บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 328 แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก
ตอนที่ 328: แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก
ตอนที่ 328: แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก
“ท่านแม่ โปรดระงับอารมณ์เอาไว้ อย่าให้ความโกรธมาทำร้ายร่างกายได้”
ซูป๋ออิ๋นมองโหยวชิงจืออย่างเป็นห่วง
ดวงตาว่างเปล่าของโหยวชิงจือในยามนี้ ดูตื่นตระหนกขึ้นมาทันใดราวกับตนเป็นฝ่ายถูกโจมตีจนไม่เหลือจิตวิญญาณ
“เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อสังหารสัตว์เดรัจฉานอย่างซูอี้ ข้าจึงขอร้องกับท่านผู้นั้น และได้ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าโหยวซิงหลิน กับหลี่ฉางหนิงมาช่วยเหลือทันที สุดท้ายก็ตายอย่างน่าเวทนาด้วยน้ำมือสัตว์เดรัจฉานคนนั้น”
โหยวชิงจือเอ่ยพึมพำ “และยามนี้ แม้แต่ลุงรองเจ้ายังถูกเจ้าสัตว์เดรัจฉานนั้นทำร้ายจนตาย จะไม่ให้ข้าตำหนิตัวเองได้อย่างไร และจากนี้ไปควรจะเผชิญหน้ากับคนในตระกูลอย่างไร?”
น้ำเสียงนางขมขื่น หดหู่และแหบแห้ง
หลังจากได้รู้ข่าวการต่อสู้บนภูเขาจิ่วจี้ ในใจซูป๋ออิ๋นก็เต็มไปด้วยความกลัวและความโมโห แต่ในยามนี้ เขาต้องอดทนและปลอบขวัญมารดาก่อน
“ท่านแม่ ฟ้ายังไม่ถล่ม ท่านอย่าได้ลืมว่ายังมีท่านพ่ออยู่ เขาจะไม่ปล่อยซูอี้ไปแน่!”
ซูป๋ออิ๋นเอ่ยลอดไรฟันออกมา
“บิดาเจ้า…”
แววตาที่ว่างเปล่าของโหยวชิงจือพลันสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกับคนที่กำลังจะจมน้ำตายได้จับฟางข้าวเอาไว้ จู่ ๆ ก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันที “จริงสิ บิดาเจ้ายังอยู่ ด้วยฝีมือของเขา อย่าเอ่ยถึงการสังหารซูอี้เลย แม้แต่สังหารทั้งต้าโจว ก็มิใช่เรื่องยากอะไร!”
“ไป พวกเราไปพบเขากัน!”
ขณะเอ่ยอยู่ โหยวชิงจือก็ลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก
“สังหารทั้งต้าโจว? ท่านพ่อเขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวรึ?”
ซูป๋ออิ๋นสงสัยอยู่ภายในใจ
แม้เขาจะเป็นลูกชายของซูหงหลี่ ทว่าหลายปีมานี้ กลับมิอาจรู้เลยว่า ระดับการฝึกฝนของบิดาซูหงหลี่ท้ายสุดไปถึงขั้นไหนแล้ว
เขารู้เพียงว่า สิบปีก่อน ชื่อเสียงบิดาสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่ลึกลับมากที่สุด และกลายเป็นคู่สมบรูณ์แบบแห่งต้าโจวด้วยกันกับราชครูหงเซินชาง
ส่วนเรื่องอื่น ก็ไม่รู้อะไรเลย
แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของมารดาโหยวชิงจือ ซูป๋ออิ๋นกลับสัมผัสได้อย่างเลือนราง บิดาที่อยู่แต่ในบ้านมาตลอดหลายปี อาจจะแข็งแกร่งเหนือกว่าท่านลุงโหยวเทียนหงมาก!
…..
ลานชิงอู๋
ซูหงหลี่เช็ดหน้าผาก มองโหยวชิงจือที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าโศกเศร้าและอ้างว้าง จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะออกมา “อวดฉลาด!”
เพียงไม่กี่คำนี้ กลับเป็นเหมือนคมมีดที่ทิ่มแทงในใจโหยวชิงจืออย่างรุนแรง
นางสั่นไปทั่งร่าง และเอ่ยด้วยสีหน้าซีดเผือด “หงลี่ ข้าเพียงแค่หวังดีต่อตระกูลซู ท่าน… เหตุใดท่านต้องตำหนิข้าเช่นนี้”
ขณะเอ่ยอยู่ น้ำตาได้ไหลออกมาจากขอบตาแล้ว และสีหน้าก็ยิ่งเศร้าระทมขึ้นไปอีก
ซูหงหลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เพื่อตระกูลซู? ไม่ เจ้าก็แค่อิจฉา อิจฉาที่ซูอี้เจ้าลูกทรพีคนนั้นแข็งแกร่งกว่าป๋ออิ๋น กังวลว่าข้าจะเปลี่ยนใจ ยอมรับลูกทรพีคนนั้น ให้ลูกทรพีคนนั้นมาแทนที่ป๋ออิ๋น และสืบทอดอำนาจผู้นำตระกูลซู ใช่หรือไม่?”
โหยวชิงจือแข็งทื่อไปทั่วร่าง มีสีหน้าแปรเปลี่ยน
“กลับไปเถอะ”
คล้ายกับซูหงหลี่หมดอารมณ์ที่จะสนทนา จึงโบกมือไล่ไป
ความไม่พอใจอย่างรุนแรงพรั่งพรูอยู่ภายในใจโหยวชิงจือ นางเงยหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น สบตาซูหงหลี่ พลางเอ่ย “หงหลี่ ยามนี้ข้าเพียงอยากรู้ เจ้าจะจัดการกับซูอี้อย่างไรกันแน่? และข้าก็อยากได้คำตอบที่ชัดเจนในตอนนี้!”
ซูหงหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ระงับความไม่พอใจ พลางพ่นคำหนึ่งออกมาเบา ๆ
“ตาย”
น้ำเสียงสงบจนถึงขั้นไร้ความรู้สึก
ทว่าหนึ่งคำนี้ กลับทำให้โหยวชิงจือยิ้มออกมา ประหนึ่งยกก้อนหินออกจากอก ทั่วร่างนางพลันผ่อนคลายลง
นางเช็ดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้า และหมุนตัวเดินออกไป
เมื่อร่างนางลับสายตาไปแล้ว ซูหงหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าครู่หนึ่ง “ท่าทางที่ข้าแสดงออกมาก่อนหน้านี้ ยังไม่ชัดเจนอีกรึ?”
ราวกับเขาหมดความสนใจเล็กน้อย
ชายชราชุดเต๋าเอ่ยขึ้น “ข้ากังวลว่าที่พี่ชายและหลานชายของภรรยาสี่ตายด้วยน้ำมือซูอี้ คงมิอาจเลี่ยงการล้ำเส้นได้แล้ว”
ซูหงหลี่โบกมือ ไม่อยากจะเสวนาเรื่องนี้อีก “สหายเต๋า ท่านเอ่ยสิ่งที่ท่านวิเคราะห์การต่อสู้นี้มา”
ชายชราชุดเต๋าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ย “ชายผู้นี้น่าหวาดกลัวมาก”
“น่าหวาดกลัว?”
เมื่อได้ยินคำนี้ออกมาจากปากชายชราชุดเต๋า ซูหงหลี่พลันขมวดคิ้วขึ้น “เชิญสหายเต๋าอธิบายมาอย่างละเอียด”
ชายชราชุดเต๋าหวนนึกรายละเอียดการต่อสู้บนภูเขาจิ่วจี้ และเอ่ยอย่างพิจารณา “แม้คนทั้งโลกจะมองเห็น แต่ดูเหมือนซูอี้จะไม่หวาดกลัวที่จะถูกมองทะลุ และสิ่งที่ทำให้ข้าหวาดกลัวจริง ๆ กลับเป็นพลังแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยขึ้น “อยู่ในระดับขอบเขตปรมาจารย์ มีจิตสัมผัส เรียนรู้จังหวะวิถี ใช้แสงแห่งจิตวิญญาณ และบนเส้นทางวิถีดาบเขาก็มีความสามารถเหนือกว่าเทพเซียนเดินดิน สิ่งเหล่านี้มากพอที่จะประเมินกำลังออกมาได้”
“เชื่อว่าท่านราชครู ฉือเฟิงหลิว จี้เหอ และคนที่เหลือจะต้องเห็นความลึกลับเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน”
“และข้าแน่ใจ ในยามนี้ คงไม่มีผู้ได้รู้ว่าซูอี้นั้นซ่อนพลังแท้จริงไว้มากเท่าใด”
“หากมีแค่นี้ก็คงแล้วกันไป อย่างไรเสียใครบ้างจะไม่มีไพ่ตายของตนเอง?”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ซูหงหลี่พยักหน้า และเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “เชิญสหายเต๋าเอ่ยต่อ”
พลันนัยน์ตาชายชราชุดเต๋าเปล่งประกาย “แต่ซูอี้กลับแตกต่าง การบำเพ็ญของเขาบรรลุเร็วเกินไป”
“ตั้งแต่ออกจากมหานครกุ่นโจว เขาเพิ่งจะมีการบำเพ็ญเพียงแค่ปรมาจารย์ขั้นสอง และใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบวัน เขาก็บรรลุธาตุวิถีขั้นสมบูรณ์แบบเป็นปรมาจารย์ขั้นสี่ได้!”
“สหายเต๋าน่าจะรู้ดี สำหรับคนอย่างซูอี้ ทุกครั้งที่ระดับการบำเพ็ญบรรลุไปหนึ่งระดับ พลังของเขาก็จะเกิดการแปรสภาพที่เด่นชัดและน่าทึ่งมาก”
“และเดาได้ว่า เมื่อเขามาเยือนในวันที่สี่ต้นเดือนห้า ระดับการบำเพ็ญคงบรรลุถึงปรมาจารย์ขั้นห้าแล้ว! เมื่อบรรลุมาถึงขอบเขตนี้ ทั้งห้าขั้นอยู่ในขั้นสมบูรณ์ หมุนเวียนเป็นหนึ่งเดียวกัน การบำเพ็ญ ร่างกาย และจิตวิญญาณทั่วร่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เหนือกว่าจะจินตนาการได้”
“นี่หมายความว่า ซูอี้ในตอนนั้น คงน่าหวาดกลัวกว่าซูอี้ที่สังหารโหยวเทียนหงในยามนี้”
ชายชราชุดเต๋าถอนหายใจออกมาเบา ๆ “นี่เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ข้าสามารถเดาออกมาได้”
ซูหงหลี่เงียบไปครู่หนึ่ง พลางเอ่ยขึ้น “นี่เป็นปัจจัยที่ประเมินไม่ได้จริง ๆ ยังมีสิ่งใดที่ควรค่าแก่การจับตาดูอีกหรือไม่?”
น้ำเสียงเขายังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม ทว่าใบหน้ากลับเผยความเคร่งขรึมออกมา
หลังจากรู้ข่าวโหยวเทียนหงถูกสังหาร ซูหงหลี่ก็รู้สึกประหลาดใจและรู้สึกตื่นเต้น แม้แต่ตัวเขาเองยังยอมรับว่า การประเมินพลังของซูอี้ก่อนหน้านี้ เมื่อกลับไปคิดดูแล้วยังถือว่าต่ำมาก
ในตอนนี้เอง ซูหงหลี่ถึงได้เริ่มมองลูกทรพีที่ถูกเขาเกลียดมานานสิบกว่าปีเสียใหม่ และไม่เพิกเฉยเหมือนก่อนหน้านี้
ความรู้สึกนี้ลุ่มลึกมาก
คล้ายกับมองลิงที่กระโดดโลดเต้นตัวหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีกำลังปั่นป่วนฟ้าดิน ซึ่งทำให้คนรู้สึกแปลกใจ ยอมเก็บความรู้สึกเกลียดและการดูถูกไว้ภายในใจ และจริงจังกับเรื่องเหล่านี้
ชายชราชุดเต๋าสูดหายใจเข้า “ข้าสงสัยว่า บนร่างซูอี้ ต้องมีของล้ำค่าที่น่าหวาดกลัวอยู่แน่!”
“เป็นเช่นนั้นรึ เขาก็มี… ของล้ำค่าอยู่ในมือ?”
แววตาซูหงหลี่เผยความแปลกใจออกมา
คำว่า ‘ก็’ ในประโยคนั้น มีความหมายลึกซึ้งอยู่
สีหน้าชายชราชุดเต๋าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น สายตาแปรเปลี่ยนทันที พลางเอ่ยขณะหวนคิด “ในตอนที่ซูอี้กับโหยวเทียนหงต่อสู้กัน ท่ามกลางความมืดเขาเคยจับลมปราณบางอย่างบนตัวซูอี้ โดยใช้ ‘แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก’ ในการคาดเดา…”
ซูหงหลี่เผยสีหน้าสนใจออกมาทันที
แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก!
นี่คือของล้ำค่าโบราณที่ลึกลับมาก
เพียงแค่รวบรวมลมปราณ ก็สามารถใช้ของล้ำค่านี้ทำการคาดเดาได้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถแอบมองความลึกลับและความจริงของรากฐานเบื้องหลังลมปราณเหล่านี้ได้ ซึ่งเรียกได้ว่ามหัศจรรย์มาก
ไม่มีผู้ใดรู้ หลายปีมานี้ ชายชราชุดเต๋าเคยยืมใช้พลัง ‘แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก’ ช่วยซูหงหลี่ประเมินความลึกลับที่ซ่อนอยู่บนโลกนี้ไม่รู้เท่าไร!
อย่างเช่นแปดมหาขุนเขาปีศาจแห่งต้าโจว ‘แสงสว่างแห่งโลกกว้าง’ ที่กำลังจะมาถึง ความสับสนในการฝึกบำเพ็ญและอื่น ๆ
เมื่อกล่าวอย่างไม่เยินยอ แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็กเรียกได้ว่าเป็น ‘สิ่งของล้ำค่าในโลก’ แน่นอน!
“เหตุใดสหายเต๋าถึงหยุดพูด?”
ซูหงหลี่เลิกคิ้ว และสนใจสีหน้าที่แปลกไปของชายชราชุดเต๋า
“สหายเต๋าดูเองเถิด”
ชายชราชุดเต๋าฝืนยิ้ม พลางนำของล้ำค่าที่มีกลิ่นอายการใช้มาอย่างยาวนาน รูปร่างคล้ายเข็มทิศทรงกลมที่หลอมด้วยทองสัมฤทธิ์ออกมา
ภายนอกของล้ำค่านั้น สลักสัญลักษณ์พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ดอกไม้ นก แมลง ปลา และอื่น ๆ นอกจากนี้ตรงตำแหน่งริมขอบยังฝังลายยันต์ขนาดเล็กเอาไว้
ตรงกึ่งกลางคือไข่มุกวิญญาณโลหิตที่มีรูปร่างคล้ายดวงตา
เมื่อกระตุ้นของล้ำค่าชิ้นนี้ สัญลักษณ์กับลายยันต์ที่สลักไว้ภายนอกจะปรากฏค่ายกลเลือนรางแปลกประหลาดออกมา ราวกับการเรียงตัวของดวงดาว ที่ล้ำลึกมิอาจคาดเดาได้
เมื่อคาดเดาความลึกลับและความจริงได้แล้ว ก็จะสะท้อนออกมาจากไข่มุกวิญญาณโลหิตคล้ายกับดวงตาที่อยู่ตรงกลาง
นี่คือแผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก
ไข่มุกวิญญาณโลหิตที่อยู่ตรงกลาง มีชื่อเรียกว่า ‘ไข่มุกโหราศาสตร์’
แต่ยามนี้ ภายนอกของไข่มุกโหราศาสตร์กลับปรากฏรอยแตกขนาดเล็กออกมา!
เมื่อเห็นภาพนี้ รูม่านตาซูหงหลี่หดลงทันที สีหน้าที่เรียบนิ่งตามปกติ ในที่สุดแปรเปลี่ยนไป
คล้ายกับตกตะลึง และคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อ!
อารมณ์ที่แสดงออกมาเช่นนี้ ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง เห็นได้น้อยมาก
ด้วยเหตุนี้ ก็รู้ได้ทันที เขาในยามนี้ ในใจนั้นมิอาจสงบลงได้!
พลันบรรยากาศอึดอัดทันที
เป็นเวลานาน ซูหงหลี่ถึงควบคุมจิตใจให้มั่น พลางเช็ดหน้าผากและเอ่ยขึ้น “จะบอกว่า ของมีค่าลึกลับในตัวลูกทรพีคนนั้น แข็งแกร่งถึงขนาดที่ทำให้แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็กมิอาจคาดเดาได้?”
ชายชราชุดเต๋าพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“ดูเหมือน ข้ามิอาจดูแคลนเจ้าลูกทรพีคนนี้ได้จริง ๆ”
แววตาซูหงหลี่เปล่งประกายลึกล้ำ “เพียงแต่ ข้าไม่เข้าใจ ของล้ำค่าลึกลับบนตัวเขาได้มาจากที่ใด หรือว่า…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็นึกได้ พลันสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่ง ลมปราณทั่วร่างเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นน่าสะพรึงกลัวทันที
ชายชราชุดเต๋าตากระตุก พลางเอ่ย “สหายเต๋าสงสัยว่าของล้ำค่าลึกลับชิ้นนั้นคือเยี่ยอวี่เฟยเหลือเอาไว้ให้แก่ซูอี้?”
“นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ข้าก็นึกเหตุผลอย่างอื่นไม่ออกอีก”
ซูหงหลี่สูดหายใจเขาลึก และเอ่ยด้วยสายตาน่าสะพรึงกลัว “ข้าสงสัยนานแล้ว ด้วยนิสัยของหญิงชั่วคนนั้น จะไม่เหลือของให้คนสืบต่อได้อย่างไร แต่สุดท้ายจนถึงนางตาย ข้าก็ไม่สามารถหาของที่นางทิ้งเอาไว้เจอเลย ดูเหมือนตอนนี้ ของที่นางทิ้งเอาไว้ น่าจะอยู่กับลูกชายทรพีนั่น!”
เขาโมโหอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งแตกต่างจากความเย็นชาที่แสดงออกมาในยามปกติ จิตสังหารบนใบหน้าทำให้คนหวาดกลัวอย่างมาก
“สหายเต๋าอย่าได้โมโหเลย มันเป็นเพียงแค่การคาดเดาในยามนี้เท่านั้น”
ชายชราชุดเต๋าพูดปลอบใจเสียงต่ำ
ซูหงหลี่สูดหายใจเข้าลึก พลางมองไปที่ชายชราชุดเต๋าทันที และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สหายเต๋า พลังที่ลูกทรพีคนนั้นมี ข้ามิอาจไม่ให้ความสำคัญได้ ทางที่ดีท่านก็ควรเตรียมตัวให้พร้อม”
เมื่อเผชิญกับสายตาซูหงหลี่ในยามนี้ ร่างชายชราชุดเต๋าพลันแข็งทื่อ และมีสีหน้าเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้
เป็นเวลานานเขาถึงได้พยักหน้า พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “สหายเต๋าโปรดวางใจ วันนั้น ไม่ช้าก็เร็วคงจะมาถึง และข้าได้เตรียมพร้อมนานแล้ว”