บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 321 พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าดีใจยิ่งนัก
ตอนที่ 321: พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าดีใจยิ่งนัก
ตอนที่ 321: พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าดีใจยิ่งนัก
ชั้นที่เก้า ณ หอหลิวซาง
ตำหนักฟ่งหมิง
“คุณชาย ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นรออยู่ในนี้ ข้าขอตัวก่อน”
เฉียวอวี่พูดจายิ้มแย้มอ่อนโยน
ซูอี้พยักหน้า เห็นว่าเฉียวอวี่จากไปแล้วจึงกล่าวกับฟางหยวน “เจ้ารออยู่ตรงนี้”
จากนั้น เขาก็ผลักประตูเดินเข้าไปในตำหนักฟ่งหมิง
ในตำหนักที่งดงามแบบโบราณ มีร่างใครคนหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง เขาสวมชุดคลุมยาวสีหยก ท่าทางงามสง่า
โจวจือหลีองค์ชายหกแห่งอาณาจักรต้าโจวนั่นเอง!
เห็นซูอี้มาถึงแล้ว เขาก็รีบลุกไปต้อนรับ กล่าวขออภัย “พี่ซู รบกวนเหลือเกินที่ให้พี่ซูมาด้วยตนเอง เป็นเพราะสถานภาพของข้าแท้ ๆ หากข้าไปหาที่ลานซงเฟิงเปี๋ยด้วยตนเอง จะต้องถูกคนนับไม่ถ้วนหมายตาอย่างแน่นอน ขอพี่ซูโปรดให้อภัยด้วย”
ซูอี้โบกมือกล่าว “มีอะไรก็กล่าวมา เรื่องสำคัญที่เจ้าพูดถึงในจดหมายคือเรื่องอันใด”
ก่อนหน้านี้ที่ลานซงฟงเปี๋ย ผู้ที่ให้คนนำจดหมายไปให้ก็คือโจวจือหลี
หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ซูอี้ก็ยังคร้านมาหาด้วยตนเอง
ขณะที่พูด เขาก็นั่งลงหยิบกาสุราบนโต๊ะรินสุราให้กับตัวเอง
โจวจือหลีกลับรู้สึกอึดอัด กล่าวด้วยความกังวล “พี่ซู ก่อนหน้านี้ข้าเคยเกลี้ยกล่อมพี่ซูแล้วว่าอย่าได้มานครหลวงอวี้จิง แต่ไม่คิดเลยว่า พี่ซูก็ยังคงมาจนได้…”
เขาถอนใจ
ซูอี้กล่าว “เจ้ากังวลว่าข้าจะเกิดเรื่องในนครหลวงอวี้จิงเช่นนั้นหรือ?”
โจวจือหลีรีบส่ายหน้า กล่าว “ไม่ใช่เช่นนั้น”
คิดสักครู่ เขากล่าวจริงจังขึ้นมา “พี่ซู ข้าขอถามสักคำถาม พี่ซูมานครหลวงอวี้จิงในครั้งนี้ ที่แท้แล้วต้องการจะทำเช่นใดต่อซูหงหลี่ผู้เป็นบิดา? คงไม่คิดจะ… ฆ่าบิดาของตัวเองหรอกกระมัง?”
ซูอี้ดื่มสุราไปจอกหนึ่ง โพล่งตอบออกมา “เป็นอย่างไร หรือว่าทำเช่นนั้นไม่ได้?”
โจวจือหลีหัวเราะฝืดพลางกล่าว “ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่พี่ซูไม่มีแม้โอกาส”
ซูอี้เลิกคิ้ว “หมายความเช่นใด?”
โจวจือหลีสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง กดเสียงเบาลงกล่าว “เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ข้าจะไม่ปิดบังอีก ไม่ว่าจะเป็นเสด็จพ่อของข้า หรือจะเป็นราชครูหงเซินซาง ล้วนไม่มีทางปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น!”
“ซึ่งนี่ก็หมายความว่า ต่อให้พี่ซูมีโอกาสเอาชนะซูหงหลี่ แต่หากพี่ซูต้องการจะฆ่า จะต้องเผชิญการขัดขวางของเสด็จพ่อข้ากับราชครูหงเซินซาง!”
ซูอี้ส่งเสียงร้องอ้อ จากนั้นจึงกล่าวอย่างเบาสบาย “เจ้าคิดว่า พวกเขาสามารถขัดขวางข้าได้เช่นนั้นหรือ?”
โจวจือหลีส่ายหน้าพลางกล่าว “พี่ซู สาเหตุที่อาณาจักรต้าโจวของข้าสามารถปกป้องรักษาแผ่นดินมาได้ ไม่ได้อาศัยแต่เพียงอำนาจสามัญทั่วไปเหล่านั้น มิเช่นนั้น จะสามารถควบคุมกองกำลังอย่างกลุ่มมังกรเร้นได้เช่นใดกัน?”
ซูอี้กล่าวด้วยความอยากรู้ “กล่าวเช่นนี้หมายความอย่างไร?”
โจวจือหลีลังเลสักครู่ จึงลดเสียงเบาลง “ในราชวงศ์โจวของข้า มีกองกำลังที่แข็งแกร่งลึกลับมากกองกำลังหนึ่ง เรียกว่า ‘กลุ่มมังกรเร้น’ และผู้ที่อยู่ในกลุ่มมังกรเร้นแต่ละคนล้วนเป็นเทพเซียนเดินดินที่ล้ำเลิศกว่าโลกสามัญ มีความสามารถล้ำลึกจนไม่อาจคาดเดาได้”
“เมื่อหลายปีก่อน สาเหตุที่เสด็จพ่อของข้าสามารถขึ้นครองบัลลังก์มังกรได้ ก็เพราะได้รับการยอมรับจาก ‘กลุ่มมังกรเร้น’!”
“กลุ่มมังกรเร้นไม่สนใจกับเรื่องภายนอก เปรียบได้ดังผู้ฝึกตนนอกโลก พลังที่กุมอยู่ในมือเพียงพอจะทำให้สำนักดาบมังกรเร้นต้องหวาดกลัว”
“หลายปีมานี้ เสด็จพ่อของข้าทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดไปกับการเสาะแสวงหาทรัพยากรการฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุวิญญาณหรือโอสถวิญญาณที่หายาก มากกว่าครึ่งล้วนส่งไปให้กลุ่มมังกรเร้นทั้งสิ้น”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลายปีมานี้ เสด็จพ่อของข้าได้รวบรวมกำลัง เสาะหาเจอสมบัติล้ำค่ามากมายในแปดมหาขุนเขาปีศาจ สุดท้ายทั้งหมดล้วนตกอยู่ในมือของกลุ่มมังกรเร้น”
พูดถึงตรงนี้ โจวจือหลีก็ยกกาสุราขึ้นกรอกปาก กล่าวถอนใจ “พี่ซู ตอนนี้พี่ซูคงจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดข้าจึงเกลี้ยกล่อมไม่ให้พี่ซูมาที่นี่ หากว่าเสด็จพ่อของข้าเชิญกลุ่มมังกรเร้นออกมา ผู้ใดในนครหลวงอวี้จิงล้วนต้องตกอยู่ในสถานะพ่ายแพ้อับจนหมดหนทาง”
ซูอี้กล่าวโดยใช้ความคิด “กลุ่มมังกรเร้นที่เจ้าพูดถึงนั้น มีคนจำนวนเท่าใด?”
โจวจือหลีคิดสักครู่ ก่อนกล่าวคำออก “น่าจะไม่น้อยกว่าสิบคน!”
ซูอี้หัวเราะ พลางกล่าว “ถ้าเช่นนั้นเจ้าว่า หากกลุ่มมังกรเร้นนี้ตายกันหมด ราชวงศ์โจวของพวกเจ้าจะต้องเจอกับผลที่ตามมาเช่นใด?”
โจวจือหลีนิ่งตะลึง
ซูอี้กล่าว “ความกังวลของเจ้า ข้าเข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก หากว่าเสด็จพ่อของเจ้ามีความกล้าพอที่จะเจอกับผลที่ตามมาเช่นนี้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะประหัตประหารฆ่าฟันในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
โจวจือหลีรีบลุกขึ้น ทนไม่ไหวถามคำถามเมื่อสักครู่ขึ้นมาอีกครั้ง “พี่ซู พี่ซู… คงไม่ฆ่าบิดาตัวเองจริง ๆ หรอกกระมัง?”
“ฆ่าเขาเป็นเรื่องง่ายเกินไป”
ซูอี้พูดจบก็เดินออกตำหนักฟ่งหมิง
ครั้งนั้น ซูหงหลี่ถอดเยี่ยอวี่เฟยมารดาของเขา กักขังนางอยู่ในตำหนักเย็น สุดท้ายก็ถูกทรมานจนป่วยตาย
ซูอี้จะให้ซูหงหลี่ตายง่ายถึงเพียงนั้นได้เช่นใด?
ฆ่าคน เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด
ตายเสียดีกว่าอยู่จึงจะเป็นวิธีการลงโทษที่โหดร้ายอย่างที่สุด!
แน่นอน หากว่าจำเป็น ซูอี้ก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าซูหงหลี่โดยตรง
——
ณ ตำหนักเหวินเยวียน
“พี่รอง การตายของซิงหลินล้วนเป็นความผิดของข้า ตอนนั้นไม่ควรเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่เลย ไม่นึกเลยว่ากลับทำให้ซูอี้เดรัจฉานนั่นฆ่าซิงหลินได้”
โหยวชิงจือทำท่าน้ำตาจะร่วง สีหน้าโศกเศร้ายิ่งนัก
ผู้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามคือผู้ชายใบหน้าตอบโหนกแก้มสูง สวมหมวกทรงสูง สวมชุดคลุมยาวสีพื้น ประกายในดวงตามีความเย็นยะเยือกเชือดเฉือนประดุจคมดาบ
โหยวเทียนหง!
ผู้อาวุโสของตระกูลโหยวแห่งอาณาจักรต้าฉิน ศิษย์น้องของเจ้าอาวาสวัดเสวียนเยว่ ผู้ฝึกดาบวิถีต้นกำเนิดซึ่งมีตัวตนราวกับตำนาน มีสมญานามว่า ‘เซียนดาบเทียนหมิง’
“เรื่องนี้จะกล่าวโทษเป็นความผิดเจ้าได้เช่นใด หากไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำของซูอี้ แม้แต่ข้าก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหนุ่มในขอบเขตปรมาจารย์จะสามารถฆ่าเทพเซียนเดินดินอย่างหลี่ฉางหนิงได้”
สายตาของโหยวเทียนหงเกิดประกายน่ากลัวแวบขึ้นมา “แต่ว่า ในเมื่อครั้งนี้ข้ามาที่นี่แล้ว ก็จะต้องตัดหัวคนผู้นี้กลับสู่ตระกูล เพื่อเซ่นไหว้วิญญาณบนสวรรค์ของซิงหลิน!”
คำกล่าวเปรียบดังดาบ กลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าน่ากลัวยิ่งนัก
เวลานี้ ซูป๋ออิ๋นผู้เงียบสงบไม่ปริปากใด ๆ มาโดยตลอดก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “ท่านลุง บิดาของข้าเคยกล่าวว่า ในวันที่ห้าเดือนห้าจะจัดการกับซูอี้ด้วยตนเอง”
โหยวเทียนหงหัวเราะเสียงเย็นชาในทันใด พลางกล่าว “ซูหงหลี่เก็บตัวมาเป็นเวลาสิบปี บัดนี้เปรียบเสมือนกับเต่าหดหัว ไร้ซึ่งความกล้าหาญจริงจัง เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว อย่างไรเสียซูอี้ก็เป็นบุตรชายของเขา เขาไม่อาจจัดการซูอี้ด้วยตนเองได้หรอก”
โหยวชิงจือกล่าวอธิบาย “พี่รองเข้าใจผิดแล้ว หงหลี่เป็นคนมีสัจจะพูดคำใดคำนั้น ไม่มีทางไม่รักษาคำพูดเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ซูอี้จะเป็นบุตรชายของเขา แต่ก็เป็นคนที่เขาเกลียดแค้นเป็นที่สุดเช่นกัน ข้าเชื่อว่า เขาจะต้องกำจัดซูอี้อย่างแน่นอน!”
โหยวเทียนหงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เสือร้ายไม่กินลูก นับประสาอะไรกับคน ซูหงหลี่จะกล้า ‘ฆ่าบุตร’ จริง ๆ หรือ?”
ประกายในตาของโหยวชิงจือเปลี่ยนไป ก่อนจะกล่าว “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความกล้า แต่เกี่ยวข้องกับเยี่ยอวี่เฟยมารดาของซูอี้เดรัจฉานนั่น”
โหยวเทียนหงขมวดคิ้ว “กล่าวเช่นนี้หมายความเช่นใด?”
โหยวชิงจือส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าไม่รู้สาเหตุ แต่พอเดาออกได้บ้าง น่าจะเป็นเพราะฐานะของเยี่ยอวี่เฟย”
โหยวเทียนหงร้องอ้อ จึงกล่าว “พักเรื่องเหล่านี้ไว้ก่อน ส่วนเรื่องกำจัดซูอี้ ข้าไม่คิดตั้งความหวังกับซูหงหลี่นัก”
ซูป๋ออิ๋นกล่าว “ท่านลุง ถ้าเช่นนั้นท่านคิดจะลงมือเมื่อใด?”
โหยวเทียนหงถือจอกสุราเล่นในมือ สายตาลุ่มลึก พลางกล่าว “อย่างไรเสียข้าก็มาจากอาณาจักรต้าฉิน และที่นี่ก็เป็นนครหลวงอวี้จิง หากว่าลงมือที่นี่ จักรพรรดิโจวต้องไม่ยินดีเป็นแน่ และจะก่อให้เกิดเรื่องเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ข้าตั้งใจว่าสามวันให้หลังจะนัดเจ้าเด็กนั่นไปสู้กันบนภูเขาจิ่วจี้!”
ซูป๋ออิ๋นกล่าว “หากว่าเขาไม่กล้ามาตามนัดหมายเล่า?”
โหยวเทียนหงกล่าวเสียงเนิบ “วางใจได้ ข้าจะทำให้เขารับปาก”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น “ไปกันเถิด”
โหยวชิงจือกับซูป๋ออิ๋นรีบลุกขึ้นและตามออกไป
“ท่านลุง ตอนที่ท่านฆ่าซูอี้ ข้าสามารถไปดูการต่อสู้ได้หรือไม่?”
ขณะที่เดินออกประตูหอหลิวซาง ซูป๋ออิ๋นทนไม่ไหวกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าคาดหวัง
โหยวเทียนหงหัวเราะพลางกล่าว “ถึงเวลานั้น เจ้ามาดูก็แล้วกัน”
ซูป๋ออิ๋นกล่าวด้วยความยินดี “ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย ท่านนั้นไม่ทราบ ในช่วงระยะเวลานี้ ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ อยากจะกำจัดซูอี้เดรัจฉานนั่นให้หายสาบสูญไปจากโลกนี้โดยเร็ว!”
โหยวชิงจือก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
การตายของโหยวซิงหลินในตอนนั้น ทำให้นางโกรธเกรี้ยวหุนหัน กล่าวโทษตัวเองอยู่นาน จึงเป็นธรรมดาที่ต้องการอยากจะเห็นซูอี้ตายไปไว ๆ
ตอนนี้ โหยวเทียนหงมาถึงที่นี่และต้องการฆ่าซูอี้ด้วยตนเอง เช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
ขณะนี้เอง…
“ซูป๋ออิ๋น เจ้าว่าใครเป็นเดรัจฉาน?”
เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น
ซูป๋ออิ๋นหันขวับกลับมาก็เห็นคนหนุ่มในชุดสีเขียวเข้ม กำลังเดินมาที่นอกประตูหอหลิวซาง
“ซูอี้!?”
สีหน้าของซูป๋ออิ๋นเปลี่ยนไป กล่าวแบบไม่อยากจะเชื่อ “เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่ได้?”
แทบจะขณะเดียวกัน สีหน้าของโหยวชิงจือก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไฟโกรธลุกพรึบขึ้นในแววตา พูดกัดฟัน “ที่แท้ก็เป็นเจ้าเดรัจฉานนี่เอง!”
โหยวเทียนหงหมุนตัวมา ชั่วขณะที่ลืมตาขึ้น ประกายเย็นวาบราวกับดาบ มองไปที่ซูอี้ หนุ่มน้อยคนนี้… คือซูอี้เช่นนั้นหรือ?
ช่างบังเอิญเสียจริง บังเอิญเจอกับเขาที่หน้าหอหลิวซาง!
ซูอี้ก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมาเจอกับโหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นตอนออกจากหอหลิวซาง เห็นว่าทั้งสองทำสีหน้าไม่ดี เขาจึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เห็นว่าทั้งสองท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้ารู้สึกดีใจยิ่งนัก”
ถึงแม้เขาจะกำลังหัวเราะ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไร้ซึ่งความรู้สึก
หากพูดถึงคนที่ซูอี้แค้นใจเป็นที่สุด นอกจากซูหงหลี่แล้ว ก็คือแม่ลูกคู่นี้
นับตั้งแต่อายุสี่ขวบเป็นต้นมา ความเย็นชา ด่าทอ ตบตี และสบประมาทที่ได้รับทั้งหมดทั้งมวลในบ้านตระกูลซู ล้วนเป็นเพราะสองคนนี้
ในช่วงเวลานั้น ซูหงหลี่ไม่เคยถามไถ่ ไม่เคยเป็นห่วงเขาเลย
โหยวชิงจือมองเขาเป็นเสมือนเสี้ยนหนามยอกอก ใช้งานราวกับบ่าวรับใช้ สบประมาทและตบตีเขาผู้ซึ่งยังอยู่ในวัยเด็ก ทำให้ชีวิตวัยเด็กเกือบทั้งชีวิตของเขาต้องอยู่ในความมืดมนและอับอาย
ตอนนั้น ซูอี้จำได้อย่างชัดเจนว่าเป็นช่วงอายุแปดขวบ ซูป๋ออิ๋นพาคนกลุ่มหนึ่งมารุมทำร้ายตนเอง เป็นเพราะหญิงรับใช้นางหนึ่งสงสารตัวเอง จึงแอบนำยามาให้ตนเองรักษาบาดแผล ปรากฏว่าวันที่สอง หญิงรับใช้นางนั้นก็ถูกคนของโหยวชิงจือใช้แส้ฟาดจนตาย!
สิ่งเหล่านี้ จะให้ซูอี้ลืมได้เช่นใดกัน?
แม้กระทั่งเรื่องที่เขาต้องตกเป็นเขยแต่งเข้าบ้านในตอนนั้นล้วนเป็นความต้องการของโหยวชิงจือทั้งสิ้น!
ดังนั้น เมื่อเห็นว่าโหยวชิงจือกับซูป๋ออิ๋นยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี ซูอี้จึงรู้สึกดีใจมาก เพราะหากคนเหล่านี้ตาย เขาจะแก้แค้นเช่นใด?
ทว่าพอได้ยินคำกล่าวของซูอี้ และมองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มจากใจจริงบนใบหน้าของเขาแล้ว โหยวชิงจือกับซูป๋ออิ๋นพลันรู้สึกใจหายวาบ
ทั้งสองรู้เป็นธรรมดาว่า ซูอี้ในตอนนี้ไม่ใช่เด็กน่าสงสารที่ปล่อยให้พวกเขาดูถูกเหยียบย่ำได้ตามอำเภอใจอีกแล้ว
และยังถึงขั้นที่ว่าพอนึกถึงอานุภาพที่ซูอี้มีในตอนนี้แล้ว เวลาที่ได้เผชิญหน้ากับซูอี้ มันก็ทำให้ทั้งสองรู้สึกใจสั่นสะท้านยากจะควบคุมได้ สีหน้าสับสน คำว่า ‘กลัว’ ถูกเขียนติดจนเต็มหน้า!