บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 322 ผู้สิงสถิตอีกคน
ตอนที่ 322: ผู้สิงสถิตอีกคน
ตอนที่ 322: ผู้สิงสถิตอีกคน
หอหลิวซางเป็นหนึ่งในสี่บ่อนการพนันชั้นนำในนครหลวงอวี้จิง และที่ตั้งของสถานที่นั้นก็เป็นพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งมากที่สุดในนครหลวงอวี้จิง
คนที่ไปมาที่นี่ย่อมเป็นผู้คนที่มั่งคั่ง
เมื่อซูอี้ โหยวชิงจือ และคนอื่น ๆ เผชิญหน้ากัน ณ หน้าหอหลิวซาง คนแรกที่ตื่นตระหนกก็ไม่พ้นผู้คนจากหอหลิวซาง
เฉียวอวี่รีบเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคน เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าที่สวยงามของนางก็เปลี่ยนไป
ขณะที่กำลังจะพูด นางก็ถูกองค์ชายหกโจวจือหลีขัดจังหวะ “ที่นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ถอยกลับไปซะ!”
เฉียวอวี่เองก็ย่อมไม่โง่พอที่จะค้านคำสั่งดังกล่าว ดังนั้นนางจึงรีบนำผู้คนคนของนางถอยกลับในทันที
“องค์ชายหก ท่านพยายามจะแทรกแซงตระกูลซูของข้าใช่หรือไม่? ไม่สำคัญว่าท่านจะเป็นใคร แต่ข้าแนะนำให้ถอยกลับดีกว่า เพื่อไม่ให้ทำร้ายตัวเอง!”
ซูป๋ออิ๋นกล่าวอย่างเย็นชา
เมื่อมีโหยวเทียนหงอยู่ด้วย เขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
ซูอี้โบกมือและกล่าวว่า “ฟางหยวน เจ้าและองค์ชายหกควรถอยออกไป”
“ขอรับ!”
ฟางหยวนตกลงโดยไม่ลังเล
โจวจือหลียังคงลังเล แต่เมื่อฟางหยวนดึงแขนเสื้อของเขาและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ฝ่าบาท ใต้เท้าซูมีวิธีของเขาเอง”
โจวจือหลีถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก และถอยกลับไปพร้อมกับฟางหยวน
เพียงว่าเขากังวลมาก เพราะที่นี่อยู่ติดกับถนนที่พลุกพล่าน ถ้าซูอี้ลงมือที่นี่ ปัญหาใหญ่ย่อมตามมา!
“เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ข้าวางแผนว่าในสามวันจะต่อสู้บนภูเขาจิ่วจี้นอกเมืองกับเจ้า และเนื่องจากในตอนนี้ข้าเจอเจ้าแล้ว ข้าก็อยากจะถามว่าเจ้าจะรับคำท้าหรือไม่?”
ในเวลานี้ โหยวเทียนหงอ้าปากพูด คำพูดของเขาเฉียบคมราวกับดาบ ขณะจ้องไปที่ซูอี้ด้วยเจตนาฆ่าเปี่ยมล้น
ซูอี้ไม่ต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเดาได้เลยว่าชายที่สวมมงกุฎบนศีรษะและแก้มตอบผู้นี้ ควรเป็นโหยวเทียนหงที่กล่าวถึงในข่าวของหลวงจีนหงจี้
ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดที่ประสบความสำเร็จค้นพบโชคลาภในส่วนลึกของทะเลวิญญาณโกลาหลแห่งอาณาจักรต้าฉินเมื่อเก้าปีก่อน!
“เหตุใดจะไม่กล้า?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “สามวันให้หลังในตอนเช้าตรู่ บนยอดเขาจิ่วจี้ ข้าจะสนองความตายให้เจ้าเอง”
ดวงตาของโหยวเทียนหงหรี่ลง
“จองหอง!”
ซูป๋ออิ๋นอดไม่ได้ที่จะดุว่า “ซูอี้ นี่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าถ้าเจ้าฆ่าหลี่ฉางหนิง เจ้าจะรอดพ้นกฎหมายไปได้?”
โหยวชิงจือถอนหายใจ กล่าวว่า “ในปีนั้น ข้าน่าจะรีบสังหารเดรัจฉานตัวนี้เสียก่อน”
“ไม่ต้องมาพูดเรื่องไร้สาระกับคนที่ใกล้ตาย”
โหยวเทียนหงส่ายหัวและกล่าวว่า “ไปกันเถิด”
“เจ้าออกไปได้ พวกเขาต้องอยู่”
น้ำเสียงของซูอี้สบาย ๆ
แต่ทันทีที่เขาพูดคำเหล่านี้ หัวใจของทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็เต้นระรัว สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
โหยวเทียนหงขมวดคิ้ว กวาดสายตาไปพื้นที่ใกล้เคียงและกล่าวว่า “ผู้คนที่นี่ช่างพลุกพล่าน ถ้าเจ้าและข้าต่อสู้กัน พื้นที่ระยะร้อยจั้งจะกลายเป็นซากปรักหักพัง เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้จักรพรรดิโจวผู้ยิ่งใหญ่โกรธหรือ?”
นครหลวงอวี้จิงแตกต่างจากที่อื่น ๆ มันอยู่ภายใต้อำนาจขององค์จักรพรรดิ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เทพเซียนเดินดินจะต่อสู้กันที่นี่?
ซูอี้กล่าวว่า “หากเจ้ากังวล ก็สามารถออกไปได้”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น เขามองไปที่โหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋น ดวงตาของเขาล้ำลึกและราบเรียบ “ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบเจ้าสองคน แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปได้อย่างไร?”
“เจ้าต้องการอะไร เจ้าต้องการบังคับให้ข้าสังหารเจ้าตอนนี้จริง ๆ หรือ?”
ซูป๋ออิ๋นหัวเราะอย่างโกรธจัด
ซูอี้ส่ายหัว กล่าวว่า “ข้าไม่สนใจที่จะฆ่าเจ้าในขณะที่ซูหงหลี่ไม่อยู่ ดังนั้นพวกเจ้าเอาหัวโขกพื้นให้ข้าสามครั้ง แล้วข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่จนถึงวันที่สี่เดือนห้า”
“เจ้า…” ซูป๋ออิ๋นโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำ
โหยวชิงจือแทบไม่อยากเชื่อหูของตนเอง นึกไม่ถึงว่าซูอี้จะกล้าทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าแบบนี้
โหยวเทียนหงดูเย็นชาและกล่าวว่า “ซูอี้ เจ้าอยากจะให้ข้าสังหารเจ้าตอนนี้จริง ๆ งั้นหรือ?”
คำพูดนั้นฟังดูเหมือนดาบที่ส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่ว และเจตนาฆ่าที่ไม่มีใครเทียบได้ก็แผ่ขยายออกไป ทำให้ผู้คนโดยรอบตกใจกลัวและถอยหนี
ทันใดนั้น ในระยะร้อยจั้งก็ว่างเปล่า
ซูอี้ไม่สนใจโหยวเทียนหง แต่มองไปที่โหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋น กล่าวสองคำออกจากริมฝีปากของเขา
“คุกเข่า!”
ตูม!
จิตวิญญาณของโหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นเจ็บปวดอย่างรุนแรง ภายใต้สายตาที่น่าสะพรึงกลัวนั่น ร่างของพวกเขาล้มลงกับพื้นราวกับเป็นอัมพาต
ในขณะนั้นบรรยากาศเงียบสงัด
ไม่ไกลออกไป โจวจือหลี ฟางหยวน เฉียวอวี่ และคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกชาไปถึงหนังศีรษะ
หนึ่งประโยค สองคำ แต่คำพูดนั้นมากไปด้วยอำนาจ ทำให้โหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นคุกเข่าอยู่หน้าหอหลิวซางนี้!!
อันที่จริง นี่ยังคงเป็นความปรานีของซูอี้ มิฉะนั้นด้วยพลังจิตวิญญาณในปัจจุบัน เขาก็สามารถสังหารทั้งสองได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
“รนหาที่!”
โหยวเทียนหงโกรธจัด แขนเสื้อพองขึ้น เขายกมือขึ้นและฟันไปที่ซูอี้ด้วยปราณดาบ
เขาไม่ได้คาดหวังว่าซูอี้จะเย่อหยิ่งถึงเพียงนี้ ถึงกับบังคับให้โหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นคุกเข่า สิ่งนี้ทำให้เขาโกรธเคืองอย่างยิ่ง
ฟิ้ว!
ปราณดาบข้ามท้องฟ้า มันมีสีเทามืดมน ขณะที่แก่นในมีแสงเปลวเพลิงและเงาแปลกประหลาดที่หมุนวนอยู่
อากาศราวกับผืนผ้าใบ ถูกปราณดาบบดขยี้อย่างง่ายดาย
ปราณดาบที่น่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้พื้นดินและที่ราบใกล้เคียงระเบิด เศษหินกระเด็นกระดอน
ซูอี้ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเพียงกำมือเข้าหากัน
ตูม!!!
ปราณดาบสีเทาระเบิด สลายหายไปก่อนถึงหน้าซูอี้เพียงสามฉื่อ
“สำเร็จธาตุวิถีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังกล้าจะมาตัดหัวซูผู้นี้อีก?”
ริมฝีปากของซูอี้เย้ยหยัน
โหยวเทียนหงสูดลมหายใจเข้าลึก โบกเสื้อคลุมแขนของเขา จากนั้นร่างของโหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ก็ถูกยกขึ้นและลอยห่างออกไปหลายสิบจั้ง
“พวกเจ้าไปก่อน!”
นัยน์ตาของโหยวเทียนหงนั้นราวกับดาบ ร่างกายแผ่ไอเย็นชาออกมาเพิ่มขึ้นไม่หยุด ส่งแรงกดดันเฉพาะตัวของผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดกระจายออกไปราวกับกระแสน้ำที่ไหลบ่า
ไกลออกไปจากบริเวณใกล้เคียง มีเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้น
ต่อหน้าหลิวซางโหลว โจวจือหลีและคนอื่น ๆ พลันเปลี่ยนท่าทีและถอยกลับ
ทันทีที่เทพเซียนเดินดินลงมือ แม้แต่ภูเขาหรือสายน้ำก็ยากที่จะต้านทาน พลังทำลายล้างของตัวตนระดับนี้น่าสะพรึง และหากโดนลูกหลง แม้จะเป็นถึงตัวตนขอบเขตปรมาจารย์ก็ยากที่จะรอด!
ยิ่งไปกว่านั้น เทพเซียนเดินดินทั่วไปยังเทียบไม่ได้กับโหยวเทียนหง
‘เซียนดาบเทียนหง’ มีชื่อเสียงมากในอาณาจักรต้าฉิน เมื่อสิบแปดปีที่แล้วได้เดินไปบนวิถีต้นกำเนิด และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วดินแดน!
แต่ดูเหมือนซูอี้จะไม่รู้ตัว เขามองไปที่โหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นในระยะไกล กล่าวว่า “กลับไปบอกซูหงหลี่ ว่าในวันที่สี่เดือนห้า ข้าจะนำศีรษะของพวกเจ้าไปเป็นเครื่องบูชา”
การแสดงออกของโหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นแตกต่างกันอย่างมาก ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน… นั่นคือพวกเขาโกรธจัดจนฟันขบกันแน่น!
ทว่าตอนที่ถูกบังคับให้คุกเข่า ก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างที่สุด จึงไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ พวกเขาจึงหันหลังกลับและหนีไป
แต่โหยวเทียนหงที่ถูกซูอี้เพิกเฉย กลับเปล่งเสียงยาวและวิ่งไปหาซูอี้ราวกับว่าเขาพร้อมจะเสี่ยงทุกอย่าง
ตูม!
รอบร่างของเขาราวกับมีพายุ มันทรงพลังน่ากลัว ลอยตัดผ่านนภา ก่อนที่ดาบสีเงินในมือจะตวัดฟาดฟันลงมาอย่างรุนแรง!
ปราณดาบนั้นรุนแรงราวกับสายฟ้าฟาด ดังก้องไปทั่วจักรวาล
เพลงดาบทัณฑ์อสนี!
เพลงดาบนี้เต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ด้วยภาวะดาบขั้นสรวงสวรรค์ มันได้แสดงถึงฝีมือของโหยวเทียนหง ที่เหนือกว่าฉือเฟิงหลิว!
ในขณะนั้น ฟ้าดินพลันเปลี่ยนไป เสียงฟ้าร้องดังก้อง ในโลกสามัญนี้ พลังเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากพลังของเทพเซียน
“ดาบเล่มนี้นับว่าพอได้”
ท่าทางของซูอี้นั้นเรียบเฉย ไม่เศร้าแต่ก็ไม่สุข
มือข้างหนึ่งของเขาไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งกำหมัดแน่น ก่อนจะกระแทกมันออกอย่างกะทันหัน
รอยหมัดนี้ชัดลึกราวกับหยกสีเข้ม
แรงดันอากาศรวมตัว ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างยากประเมิน มันส่งออกอย่างรวดเร็ว รุนแรง และดุดัน!
การชกนี้เปรียบเหมือนเก้าทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลซัดโหมเข้าฝั่งพร้อมกัน
ตู้ม!!
โลกนี้ราวกับอยู่ในความโกลาหล ปราณดาบที่เหมือนพายุฝนฟ้าคะนองและแรงกำปั้นที่เปรียบดั่งมหาสมุทรปะทะกัน …ผลที่ตามมาของการทำลายล้างได้แผ่กระจายไปทั่วระหว่างทั้งสอง สิ่งปลูกสร้างใกล้เคียงพังทลายลง หุบเหวคล้ายใยแมงมุมปรากฏขึ้น รอยแยกและเศษดินกระเด็นกระดอนไปทั่ว
ขณะที่ควันและฝุ่นฟุ้งกระจายตัว ร่างของโหยวเทียนหงก็นิ่งไปในอากาศ ก่อนที่เลือดจะกระฉูดออกมา!
ในระยะไกล ซูอี้ยืนอยู่ตรงจุดนั้นไม่ขยับเขยื้อน
หอหลิวซางที่อยู่ข้างหลังเขาไม่บุบสลาย และไม่ถูกกระแทกด้วยแรงปะทะใด ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวของโหยวเทียนหงถูกทำให้สลายไปโดยซูอี้ อันที่จริง… เขาไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยงด้วยซ้ำ!
ฉากนี้ทำให้นัยน์ตาของโหยวเทียนหงแข็งค้าง และหัวใจของเขาก็เต้นรัว
ชายหนุ่มผู้นี้เพิ่งจะอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสี่เท่านั้น แต่กลับทรงพลังดั่งที่ข่าวลือว่ากัน!
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด แต่มันก็ควรเพียงพอที่จะเอาชนะคนในขอบเขตเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
แต่ซูอี้กลับสามารถคลายเพลงดาบของเขาได้อย่างง่ายดาย!
ในระยะไกล โจวจือหลีและคนอื่น ๆ มองดูสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทำลายล้างภายในร้อยจั้งนั้น พวกเขาต่างหนาวสั่นไปทั้งร่างกายและจิตใจ
เมื่อก่อนนี้เป็นพื้นที่ผู้คนพลุกพล่าน แต่ในชั่วพริบตา มันกลับกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง!
“ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดที่มีเกียรติในอาณาจักรต้าฉินมีความสามารถเพียงเท่านี้หรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย คำพูดเต็มไปด้วยความรังเกียจ “หรือเจ้ากลัวอะไรอยู่จึงยังไม่กล้าใช้พลังทั้งหมดออกมา?”
โหยวเทียนหงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ยกดาบสีเงินในมือขึ้น ใช้มันชี้ไปที่ซูอี้ที่ซึ่งอยู่ในระยะไกล พลางกล่าวว่า
“อย่างนั้นก็มาประลองกันอีกครั้ง!”
ขณะที่พูดเช่นนั้น ปราณดาบพลันส่งเสียงราวกับฟ้าร้อง และบนดาบสีเงิน ก็ปรากฏแสงพร่างพราวและฝนที่โปรยปรายดูสว่างไสวราวกับสายฟ้าแลบ
ครานี้ พลังของโหยวเทียนหงคล้ายว่าจะน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม!
ตูม!
เขาเหยียบอากาศและกำลังจะชักดาบออกมา
แต่ในเวลานี้ ร่างสูงดั่งต้นสนก็โผล่มาแต่ไกล ในชั่วพริบตาคนผู้นั้นก็มาถึงสนามประลอง เข้ามาขวางกั้นระหว่างโหยวเทียนหงและซูอี้
“พวกเจ้าทั้งสอง หากยังต่อสู้กันอยู่ก็คงจะเก็บกวาดได้ยากเสียแล้ว”
ผู้มาใหม่สวมมงกุฎสูงและสวมชุดโบราณที่มีลักษณะแปลกประหลาด ม่านตาสีทองซีดคู่นั้นดูสง่างามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน
ราชครูหงเซินชาง!
เขามองไปที่โหยวเทียนหงก่อนแล้วกล่าวว่า “สหายเต๋า เจ้าคือทูตของอาณาจักรต้าฉิน หากเจ้าทำร้ายใครในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นศัตรูของต้าโจว ดังนั้นโปรดคิดให้รอบคอบ”
โหยวเทียนหงขมวดคิ้ว และนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาระงับเจตนาฆ่าที่เดือดพล่านในหัวใจ เช่นเดียวกับที่ลดดาบในมือลง
ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชา มองไปที่ซูอี้ แล้วกล่าวเน้นทีละคำ “สามวันให้หลังที่ยอดเขาจิ่วจี้ แล้วข้าจะรอ!”
เขากล่าวคำเหล่านั้นก่อนจะจากไป
เมื่อร่างของโหยวเทียนหงจากไป หงเซินชางก็หันกลับมาจ้องมองซูอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่นี่คือนครหลวงอวี้จิง แม้ว่าเจ้าจะมีความสามารถยอดเยี่ยม แต่ควรยับยั้งตัวเองไว้ ไม่เช่นนั้น… เจ้าจงคิดทบทวนถึงสิ่งที่จะตามมา”
ซูอี้พ่นลมหายใจ กล่าวว่า “ท่านกำลังขู่ข้าอยู่หรือ?”
หว่างคิ้วของหงเซินชางมีรอยย่นเล็กน้อย ก่อนจะกลับมามีท่าทีสงบนิ่งและกล่าวว่า “ซูอี้ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าตายก่อนถึงวันที่สี่เดือนห้า”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและจากไป
เมื่อเห็นร่างของหงเซินชาง ริมฝีปากของซูอี้ก็ยกขึ้นเล็กน้อย น่าสนใจนัก ผู้สิงสถิตอีกคน!