บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 327 ใครบ้างในโลกหล้าที่สามารถชนะเขาได้
ตอนที่ 327: ใครบ้างในโลกหล้าที่สามารถชนะเขาได้?
ตอนที่ 327: ใครบ้างในโลกหล้าที่สามารถชนะเขาได้?
จากระยะไกล เยว่ซือฉาน สตรีผู้ซึ่งมีรูปลักษณ์อยู่ในวัยสิบหกหรือสิบเจ็ดปีอย่างน่าประหลาดเพราะจากประวัติของนางนั้นย่อมมีอายุมากกว่านี้มากกำลังแสดงสีหน้าตกตะลึง
ตัวตนที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะในตำนานมาหลายปีอย่างนางยังไม่สามารถที่จะสงบใจได้เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของซูอี้
ตัวตนที่ทรงพลังเช่นโหยวเทียนหงถูกซูอี้สังหารด้วยดาบเดียวนั้นเป็นสิ่งที่นางไม่คาดคิด
“อมิตาพุทธ สรรพสิ่งล้วนไม่มีสิ่งใดจีรังแน่นอน…”
จี้เหอ หัวหน้าผู้อาวุโสอารามหลานฮั่นวัดซ่างหลินพนมมือก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน
โหยวเทียนหงมาจากต้าฉินเช่นเดียวกับเขา และเขารู้ดีที่สุดว่าความยิ่งใหญ่ของโหยวเทียนหงในต้าฉินนั้นมากมายเพียงใด
ไม่เกินจริงไปเลยหากจะบอกว่าด้วยความแข็งแกร่งของโหยวเทียนหง สามารถติดอันดับหนึ่งในห้าสุดยอดผู้บ่มเพาะของต้าฉิน
แต่ตอนนี้ โหยวเทียนหงกลับพ่ายแพ้แก่ซูอี้ซึ่งอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสี่เท่านั้น!
ฉือเฟิงหลิวตัวเย็นเฉียบ คิ้วขมวดแน่นอย่างไม่อาจควบคุม
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาต้องหลั่งเหงื่อเย็น โดยเฉพาะเมื่อนึกย้อนไปถึงครั้งนั้นที่แม่น้ำชิงหลาง หากเขาไม่ได้ล่าถอยทันเวลา ชีวิตของเขาคงจบลงเช่นโหยวเทียนหง!
อวิ๋นจงฉีกำดาบในมือแน่นก่อนจะลอบถอนหายใจ
ก่อนหน้านี้เขาได้วางแผนว่าจะฉวยโอกาสจู่โจมซูอี้ แต่ขณะนี้สัญชาตญาณได้บอกกับเขาว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่จะฉวยโอกาส
ซูอี้แข็งแกร่งเกินไป!
การต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ ซูอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย และดาบที่สังหารโหยวเทียนหงนั้นก็น่าสะพรึงกลัวพอที่จะทำให้อวิ๋นจงฉีรู้สึกหนาวสั่น
หงเซินชางเงียบงัน คิ้วของเขาขมวดราวกับว่าเขาประสบปัญหาใหญ่
ไกลออกไปมาก ชายชราในชุดพรตเต๋าซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนมาโดยตลอด คลายมือของเขาซึ่งถูกปกปิดอยู่ในแขนเสื้อยาว เขาส่ายหัวอย่างลับ ๆ และหันหลังกลับอย่างเงียบ ๆ
…
ณ เวลานี้ ทุกอย่างเงียบเชียบราวกับโลกหยุดลง
ผู้ชมทั้งหมดตกตะลึงจนไม่อาจกล่าวสิ่งใด
พวกเขามองดูคนหนุ่มที่ลอยอยู่บนอากาศในระยะไกลออกไป หัวใจของพวกเขาพลันเต้นระทึก อารมณ์ของพวกเขาหลากหลายมีทั้งความตกใจ ความริษยา และความกลัวอย่างสุดจะพรรณนา
“มนุษย์ธรรมดามีพลังพอที่จะสังหารเทพเซียนเดินดินได้อย่างไร?”
ชายชราผู้หนึ่งตัวสั่น พึมพำด้วยสีหน้าทั้งประหลาดใจ ตกตะลึง และหวาดเกรงอย่างสุดแสน
ก่อนการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะประเมินซูอี้แข็งแกร่งมากเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดว่าซูอี้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยเช่นนี้หากโหยวเทียนหงงัดไม้ตายก้นหีบออกมาใช้
ต้องรู้ว่าการโจมตีครั้งสุดท้ายของโหยวเทียนหงนั้นสามารถคุกคามได้แม้กระทั่งเทพเซียนเดินดินขอบเขตเปิดทวาร!
แต่ในท้ายที่สุดโหยวเทียนหงก็ยังแพ้…
หากซูอี้เป็นผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดเช่นกัน พวกเขาคงทำใจได้ง่าย
แต่ขณะนี้ซูอี้เป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมกำเนิดขั้นสี่ หรือเรียกอีกอย่างก็คือปรมาจารย์ขั้นสี่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสังหาร เพราะไม่เคยมีบันทึกใดที่เคยบันทึกเอาไว้ด้วยซ้ำว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์จะสามารถต่อกรกับเทพเซียนเดินดินได้เกินหนึ่งกระบวนท่า ดังนั้นการที่ซูอี้สามารถสังหารเทพเซียนเดินดินขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบูรณ์แบบได้ด้วยดาบเดียวเช่นนี้มันจึงน่ากลัวจนเกินไป!
“พี่ซูชนะ!”
มู่ซีในที่สุดก็สามารถยิ้มได้
ผูอี้ เจียงถานอวิ๋น หลูฉางเฟิง และคนอื่น ๆ รอบตัวเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
การต่อสู้ที่พวกเขาเพิ่งรับชมนั้นรุนแรงและระทึกใจมากจนจิตใจของพวกเขาจดจ่อและตึงเครียด ตอนนี้เมื่อพวกเขาผ่อนคลายลง พวกเขาก็พบว่าแผ่นหลังของพวกเขาต่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ในดินแดนต้าโจวทั้งหมด ใครกันที่ยังสามารถเป็นคู่มือของซูอี้ได้อีก?”
ผู้ยิ่งใหญ่บางคนเริ่มคิดถึงผลลัพธ์หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้
ซูอี้สังหารโหยวเทียนหงด้วยดาบเดียว ความแข็งแกร่งที่ซูอี้แสดงออกมาในครั้งนี้หากนับเพียงในต้าโจวก็คงพูดได้ว่าอยู่ในห้าอันดับต้นแน่นอน!
และปีนี้เขาอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น หากเขาเติบใหญ่ขึ้นกว่านี้ อนาคตเขาจะกลายเป็นปีศาจแบบไหนกัน?
…
เคร้ง!
ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้าของตนเอง จากนั้นเขาก็คว้าดาบสีเงินที่โหยวเทียนหงทิ้งไว้
เขาเพ่งพินิจมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกวาดสายตามองทุกคนในระยะไกล
“ก่อนหน้านี้ ข้าซูอี้ได้ยินมาว่ามีหลายคนต้องการชีวิตของข้าก่อนที่ข้าจะไปถึงนครหลวงอวี้จิง ข้าเชื่อว่าเวลานี้คือฤกษ์งามยามดีที่พวกเจ้าทั้งหลายซึ่งมีความคิดอ่านเช่นนั้นจะยืนขึ้นและดาหน้าเข้ามาหาข้าพร้อม ๆ กัน”
สีหน้าของซูอี้ยังคงเฉยเมย แต่คำพูดทุกคำของเขาดังชัดเจนเต็มสองรูหูของคนทุกหมู่เหล่า
หลังจากได้ยินประโยคนี้ของซูอี้ บรรยากาศอันเงียบงันก็ถูกทำลายในทันที เหล่าตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งหลายเกือบจะสำลักลมหายใจของตนเอง
สังหารโหยวเทียนหงไปแล้วยังไม่พออีกหรือ?
เทพเซียนเดินดินเช่น จี้เหอ อวิ๋นจงฉี และ ฉือเฟิงหลิวต่างเงียบงัน
ในเวลานี้ แม้ซูอี้จะเพิ่งฆ่าโหยวเทียนหงไปหมาด ๆ ทว่าพลังของซูอี้ยังดูเปี่ยมล้น ใครเล่าจะโง่ขนาดที่จะกระโดดออกไปเผชิญหน้ากับซูอี้ในเวลานี้?
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครกล้าตอบ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ส่ายหัวครู่หนึ่งก่อนจะร่อนลงไปที่พื้น
“สหายเต๋าซู ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้นท่านได้พูดคำว่า ‘น่าเสียดายนัก’ หากท่านไม่ถือสาโปรดบอกพวกเราสักหน่อยจะได้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร?”
ชายชราผู้หนึ่งอดไม่ได้ที่จะถาม
ทันทีที่คำพูดนี้ดังออกไป มันดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากในทันที และพวกเขาทั้งหมดต่างก็จำได้ว่าซูอี้เคยพูดคำ ๆ นี้ที่ฟังแล้วเป็นปริศนาจริง ๆ ก่อนที่จะเริ่มต่อสู้กับโหยวเทียนหง
“เรื่องเล็กน้อยแค่นั้น ข้าสามารถบอกเจ้าได้”
ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “ข้าเพียงรู้สึกว่าโหยวเทียนหงได้รับโชควาสนาช้าเกินไป หากเขาได้สืบทอดวิถีปราชญ์ตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ในขั้นวิถียุทธ์ มรดกที่เขาได้รับการสืบทอดมามันคงช่วยให้รากฐานของเขาแข็งแกร่งเกินกว่าที่ผู้ใดจะจินตนาการได้ ซึ่งหากเป็นในกรณีนั้น หากข้าต้องการจะฆ่าเขา ข้าก็คงต้องอาศัยความพยายามมากกว่านี้”
“แต่ทว่าน่าเสียดายที่เขาสืบทอดมรดกนั้นหลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดไปแล้ว ดังนั้นข้อบกพร่องของเขาที่มีอยู่ในยามที่เขาบ่มเพาะสี่ขอบเขตแรกแห่งวิถียุทธ์จึงไม่ได้รับการแก้ไขเป็นผลให้เขาไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควรจะเป็น”
หลังจากฟังสิ่งนี้ ทุกคนต่างตกตะลึง จิตใจของทุกคนปั่นป่วนอีกครั้ง
ปรากฏว่าก่อนจะเริ่ม ซูอี้รู้อยู่แล้วว่าตนเองมีชัยชนะที่แน่นอน!
“ความแข็งแกร่งของสหายเต๋าซูที่สำแดงออกให้เราเห็นในวันนี้ทำให้ข้าและคนอื่น ๆ ต่างประทับใจ แต่เราทุกคนต่างก็สงสัย ในวันที่สี่เดือนที่ห้า สหายเต๋าซูอยากจะห้ำหั่นกับซูหงหลี่บิดาของท่านจริง ๆ หรือ?”
ในตอนนี้อวิ๋นจงฉีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
ซูหงหลี่!
ผู้นำตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง ชายผู้ลึกลับที่แสนจะน่ากลัวและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลกมามากกว่าสิบปี ข่าวที่เกี่ยวกับเขาแทบทั้งหมดถูกปิดกั้น ไม่มีใครรู้ว่าซูหงหลี่แข็งแกร่งเพียงใดในวันนี้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนมั่นใจว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ซูหงหลี่เป็นตำนานที่โดดเด่นมากในต้าโจว!
อิทธิพลและความโด่งดังของซูหงหลี่นั้นไม่ได้เป็นรองราชครูหงเซินชางแม้แต่น้อย!
ในฐานะที่เป็นบุตรชายของซูหงหลี่ ความขัดแย้งระหว่างซูอี้และตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงจึงเป็นที่ล่วงรู้กันมานานแล้วสำหรับทุกคน
ใครบ้างจะไม่สงสัยว่าพ่อลูกคู่นี้จะมีการต่อสู้แบบไหน?
“ธุระของข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเหลือบมองที่อวิ๋นจงฉี
ใบหน้าของอวิ๋นจงฉีแข็งค้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว เขารู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรงที่ถูกปฏิเสธในที่สาธารณะเช่นนี้
ซูอี้เพิกเฉยต่อเขาและหันหลังกลับ
จนกระทั่งร่างของซูอี้หายไป… ไม่มีใครกล้าหยุดเขาตั้งแต่ต้นจนจบ!
…
ในวันเดียวกันนั้น
หลังจากที่เหล่าผู้ชมรีบแยกย้ายกันไป ข่าวการต่อสู้ครั้งนี้ขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศและแน่นอนว่าไปถึงนครหลวงอวี้จิงรวดเร็วราวกับสายฟ้า
กลุ่มมากอิทธิพลทั้งหมดที่ให้ความสนใจกับข่าวการต่อสู้ครั้งนี้สั่นสะท้านและไม่อาจเอ่ยถ้อยคำใดไปชั่วขณะ
ซูอี้ชนะ!
อีกทั้งยังสามารถสังหารโหยวเทียนหงแห่งต้าฉิน!
กระทั่งโหยวเทียนหงใช้พลังที่มากพอจะคุกคามขอบเขตเปิดทวารในช่วงสุดท้าย แต่เขาก็ยังถูกซูอี้สังหาร อีกทั้งซูอี้ยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ความหมายเบื้องหลังของสิ่งนี้มันหมายความว่าซูอี้น่าสะพรึงกลัวเหนือกว่าที่ใคร ๆ คิดฝัน
“ซูอี้ผู้นี้ไร้พ่ายจริงหรือ?”
คำอุทานนี้ถูกเอ่ยขึ้นโดยผู้คนมากมาย
ทว่าคำอุทานนี้ดูไม่ห่างไกลจากความเป็นจริงเลย เพราะที่ผ่านมา… ซูอี้ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ผู้ใดสักคน!
บนยอดเขาประจิมในมหานครกุ่นโจว ซูอี้สังหารผู้คนฝั่งตรงข้ามองค์ชายหกจนสิ้นซาก
ในเหตุการณ์สังหารหมู่หน้าจวนเจ้าแคว้นกุ่น ตัวตนผู้โด่งดังเช่นราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลิน และราชาคิ้วขาวไฉ่จิงไห่ต่างก็ถูกซูอี้สังหารทั้งหมด
จนกระทั่งเขาออกจากมหานครกุ่นโจว ระหว่างทางไปนครหลวงอวี้จิง ซูอี้ได้ต่อสู้กับเหล่าผู้บ่มเพาะอันสุดแสนจะแข็งแกร่งอีกหลายครั้ง
ตลอดทางเขาได้ฆ่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์หลายคนที่มีชื่อเสียงไปนักต่อนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้กับหลี่ฉางหนิง เทพเซียนเดินดินแห่งต้าฉิน ตอนนั้นซูอี้เป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นสามแต่กลับสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้
การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ทั้งโลกเดือดพล่าน เกิดความปั่นป่วนมากมาย และทำให้ชื่อของซูอี้โด่งดังเป็นพลุแตก!
แต่อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในอดีตเหล่านั้นมันคงยังไม่สามารถทำให้เหล่าเทพเซียนเดินดินทั้งหลายหวาดกลัวได้มากนัก
แต่หลังจากการต่อสู้ของวันนี้ที่ยอดผาชมเมฆาสมุทร เหล่าตัวตนเทพเซียนเดินดินผู้ใดบ้างที่ยังกล้าดูแคลนซูอี้อีก?
และสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าก็คือทุกครั้งที่ทุกคนคิดว่าคู่ต่อสู้ของซูอี้สามารถเอาชนะเขาได้ ท้ายที่สุดซูอี้กลับสามารถสำแดงพลังอันเหนือล้ำจนน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่คาดคิดและบรรลุชัยชนะได้อย่างเด็ดขาดเสมอ!
เมื่อเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเช่นนี้ มันจึงไม่ต่างอะไรกับซูอี้ที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
“ในโลกนี้มีใครบ้างที่ยังสามารถสะกดข่มซูอี้ได้? ผู้ที่อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?”
กลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ มากมายต่างคาดเดาความเป็นไปได้ต่าง ๆ นานาจนหัวหมุน
“ว่ากันว่าในการต่อสู้กับโหยวเทียนหง ในตอนท้ายโหยวเทียนหงสามารถบังคับให้ซูอี้ใช้ดาบจริงได้ ซึ่งสิ่งนี้มันแสดงให้เห็นว่าการฆ่าเทพเซียนเดินดินอย่างโหยวเทียนหงก็ไม่ได้ใช่เรื่องที่ง่ายดายนักสำหรับซูอี้!”
มีบางคนวิเคราะห์เรื่องนี้
“เช่นนั้นมันก็หมายความว่าหากต้องการจะเอาชนะซูอี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ อีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นวิถีต้นกำเนิดขอบเขตรวบรวมดาราเป็นอย่างต่ำ!”
นี่เป็นการวิเคราะห์ที่สมเหตุสมผล
ทว่ามีคนโต้แย้งกลับ “อาจไม่ถูกต้องเสมอไป ขณะที่ซูอี้สังหารโหยวเทียนหง เขาอาจจะยังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดก็เป็นได้ อีกทั้งซูอี้ยังอาจมีไพ่ลับที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา ดังนั้นแล้วการจะจัดการกับซูอี้ ใช้เพียงแค่เทพเซียนเดินดินขอบเขตรวบรวมดาราคงจะไม่เพียงพอ”
โลกกำลังโต้เถียงกันเป็นพัลวัน
แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในโลกใบใหญ่นี้ ซูอี้ไม่ใช่ตัวตนที่เทพเซียนเดินดินผู้ใดจะมองข้ามได้อีกต่อไป!
และในท้ายที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าซูอี้มีพลังต่อสู้ในระดับที่สามารถท้าทายสวรรค์เช่นนี้ทั้ง ๆ ที่อยู่เพียงแค่ขอบเขตปรมาจารย์ได้อย่างไร
นี่เป็นเหมือนความลึกลับที่หลอกหลอนผู้บ่มเพาะในโลกนี้
ส่วนตัวตนโด่งดังอย่างเยว่ซือฉาน หงเซินชาง และฉือเฟิงหลิว พวกเขาต่างคาดเดาเบาะแสบางอย่างได้แต่ยังไม่ชัดเจน พวกเขาคาดเดาได้แค่เพียงผิวเผินจึงไม่อาจเข้าใจได้ทุกอย่าง
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ภาพลักษณ์ของซูอี้ในหัวใจของผู้คนยิ่งลึกลับมากขึ้นหลายเท่าตัว
และเมื่อข่าวการต่อสู้บนยอดผาชมเมฆาสมุทรมาถึงตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง
สีหน้าของโหยวชิงจือเปลี่ยนเป็นมืดหม่นยิ่งกว่าถ่านไม้ นางแทบจะเป็นลมจากข่าวนี้ที่น่าตกตะลึงสุดขีด!