องจำกัดอยู่กับกระบวนท่าหรือรูปแบบใดแบบหนึ่ง แต่ละกระบวนท่าสามารถแสดงออกได้ตามความพึงพอใจ เป็นธรรมชาติ มีจังหวะวิถีอันลึกล้ำยากเกินคาดเดาขับเคลื่อนอยู่ภายใน
เอาชนะโชคชะตา ละลายความผุกร่อนเป็นความอัศจรรย์!
จนถึงวันนี้ หากจักรพรรดิมหายุทธ์ได้มาเห็นด้วยตนเองก็คงจะชื่นชมมากเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากการสั่งสมวันละนิดละน้อยจากวันเป็นเดือน หาใช่สามารถทำสำเร็จได้แค่ข้ามคืน
ฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องเสร็จ ซูอี้ก็เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย หยิบวัตถุวิญญาณออกมาบางส่วน เริ่มเพาะเลี้ยงดาบนิลกาฬกลืนฟ้า
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้ามี ‘บัญญัติกลืนวิญญาณ’ ภายในกักขังจิตวิญญาณของนกกระจอกเพลิงยมโลก ขอเพียงมีเวลาว่าง ซูอี้ก็จะเอาวัตถุวิญญาณในตัวออกมา ‘ป้อนดาบ’
จนถึงตอนนี้ อานุภาพและลักษณะนิสัยของดาบนิลกาฬกลืนฟ้าแกร่งกล้ายิ่งกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด ตัวดาบอันดำสนิทราวกับราตรีมืดมิดไม่แสดงตัวตน กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาเพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดหวาดกลัวตื่นตระหนก
ของล้ำค่าเช่นนี้ ไม่ด้อยไปกว่าอาวุธวิเศษวิถีต้นกำเนิดขั้นสุดยอดเลยแม้แต่น้อย
ตุบ ตุบ ตุบ~
ขณะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น ได้มีเสียงกล่าวด้วยความอ่อนน้อมดังมาจากนอกลาน “ใต้เท้าซู ผู้น้อยฟางหยวน มาส่งข้อความให้ท่านทราบตามคำสั่งของหลวงจีนหงจี้ขอรับ”
ซูอี้ยังคงนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายไม่ขยับเขยื้อน พลันสะบัดมือ ประตูลานที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งก็เปิดออก “เข้ามา”
นอกประตู คนหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดในชุดสีเทายืนอยู่ รูปร่างผ่ายผอม หน้าตาใสซื่อ เวลาที่ลูกนัยน์ตาทั้งสองกลอกกลิ้ง มีความคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง
คนหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าฟางหยวนประสานมือแสดงความเคารพก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงก้มหน้าลงเล็กน้อยเดินเข้าสู่ลานซงเฟิงเปี๋ย ปิดประตูลานเสร็จก็เดินตรงมาหาซูอี้
“ใต้เท้าซู ข้อความอยู่ในนี้แล้ว เชิญเปิดอ่านขอรับ”
ฟางหยวนหยิบกล่องหยกปิดมิดชิดใบหนึ่งออกมา ยื่นไปให้สองมือ
ซูอี้รับกล่องหยกมาแล้วเปิดออกดู ในนั้นมียันต์หยกชิ้นหนึ่ง ใช้จิตสัมผัสตรวจดูภายในก็เห็นข้อความที่จารึกในนั้น
ข้อความที่หลวงจีนหงจี้ส่งมานั้นเกี่ยวข้องกับคณะทูตของต้าฉิน
คณะทูตของต้าฉินกลุ่มนี้มาถึงนครหลวงอวี้จิงตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน โดยมีจี้เหอผู้อาวุโสสูงสุดแห่งอารามหลานฮั่นวัดซ่างหลินเป็นผู้นำคณะ
นอกจากจี้เหอแห่งวัดซ่างหลินแล้ว ในกลุ่มคณะทูตที่มีคนจำนวนนับร้อยคนร่วมขบวนกลุ่มนี้ยังมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ฐานะสูงศักดิ์อีกเก้าคน
บุคคลที่หลวงจีนหงจี้กล่าวมาในข้อความก็คือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีนามว่า ‘โหยวเทียนหง’
คน ๆ นี้มาจาก “ตระกูลโหยว” ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในต้าฉิน เป็นน้องชายของโหยวเยวียนตู้หัวหน้าตระกูลโหยว
โหยวเทียนหงเป็นพี่ชายคนรองของโหยวชิงจือซึ่งเป็นภรรยาของซูหงหลี่
โหยวซิงหลินที่ถูกซูอี้ฆ่าเมื่อตอนนั้นก็คือหลานชายของโหยวเทียนหง
ตามข้อมูลที่หอสิบทิศสืบเสาะมาได้ โหยวเทียนหงเดินทางมาพร้อมกับคณะทูตแห่งต้าฉินครั้งนี้ ก็เพราะมีจุดประสงค์ต้องการล้างแค้นแทนโหยวซิงหลิน!
โหยวเทียนหงคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย เข้าฝึกตนวัดเสวียนเยว่ตั้งแต่ตอนยังหนุ่ม เป็นศิษย์น้องของเซียนชังหง และเป็นศิษย์พี่ของผู้อาวุโสหลี่ฉางหนิง
เมื่อสิบแปดปีก่อน โหยวเทียนหงย่างเข้าสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิด วิถีดาบของเขาล้ำเลิศจนได้รับสมญานามว่า ‘เซียนดาบเทียนหง’
เมื่อเก้าปีก่อน โหยวเทียนหงเดินทางสู่แดนตะวันออก ผจญภัยใน ‘ทะเลวิญญาณโกลาหล’ ซึ่งเป็นสถานที่อันตรายร้ายแรงอันดับหนึ่งในต้าฉิน ได้รับโชคลาภอันยิ่งใหญ่จากซากสถานโบราณแห่งหนึ่ง
หลังจากที่เขากลับมาจากทะเลวิญญาณโกลาหลแล้วก็ปิดตนศึกษา
จนกระทั่งถึงตอนนี้เป็นเวลานานแปดปีแล้ว
ทว่าตอนนี้ โหยวเทียนหงกลับปรากฏตัวอยู่ในกลุ่มคณะทูตจากต้าฉิน!
ก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งหอสิบทิศก็ยังคาดไม่ถึงว่าบุคคลผู้แข็งแกร่งเช่นนี้จะมาถึงนครหลวงอวี้จิง!
ด้วยเหตุนี้ หลวงจีนหงจี้จึงส่งข้อความมาแจ้งให้ซูอี้ระมัดระวังตัว
อ่านข้อความนี้จบ ซูอี้ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่กลับให้ความสนใจต่อโชคลาภอันยิ่งใหญ่ที่โหยวเทียนหงได้รับจากทะเลวิญญาณโกลาหล
ต้าโจวมีแปดมหาขุนเขาปีศาจ ต้าเว่ยมีสี่ดินแดนลึกลับต้องห้าม
ส่วนต้าฉินมีทะเลวิญญาณโกลาหล!
บัดนี้ซูอี้รู้แล้วว่า ในอดีตเมื่อนานมากแล้ว เป็นเพราะสิ่งของวิถีปราชญ์มากมายในมหาทวีปคังชิงมีความเปลี่ยนแปลง จึงหายสาบสูญไปในห้วงแห่งกาลเวลา
ทว่าส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหลแห่งนั้นกลับซุกซ่อนโบราณสถานเก่าแก่มากมาย!
โดยไม่ต้องสงสัย โชคลาภที่โหยวเทียนหงได้รับนั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับวิถีปราชญ์ที่หายสาบสูญไปในห้วงแห่งเวลาอย่างแน่นอน
เช่นนี้จะไม่ให้สงสัยอยากรู้ได้เช่นใด?
จนถึงตอนนี้ ซูอี้รู้เพียงแค่ว่า ในอดีตที่ผ่านมานาน เคยมี ‘ลานฌาณปัญญา’ ซึ่งเป็นสิ่งของในวิถีปราชญ์ของผู้ฝึกพุทธในมหาทวีปคังชิง
“ใต้เท้าซู”
เห็นว่าซูอี้อ่านข้อความเสร็จแล้ว ฟางหยวนจึงประสานมือคารวะกล่าว “หลวงจีนหงจี้บอกว่าหากข้างกายท่านขาดคนทำงาน ให้ผู้น้อยอยู่ข้างกายรับใช้ท่าน”
“ถึงแม้การฝึกตนของผู้น้อยจะปกติธรรมดา แต่ก็อยู่ในนครหลวงอวี้จิงมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าใต้เท้าอยากจะรู้เรื่องอะไร หากเป็นเรื่องที่ผู้น้อยทราบจะแจ้งโดยไม่มีปิดบัง หากเป็นเรื่องที่ผู้น้อยไม่ทราบ ผู้น้อยจะพยายามสืบเสาะมาให้ท่าน”
“อีกทั้ง เวลาที่ใต้เท้าต้องการจะติดต่อกับหอสิบทิศ ผู้น้อยก็สามารถช่วยติดต่อให้ได้”
ซูอี้เหลือบตามองดูหนุ่มน้อยคนนี้สักครู่ ก่อนจะกล่าว “อยู่ข้างกายข้า อันตรายยิ่งนัก คนอื่น ๆ มีแต่จะหลบให้ห่าง เหตุใดเจ้ากลับต้องการอยู่ข้างกายข้า? หรือว่าหลวงจีนหงจี้บังคับให้เจ้ามา?”
ฟางหยวนรีบส่ายหน้า พลางกล่าว “ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว เพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสรับใช้ใต้เท้า ผู้น้อยพยายามขอมาเป็นเวลานานมากแล้ว สุดท้ายหลวงจีนหงจี้จึงยอมรับปากให้ผู้น้อยได้มีโอกาสพบกับใต้เท้าในตอนนี้”
พูดจบ ในสายตาที่เขามองดูซูอี้แฝงไว้ซึ่งประกายแห่งความคาดหวัง
“เหตุใดเจ้าจึงต้องการอยู่ข้างกายข้า? ข้าต้องการความจริง”
ซูอี้กล่าวด้วยความสงสัยใคร่รู้
ฟางหยวนสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วโค้งคำนับกล่าว “ผู้น้อยเป็นกำพร้าตั้งแต่เด็ก ไม่กลัวตาย แต่กลัวไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต สำหรับคนอื่น ๆ แล้วการอยู่รับใช้ข้างกายท่านอาจจะมีภัยอันตรายมากมาย แต่สำหรับผู้น้อยแล้ว หากได้รับโอกาสจากใต้เท้า ชะตาชีวิตของผู้น้อยก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง!”
ซูอี้พยักหน้า แล้วกล่าว “มองออกว่าเจ้ามีความฉลาด แต่ว่า ข้าจะไม่ให้สัญญาอะไรต่อเจ้าทั้งสิ้น เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?”
ฟางหยวนแสดงอาการตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย ทว่ายังคงเก็บกดความรู้สึกไว้ในใจ ยิ้มกว้างพลางกล่าว “เรียนใต้เท้าตามตรง ขอเพียงผู้น้อยได้รับใช้อยู่ข้างกายท่านก็ไม่ต่างอะไรไปจากเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตแล้ว อย่างน้อยหลวงจีนหงจี้ก็ไม่มีทางให้ข้าอยู่ในสภาพย่ำแย่เป็นแน่”
ซูอี้กล่าว “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงอยู่ที่นี่ อาหารแต่ละมื้อในวันข้างหน้ารวมถึงเรื่องจุกจิกยิบย่อยต่าง ๆ เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ”
คนหนุ่มผู้นี้มีความฝักใฝ่ก้าวหน้าและรู้สัมมาคารวะ ดูท่าทางสมองไวชาญฉลาด ให้มาทำงานอยู่กับตนก็ไม่เลวเช่นกัน
“ขอรับ!”
ฟางหยวนประสานมือคารวะ ใบหน้าอิ่มเอิบยิ้มแย้ม
เวลานี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
ซูอี้ขมวดคิ้ว นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในลานซงเฟิงเปี๋ย จนถึงตอนนี้เป็นเวลาแค่สองวันเท่านั้น ก็มีคนมาหาอยู่ไม่ขาด ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก
“ยกให้เป็นหน้าที่เจ้า”
ซูอี้เบนสายตามองไปที่ฟางหยวน
ฟางหยวนเข้าใจ หมุนตัวเดินออกไป
ไม่นานนัก ฟางหยวนย้อนกลับมา กล่าวอย่างรวดเร็ว “ใต้เท้า เป็นผู้ส่งข้อความขอรับ ไม่มีการฝึกตน คงจะช่วยทำงานให้คนอื่น”
พูดจบ เขาก็มอบจดหมายลับฉบับหนึ่งให้
ซูอี้เปิดจดหมายลับออกอ่านแล้วถึงกับเลิกคิ้ว ก่อนจะกล่าว “หอหลิวซางคือสถานที่อันใด?”
ฟางหยวนตอบแบบไม่ต้องคิดมาก “เรียนใต้เท้า นครหลวงอวี้จิงมีหอสุราระดับสูงอยู่สี่แห่ง ซึ่งถูกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายมองว่าเป็นแหล่งสลายเงิน หอหลิวซางคือหนึ่งในนั้น ว่ากันว่ากองกำลังเบื้องหลังหอหลิวซางคือหอศิลาทองคำขอรับ”
ซูอี้พยักหน้า
หอสิบทิศมีชื่อดังไปทั่วในด้านข่าวสารฉับไว ส่วนหอศิลาทองคำเป็นกองกำลังที่มีกิจการอยู่ทั่วอาณาจักรต้าโจว อาณาจักรต้าเว่ย และอาณาจักรต้าฉิน และยังมีความลึกลับมากเช่นกัน
หอหลิวซางแห่งนี้มีหอศิลาทองคำคอยสนับสนุน ต่อให้อยู่ในนครหลวงอวี้จิงก็คงไม่มีใครกล้าหาเรื่องทะเลาะในหอเป็นแน่
ซูอี้สั่ง “เจ้าไปเตรียมรถม้า อีกประเดี๋ยวพวกเราไปหอหลิวซางกัน”
“ขอรับ!”
——
หอหลิวซาง
มีทั้งสิ้นเก้าชั้น ปลายหลังคาสูงชะลูด ดูโบราณเก่าแก่
เมื่อซูอี้กับฟางหยวนไปถึงก็เห็นหญิงงามยิ้มแย้มออกมาต้อนรับที่หน้าตำหนักใหญ่ชั้นที่หนึ่งของหอหลิวซางแล้ว
หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ สวมชุดกระโปรงยาวพลิ้วสีฟ้า แต่หน้าบาง ๆ ชุดกระโปรงตัดเย็บพอดีตัวเน้นรูปร่างอรชรให้เห็นเด่นชัด สองขายาวเนียนประดุจหยก รูปร่างดีมาก
เมื่อเห็นหญิงสาวคนนี้ ซูอี้ก็ร้องอุทาน “เหตุใดจึงเป็นเจ้า?”
ฮวาเหยียน!
ซูอี้เคยพบกับสตรีนางนี้มาก่อนตอนที่อยู่หอศิลาทองคำในแคว้นกุ่น
หญิงสาวกะพริบตางอนงาม ยิ้มเม้มริมฝีปากกล่าว “คุณชายซูจำผู้น้อยได้เช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ตะลึงไปชั่วครู่ พินิจดูหญิงสาวคนนี้ใหม่อีกครั้ง จากนั้นหัวเราะออกมา ก่อนจะกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ามีนามว่าเฉียวอวี่ใช่หรือไม่?”
ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบเป็นเงางามของหญิงสาวเผยอขึ้น รอยยิ้มน่าหลงใหล ก่อนจะกล่าว “ดูท่าแล้ว พี่สาวข้ากล่าวไม่ผิดเลย ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของคุณชายซูได้”
แน่นอนว่านี่เป็นคำกล่าวเยินยอ ทว่าเมื่อถูกหญิงสาวงดงามรูปร่างสะโอดสะองเช่นนี้กล่าวออกมา ก็ยังคงรู้สึกเคลิบเคลิ้มพอใจ
ทันใด หญิงสาวกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย “คุณชายซูคิดว่า ข้ากับพี่สาวมีตรงไหนที่แตกต่างกัน?”
ซูอี้ยิ้ม ๆ กล่าว “ในสายตาของผู้ชาย พี่น้องฝาแฝดต้องหน้าตาเหมือนกันจึงจะมีความหมาย พูดถึงความแตกต่างมีประโยชน์อันใด?”
หญิงสาวตะลึงไปชั่วครู่ ฉันพลันรู้สึกราวกับถูกหยอกล้อ ทว่าซูอี้พูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ไม่กล้าคิดเตลิดไปไกล
“คุณชายซู เชิญ”
หญิงสาวรู้มารยาท ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ยิ้มพลางผายมือทำท่าเชื้อเชิญ จากนั้นเดินนำทาง
ซูอี้กับฟางหยวนตามอยู่ข้างหลัง
หลังจากที่พวกเขาเข้าสู่หอหลิวซางได้ไม่นาน
ไม่ไกลนัก รถม้าคันหนึ่งก็ขับมาจอดอยู่ตรงหน้าหอหลิวซาง
“มารดา ถึงหอหลิวซางแล้ว”
หนุ่มน้อยรูปงามเดินลงจากรถม้า พลันหมุนตัวกลับมาและยื่นมือออกไปพยุงฮูหยินในชุดงามตระการตาเดินลงมา
“ท่านลุงของเจ้าถึงแล้วหรือ?”
ฮูหยินในชุดงามตระการตาถาม
หนุ่มน้อยรูปงามพยักหน้ากล่าว “ตามที่ผู้ติดตามแจ้งมา ตอนนี้ท่านลุงรอพวกเราอยู่ที่ ‘ตำหนักเหวินเยวียน’ ชั้นเก้าแล้ว”
“ดี”
ฮูหยินในชุดงามตระการตาสูดหายใจลึก ๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวราวกับรำพึงขึ้นมา “นับตั้งแต่สมรสกับบิดาของเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้เจอท่านลุงของเจ้าเป็นเวลานานมากแล้ว…”
พูดถึงตรงนี้ นางก็เบนสายตามองไปที่หนุ่มน้อยรูปงาม กล่าวกำชับด้วยความอ่อนโยน “ป๋ออิ๋น ประเดี๋ยวเจอกับท่านลุงของเจ้าแล้ว อย่างลืมว่าต้องวางตนให้ดี อย่าได้ให้เขาดูแคลนเจ้าได้”
หนุ่มน้อยรูปงามยิ้มพลางพยักหน้า “ท่านแม่วางใจได้”
จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปในหอหลิวซาง