บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 329 สิ่งที่เรียกว่าของล้ำค่า
ตอนที่ 329: สิ่งที่เรียกว่าของล้ำค่า
ตอนที่ 329: สิ่งที่เรียกว่าของล้ำค่า
ณ วังหลวง
จักรพรรดิโจวลูบพนักแขนเก้าอี้มังกรที่เย็นเฉียบ พลางพยายามผ่อนคลายความตื่นเต้นที่อยู่ในใจ
ไม่ไกลนัก มีหงเซินชางยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายดุจต้นสน และเงียบสงบดั่งเช่นเมื่อก่อน
ทว่าใบหน้าเขากลับเผยความรู้สึกห่อเหี่ยวที่มิอาจลบทิ้งไปได้
“การต่อสู้ก่อนหน้านี้ ไอ้แก่อย่างจี้เหอและอวิ๋นจงฉีคงจะวางแผนรอให้ซูอี้พ่ายแพ้ และปล้นชิงจากศพ แต่ไม่นึกเลยว่า ซูอี้… กลับชนะ?”
เป็นเวลานาน จักรพรรดิโจวถึงได้เอ่ยเสียงเบาด้วยความทอดถอนใจ “และชนะอย่างสวยงาม ไม่สะทกสะท้าน แม้แต่อาการบาดเจ็บก็ไม่มี นี่จะต้องทำให้จี้เหอ อวิ๋นจงฉี และคนอื่น ๆ ผิดหวังมาก?”
ขณะเอ่ยอยู่ สายตาเขาก็มองไปทางหงเซินชาง พลางเอ่ยด้วยความรู้สึกสนใจ “ท่านราชครู เจ้าว่าซูหงหลี่ในยามนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่?”
หงเซินชางส่ายหน้า “ซูหงหลี่ไม่ใช่ซูหงหลี่ในตอนนั้นแล้ว ความคิดเขา ข้าก็มิอาจรู้ได้”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยอย่างไตร่ตรอง “แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ พลังแท้จริงของซูอี้ที่แสดงออกมาบนภูเขาจิ่วจี้ในวันนี้ ต้องอยู่เหนือความคาดหมายของซูหงหลี่แน่ และทำให้เขาจำต้องให้ความสำคัญมากขึ้น”
จักรพรรดิโจวพยักหน้าครู่หนึ่ง และถามขึ้นมาอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าว่า เมื่อวันที่สี่เดือนห้ามาถึง ระหว่างสองพ่อลูกคู่นี้ ผู้ใดจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้ายกัน?”
เมื่อหงเซินชางฟังจบ ดวงตาสีทองเย็นชาคู่นั้นก็มองไปทางจักรพรรดิโจว “ฝ่าบาทยืนอยู่ฝั่งไหน ชัยชนะของฝั่งนั้นก็จะยิ่งมีมาก”
จักรพรรดิโจวถอนหายใจออกมาเสียงเบา “หากเรื่องมันง่ายเช่นนี้ก็ดีน่ะสิ”
“ฝ่าบาท องค์ชายใหญ่ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงที่เคารพเล็กแหลมดังขึ้นมาจากด้านนอกตำหนัก
“ให้เขาเข้ามา”
ขณะที่จักรพรรดิโจวเอ่ยอยู่ ก็ชำเลืองมองหงเซินชางพลางเอ่ย “เจ้าดูสิ แม้แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังตื่นตกใจกับเรื่องนี้เลย”
หงเซินชางเงียบ
ไม่นาน ชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาดุจหยก สวมชุดสีเทาเดินเข้ามาในตำหนัก และก้มตัวทำความเคารพ “หม่อมฉันคารวะเสด็จพ่อ!”
ชายหนุ่มผู้ที่มีความสามารถด้านกวี ผมเกล้าเป็นมวยสูง ดูหล่อเหลาสง่างามมาก
เป็นองค์ชายใหญ่ โจวจือเฉียน
คือองค์ชายที่เรียกได้ว่าลึกลับผู้หนึ่ง
สาเหตุเป็นเพราะเขาถูกส่งไปฝึกบำเพ็ญบนหุบเขามังกรเร้น ตั้งแต่เด็ก หลายปีมานี้ แทบจะไม่เคยปรากฏตัวออกมา และออกเดินทางในโลกสามัญนี้น้อยมาก
“ในที่สุดเจ้าก็ยอมมาพบข้าแล้ว”
แววตาจักรพรรดิโจวเจือไปด้วยความสับสน
ลูกชายคนโตผู้นี้ ในตอนที่ยังแบเบาะ ก็ได้รับความสนใจจากกลุ่มมังกรเร้น คิดว่าเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ล้ำเลิศโดยกำเนิด คือบุคคลที่เหมาะแก่การฝึกบำเพ็ญ
และไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม โจวจือเฉียนก็ถูกอุ้มพาไปฝึกบำเพ็ญบนหุบเขามังกรเร้นที่มีกลุ่มมังกรเร้นอาศัยอยู่
ชั่วพริบตาเดียวก็ยี่สิบห้าปีผ่านไปแล้ว
ในระหว่างหลายปีนี้ แม้แต่จักรพรรดิโจวองค์ปัจจุบันที่มีฐานะเป็นพระบิดา ก็พบกับโจวจือเฉียนนับครั้งได้
ยามนี้ เมื่อมองลูกชายคนโตที่หล่อเหลาสง่างาม บุคลิกสูงส่ง เงียบไม่เอ่ยสิ่งใด ในใจจักรพรรดิโจวก็รู้สึกจนใจอย่างช่วยไม่ได้
นี่คือการเข้ากันไม่ได้
แม้จะเป็นบิดา เมื่อพบหน้ากันกลับห่างเหินประหนึ่งราชาและข้าทาส!
“พูดมาสิ เจ้ามีเรื่องอันใดถึงมาที่นี่?”
จักรพรรดิโจวเอ่ยถาม
โจวจือเฉียนถึงได้เอ่ยขึ้น “เรียนเสด็จพ่อ ผู้อาวุโสใหญ่เชิญพระองค์เดินทางไปพบที่หุบเขามังกรเร้น”
จักรพรรดิโจวหรี่ตาขึ้น “ผู้อาวุโสใหญ่มีเรื่องอันใด?”
โจวจือเฉียนเงียบไป
จักรพรรดิโจวเอ่ยด้วยความเย็นชา “ในฐานะที่เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็มิกล้าบอกกับข้ารึ?”
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม ปะทุความโมโหออกมา ทำให้บรรยากาศในตำหนักเปลี่ยนเป็นกดดันอย่างมาก
ทว่าคล้ายกับโจวจือเฉียนไม่รู้สึกตัว พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ผู้อาวุโสใหญ่สั่ง หม่อมฉันมิกล้าล่วงเกิน”
เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิโจวอยากจะพูดอะไรอีก หงเซินชางก็เอ่ยขัด “ฝ่าบาท อย่าทำให้เด็กลำบากใจเลย ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่เชิญเพราะมีเรื่อง พระองค์ไปด้วยตัวเองดูสักรอบ น่าจะรู้เองพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิโจวถอนหายใจยาวออกมา พลางโบกมือ “เจ้ากลับไปเถิด และกลับไปบอกผู้อาวุโสใหญ่ อีกหนึ่งชั่วยาม ข้าจะไปพบเขา”
โจวจือเฉียนคำนับ และหมุนตัวเดินออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาปฏิบัติตามพิธีการของขุนนางอย่างเคร่งครัด ทว่าเมื่อสิ่งนี้อยู่ในสายตาจักรพรรดิโจว กลับทำให้ในใจเขาเจ็บปวด
“การฝึกบำเพ็ญจำเป็นจะต้องตัดความสัมพันธ์พ่อลูกเลยรึ? บนโลกนี้จะมีวิธีไร้ความรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร!”
จักรพรรดิโจวมีท่าทางโกรธเกรี้ยว
หงเซินชางเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาทอย่าได้โมโหเลย เมื่อเทียบกับคู่พ่อลูกซูหงหลี่กับซูอี้ สิ่งนี้ถือว่าไม่เลวร้ายอันใด”
จักรพรรดิโจวตกใจไปครู่หนึ่ง พลางเอ่ยเยาะตัวเอง “ยอมรับว่าซูหงหลี่ทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใสเล็กน้อย เขากล้าสังหารภรรยา กล้าทำร้ายลูกชาย และยังเย็นชาโหดเหี้ยมกว่าข้าที่เป็นจักรพรรดินัก”
หงเซินชางเอ่ย “ฝ่าบาท ในความคิดข้า ยามนี้ท่านควรสนใจกลุ่มมังกรเร้นเหล่านั้นว่าต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่”
จักรพรรดิโจวยิ้มเยาะ “จะมีสิ่งใดอีก ต้องเป็นเรื่องของซูอี้อยู่แล้ว! หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาคงจับจ้องไปที่ของล้ำค่าบนร่างซูอี้!”
หงเซินชางถามอีกครั้ง “เช่นนั้นฝ่าบาทจะจัดการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิโจวลุกจากเก้าอี้มังกร และเอ่ยด้วยแววตาลุ่มลึก “ในสายตาปุถุชน ข้าคือจักรพรรดิแห่งต้าโจว มีตำแหน่งสูงส่ง มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ แต่ใครจะรู้ ยังมีภูเขาใหญ่กดทับอย่างหนักหน่วงอยู่บนหัวข้า?”
น้ำเสียงเจือไปด้วยโทสะ “หากมิใช่เพราะเขาลูกนี้ ไหนเลยข้าจะถูกขังอยู่ระดับบรรพจารย์ยุทธปฐมสวรรค์มานานนับยี่สิบปี?”
ขณะเอ่ยอยู่ เขาชี้เก้าอี้มังกรที่อยู่ด้านหลัง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “พวกเขาบอกข้า ตราบใดที่นั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ จะต้องละทิ้งความคิดที่จะฝึกตน”
“และพวกเขายังบอกข้าอีกว่า แรงศรัทธาที่สร้างจากผู้คน จะต้องส่งผลกระทบต่อตำแหน่งจักรพรรดิแห่งต้าโจว และราชนิกุลแห่งต้าโจวจะถูกกักขังด้วยแรงศรัทธาของผู้คน”
นัยน์ตาเขาลุ่มลึก แฝงไว้ด้วยความชัง “แต่หลายปีที่พวกเขาอยู่บนหุบเขามังกรเร้น พวกเขากลับใช้แรงศรัทธาของผู้คนฝึกบำเพ็ญทั้งวันทั้งคืน!”
“นี่ยังไม่พอ ยังต้องการให้ข้าเป็นหุ่นเชิด ช่วยพวกเขารวบรวมข้อมูลฝึกบำเพ็ญใต้โลกหล้านี้อีก!”
สีหน้าจักรพรรดิแห่งต้าโจวพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมน่าหวาดกลัว “เพื่อวัดความมั่งคั่งของต้าโจว นำแรงศัรทธาของเหล่าคนจนมาบูชากลุ่มมังกรเร้นอย่างพวกเขา เพื่อให้ความปรารถนาในวิถีของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา นี่มัน… โลภเกินไปหรือไม่!?”
น้ำเสียงดังก้องไปทั่วตำหนัก
หงเซินชางเงียบสงบไม่เอ่ยสิ่งใด
เขารู้ว่านี่คือความทุกข์ใจของจักรพรรดิโจว ตั้งแต่ครองบัลลังก์ในวันนั้น ราวกับมีของแหลมทิ่มแทงใจเขา และเก็บสะสมไว้มาจนถึงทุกวันนี้
ไม่นาน จักรพรรดิโจวสูดหายใจเข้าลึก และเอ่ยพร้อมด้วยแววตาเปล่งประกาย “หากพวกเขาอยากจะเข้าร่วม ก็ให้พวกเขาเข้าร่วมไป!”
ทันใดนั้น ในหัวหงเซินชางก็ปรากฏประโยคหนึ่งออกมา
นกกับหอยทะเลาะกัน แต่คนตกปลาได้รับประโยชน์*[1]
…..
ณ ลานซงเฟิงเปี๋ย
กำลังมีงานเลี้ยงเกิดขึ้น
ในนั้นมีราชาสะกดขุนเขามู่ซี ผูอี้ เจียงถานอวิ๋น หลูฉางเฟิงและคนที่เหลือเข้าร่วม ต่างยกแก้วเหล้าพูดคุยกับซูอี้อย่างสนุกสนาน บรรยากาศนั้นกลมกลืนมาก
เพียงแต่เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในต้าโจวแต่ละคนต่างก็รู้สึกนับถือ
การต่อสู้ในวันนี้ สำหรับคนอื่น คือเรื่องที่มากพอจะทำให้สั่นสะเทือนไปทั่วหล้า
แต่สำหรับพวกเขาที่ยืนอยู่บนเรือลำเดียวกันกับซูอี้ ก็ชัดเจนแล้วว่า ที่พวกเขาเลือกในตอนนั้นถูกต้องแล้ว!
ความจริงแล้ว ภายในมหานครหลวงอวี้จิงยามนี้ ยังมีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยที่ยังเป็นศัตรูกับซูอี้ ทว่าพวกมู่ซีไม่ได้กังวลเกี่ยวกับซูอี้อย่างเมื่อก่อนแล้ว!
ในระหว่างที่สนทนากัน ซูอี้ก็ได้ทราบ ว่าหลังฝึกฝนบำเพ็ญ ‘คัมภีร์รู้แจ้งตะวันมืด’ ที่ถ่ายทอดมาจากตัวเอง มู่ซีขณะนี้จึงมีระยะห่างการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทพเซียนเดินดินเพียงแค่หนึ่งขั้นเท่านั้น
นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี
เมื่องานเลี้ยงเหล้าจบลง มันก็ดึกมากแล้ว
มู่ซีและคนอื่น ๆ จึงขอตัวลากลับ
ซูอี้เองก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ จับดาบโบราณสีเงินไว้และจมเข้าไปในห้วงแห่งความคิด
วันนี้ตอนที่ต่อสู้กับโหยวเทียนหงบนยอดเขาจิ่วจี้ เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของล้ำค่าที่ผิดปกติ
คลื่นพลังนั้นลึกลับมาก เหมือนกับอยากสอดแนมความลึกลับในตัวเขา
ทว่ายังดีที่การสอดแนมนั้นล้มเหลว เพราะถูกลมปราณของดาบเก้าคุมขังที่อยู่ในจิตวิญญาณเขาทำลายไป และพังทลายไปโดยปริยาย
แม้นี่จะเป็นการแทรกแซงเล็กน้อย แต่กลับทำให้ซูอี้ระวังตัว เมื่อตระหนักว่าบนภูเขาจิ่วจี้วันนี้ มีคนพยายามถือโอกาสสอดแนมความลับบนตัวเขา!
“เป็นเขารึ…”
ซูอี้หวนนึกถึงหลายวันก่อน ภาพที่ซูหงหลี่คุมเชิงอยู่ไกล ๆ ภายใต้เชิงเขานอกเมือง
ตอนนั้น มีคนซ่อนอยู่ในความมืด แสดงคาถาลับ พยายามสอดแนมลมปราณบนร่างเขา
และวันนี้ ก็เกิดเรื่องที่คล้ายกันขึ้น!
เพียงแต่พลังที่สอดแนมนั้นมาจากของล้ำค่ามหัศจรรย์มากชิ้นหนึ่ง ซึ่งสามารถทำให้ดาบเก้าคุมขังสั่นสะเทือนและตอบสนองกลับทันที
“หากคือคนที่อยู่กับซูหงหลี่จริง ๆ เกรงว่าซูหงหลี่ในเวลานี้คงจะเริ่มสงสัยแล้วว่าบนร่างข้ามีไพ่ไม้ตายซ่อนอยู่?”
ซูอี้ทำท่าทางครุ่นคิด
ทุกคนต่างคิดว่าบนร่างเขามีของล้ำค่าชิ้นใหญ่ ไม่เช่นนั้น คงมิอาจมีพลังสังหารเทพเซียนเดินดินด้วยระดับการฝึกตนขอบเขตปรมาจารย์
นี่คือการรับรู้ที่น่าตลกมาก
แต่หากบอกว่ามีของล้ำค่าบนร่างเขาจริง ๆ มันก็เป็นความจริงเช่นกัน!
อาศัยประสบการณ์การฝึกบำเพ็ญเมื่อหนึ่งแสนแปดพันปีก่อน รวมถึงเรียนรู้คัมภีร์ยอดเยี่ยมมากมาย แล้วเลือกออกมาอย่างหนึ่ง ก็สามารถทำให้ทั้งมหาทวีปคังชิงเกิดพายุนองเลือดขึ้นได้
ช่างน่าเสียดาย ความฉลาด ประสบการณ์ชาติก่อน และของล้ำค่ามันต่างกัน จึงมิอาจแย่งชิงไปได้
บนร่างเขา สิ่งที่สามารถถือว่าเป็นไพ่ไม้ตายจริง ๆ คงจะเป็นดาบเก้าคุมขัง!
ดาบที่มีความเป็นมาลึกลับ แม้ในตอนที่เขาอยู่บนจุดสูงสุดในชาติก่อน ก็มิอาจเดาความลับที่ซ่อนไว้ในนั้นได้
ตอนนั้นผีหมัว ศิษย์เอกของเขาคิดว่า ซูเสวียนจวินอาศัยดาบนี้พิสูจน์วิถีดาบ ด้วยเหตุนี้จึงค่อย ๆ รุ่งโรจน์ขึ้นมา
ชิงถัง ศิษย์คนเล็กของเขาก็คิดว่า ดาบนี้มีของล้ำค่าชิ้นใหญ่ซ่อนอยู่ และเป็นของล้ำค่าที่สุดบนร่างซูเสวียนจวิน ด้วยเหตุนี้หลังจากที่กลับชาติมาเกิด อีกฝ่ายก็ไม่เสียดายที่จะเปิดโลงศพเขา เพื่อรับดาบเล่มนี้มา
แต่ที่น่าเสียดายคือ พวกเขาไม่รู้ว่า ซูอี้ที่ถูกพวกเขาบูชาเป็นเทพเจ้าในตอนนั้น ตัวชายหนุ่มเองก็มิอาจล่วงรู้ความเร้นลับในดาบเล่มนี้ได้…
จนถึงปัจจุบันนี้ ซูอี้สามารถแน่ใจได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
ตราผนึกโซ่ตรวนศักดิ์สิทธิ์เก้าชั้นสะกดดาบเก้าคุมขัง ทุกชั้นล้วนมีความเป็นมา!
ตอนที่เขากำลังฝึกบำเพ็ญ ‘คัมภีร์เขากลายสู่อิสระ’ ในตอนนั้น เคยสัมผัสถึงลมปราณของตราผนึกโซ่ตรวนศักดิ์สิทธิ์เก้าชั้นแผ่กระจายออกมา และแต่ละชั้นล้วนแตกต่างกัน
และการคงอยู่ของดาบเก้าคุมขัง ก็มีไว้เพื่อสะกดข่มกันและกัน!
นอกจากนี้ ทุกครั้งที่การฝึกฝนบำเพ็ญของซูอี้บรรลุได้อย่างแท้จริง ดาบเก้าแดนคุมขังก็จะเกิดการคำราม และคลื่นพลังแปลกประหลาดจะปรากฏออกมา
พลังแปลกประหลาดนี้สามารถผสานเข้ากับการบำเพ็ญของเขา ทำให้ในตอนที่บรรลุ เกิดการเปลี่ยนแปลงของรากฐานอย่างมาก
อย่างเช่นตอนนั้นที่หลอมเปิด ‘ชีพจรลับ’ อยู่เรือนพำนักหินศิลาในแคว้นกุ่น เพราะเคยผสานลมปราณของดาบเก้าคุมขัง จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ยอดเยี่ยมขึ้น
ในตอนนั้น คล้ายกลับมีแสงดาวทางช้างเผือก ตกลงสู่โลกมนุษย์!
ครั้งนั้นทำให้ซูอี้หลอม ‘ชีพจรลับ’ ที่เหนือจินตนาการออกมาได้ ซึ่งมันเกินกว่าที่เขาประเมินไว้มากนัก!
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้ถึงได้สรุปออกมาได้อย่างหนึ่ง
การมีอยู่ของดาบเก้าคุมขัง สามารถช่วยเขาหลอมรากฐานที่ดีที่สุดออกมาในระหว่างที่เขาบรรลุการบำเพ็ญได้!
[1] นกกับหอยทะเลาะกัน แต่คนตกปลาได้รับประโยชน์ หมายถึง ยามที่ต้องทะเลาะ หรือมีปากเสียงกับผู้อื่น ควรใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาแทนที่จะใช้อารมณ์ มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่าย ปล่อยให้มือที่สามได้รับประโยชน์ไปฟรี ๆ