บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 330 ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง เกิดสีโปร่งใส
ตอนที่ 330: ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง เกิดสีโปร่งใส
ตอนที่ 330: ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง เกิดสีโปร่งใส
“เมื่อบรรลุปรมาจารย์ขั้นห้าแล้ว ดาบเก้าคุมขังจะเกิดสิ่งใดขึ้นอีกหรือไม่?”
ในตอนที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ซูอี้มิอาจทนความอยากรู้ได้
เมื่อบรรลุถึงปรมาจารย์ขั้นห้า ก็สามารถหลอมเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณออกมาได้ ทำให้อวัยวะทั้งห้าที่เหมือนกับเตาหลอมห้าธาตุ หมุนเวียนรวมกันเป็นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ทำให้การฝึกฝน จิตวิญญาณ และร่างกายแปรสภาพจากด้านในสู่ด้านนอกพร้อมกัน!
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูอี้จึงตัดสินใจลองทำดู
เขาเก็บดาบโบราณสีเงินในมือไว้ พลางลุกขึ้นจากโต๊ะหนังสือ เดินมาบนเตียง และนั่งทำสมาธิ
ครืน
เมื่อลมปราณขับเคลื่อนไปทั่วร่าง ภายในร่างซูอี้ราวกับแม่น้ำแยงซี เกิดเสียงที่เหมือนกับควบม้า พลังธาตุแท้ที่โหมซัดไหลผ่านไปทั่วร่าง ชะล้างเส้นลมปราณทั่วร่าง หลังจากอวัยวะภายในเกิดการหลอมแต่ละครั้ง มันจะกลับไปเลี้ยงทั่วร่าง และก่อเป็นวัฏจักร…
ผิวของเขาสว่างไสว บนร่างค่อย ๆ สะท้อนธาตุไม้ ทอง ไฟ และน้ำ สี่แสงแห่งจิตวิญญาณที่งดงามออกมา ทั่วร่างอาบไปด้วยลมปราณศักดิ์สิทธิ์
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เป็นเวลาสามวันเต็มที่ซูอี้นั่งทำสมาธิ โดยไม่ได้ออกไปไหน ประหนึ่งรูปปั้นดิน มีเพียงบางครั้งที่กินโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรเท่านั้น
และในค่ำคืนวันที่สามนั้นเอง
ตูม! ตูม!
ภายในห้อง ในร่างซูอี้เกิดเสียงราวกับพายุโหมพัดรุนแรง และเหมือนกับมีภูเขาขนาดใหญ่หลายลูกปะทะกันอยู่ภายใน
ทั้งที่เป็นเพียงเสียงขับเคลื่อนลมปราณ แต่กลับทำให้ผู้คนหวาดกลัวยิ่ง
ปราณและจิตวิญญาณของเขา คล้ายกับเขื่อนที่แตก ชั่วพริบตาหนึ่งทั้งหมดพลันพรั่งพรูออกมาจากเตาหลอมม้าม
พุ่งตรงไปตลอดทาง ราวกับบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่*[1]
ตูม!
พริบตานั้น ซูอี้ที่นั่งทำสมาธิอยู่พลันสั่นไหว คล้ายกับมีม่านกั้นที่มองไม่เห็นถูกทะลวงเปิดออก พลังทั่วร่างราวกับพายุคลื่นที่ทลายภูเขาลงมา และระเบิดแตก
เลือดลมปราณเขาเดือดพล่าน การขับเคลื่อนลมปราณดั่งการเผาไหม้ พลังการบำเพ็ญมหาศาลทำให้เตาหลอมอวัยวะทั้งห้าหมุนโคจรขึ้นมา เกิดการผสานพลังร่างกายกับจิตวิญญาณ ลมปราณทั้งในและนอกล้วนเกิดเป็นวัฏจักรสมบูรณ์แบบในยามนี้
ฟึบ!
พลันร่างเขามีลำแสงสีเหลืองหนากว้างพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก็พุ่งสูงถึงแปดร้อยจั้ง
แสงเบญจธาตุ ธาตุดิน!
ในตอนนี้เอง การบำเพ็ญที่ซูอี้ทุ่มเทแรงกาย โดยใช้วิธีเหมือนโรมรุกบุกตะลุย ได้ทะลวงม่านกั้นสุดท้ายอย่างสบาย และก้าวเข้าไปสู่ปรมาจารย์ขั้นห้า!
ครืน!
ลมปราณทั่วร่างเขา สูงราวกับน้ำขึ้น และพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
แสงเบญจธาตุสีครามธาตุไม้ สีขาวธาตุทอง สีดำธาตุน้ำ สีแดงธาตุไฟพลันลอยสูงขึ้นพร้อมกัน พุ่งสูงไปถึงแปดร้อยจั้ง และตอบรับกับแสงเบญจธาตุสีเหลืองธาตุดิน
จนท้ายที่สุด แสงเบญจธาตุห้าชนิดก็พุ่งสูงขึ้นพร้อมกัน จากความสูงแปดร้อยจั้งไปถึงหนึ่งพันจั้ง!
เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณนั้น คล้ายกับห้าธาตุรวมกันเป็นหนึ่ง ก่อตัวเป็นวงกลมราวกับวงแหวนเดียวกัน!
“แสงเบญจธาตุที่สูงหนึ่งพันจั้ง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในเก้ามหาแดนดินนี้ไม่เคยมีผู้ใดทำได้เลย…”
ซูอี้รู้สึกภูมิใจในตัวเองทันที
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาสอนศิษย์คนเล็กชิงถังฝึกฝนการบำเพ็ญ ด้วยพรสวรรค์ที่มากพอจะสร้างความน่าทึ่งให้กับโลกอย่างชิงถัง สุดท้ายก็หลอม ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ออกมาสูงเพียงแค่หนึ่งร้อยจั้งเท่านั้นในขณะมีการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตหลอมกำเนิด
และเขาในโลกนี้ ก็สร้างความสำเร็จที่ไม่เคยเกิดที่ใดมาก่อนในขณะมีระดับการฝึกฝนนี้ ซึ่งคือเรื่องมหัศจรรย์ที่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!
ยามนี้ ในหัวซูอี้ได้ยินเสียงคำรามของดาบดังออกมาอย่างเลือนราง
ตัวดาบที่ถูกพันด้วยตราผนึกโซ่ตรวนศักดิ์สิทธิ์เก้าชั้นสั่นขึ้นมาเล็กน้อย พลางแผ่พลังที่ลึกลับแปลกประหลาดออกมา และรวมเข้าไปภายในร่างของซูอี้
การเปลี่ยนแปลงที่ล้ำลึกและมหัศจรรย์นี้ถูกซูอี้รับรู้ได้ในทุกรายละเอียด
ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ทันที รากฐานของเขาได้แปรสภาพมาถึงระดับปรมาจารย์ขั้นห้าแล้ว และเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งขึ้น
แสงเบญจธาตุห้าชนิดผสานเข้าด้วยกัน รวมตัวกันเป็นหนึ่ง แปรสภาพเป็นสีโปร่งใสมีชีวิตชีวา
โปร่งใสดั่งหยก ขมุกขมัวดั่งความยุ่งเหยิง
และเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์!
“ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง มีสีโปร่งใส รูปร่างราวกับยุ่งเหยิง ไร้แก่นสาร ลมปราณสลัว! นี่… หรือจะเป็นขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตนี้?”
ซูอี้ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าเหลือเชื่อและมหัศจรรย์นี้
เดิมที แสงเบญจธาตุที่หลอมออกมาด้วยธาตุวิถีของเขา ในเก้ามหาแดนดินนี้ เรียกได้ว่าไม่ซ้ำใครในโลก และโดดเด่นมาก
แต่ด้วยพลังแปลกประหลาดที่เกิดจากดาบเก้าคุมขัง ทำให้ ‘แสงเบญจธาตุ’ หลอมรวมกันได้อย่างแท้จริง!
การเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยประสบการณ์ในชาติก่อนของซูอี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!
จากนั้นซูอี้ก็สัมผัสได้ถึงพลังธาตุแท้ภายในร่างตัวเอง ได้แปรสภาพเป็นสีโปร่งใสมีชีวิตชีวา!
คล้ายกับขมุกขมัวไร้แก่นสาร แต่จริง ๆ แล้วพลังเกาะรวมกันอย่างขีดสุด ทั้งหนักทั้งหนา มีพลังมหาศาล ลมปราณราวกับความยุ่งเหยิง!
ไม่แปลกใจที่การแปรสภาพนั้นจะน่าทึ่งยิ่ง
เป็นเวลานาน การแปรสภาพทั้งหมดถึงได้หยุดลงอย่างเงียบ ๆ
เสียงการขับเคลื่อนลมปราณบนร่างซูอี้ พลันเงียบสงัดลง
เขาลืมตาขึ้นมาจากการนั่งทำสมาธิ ดวงตานิ่งเรียบลึกซึ้ง ลมปราณทั่วร่างแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายที่มีชีวิตชีวาและเลือนราง
“เป็นดั่งที่คาดไว้ เมื่อธาตุวิถีทั่วร่างบรรลุไปถึงขีดสุด ก็สามารถดึงพลังเก้าดาบคุมขังออกมาได้ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รากฐานที่สร้างในตอนบรรลุได้รับการยกระดับไปด้วย!
แววตาของซูอี้เปล่งประกายดั่งดารา มุมปากวาดขึ้นเล็กน้อย เกิดความรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
นี่คือความรู้สึกถึงความสำเร็จที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งทำให้ผู้คนมีความสุข และสุดจะพรรณนาได้
เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ความสุขต่าง ๆ ในโลกก็ดูจืดชืดและน่าเบื่อทันที
พรึบ!
จิตสัมผัสของซูอี้แผ่ขยาย เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก็ปกคลุมไปทั่วทั้งลานซงเฟิงเปี๋ย
พลังใบและกิ่งของต้นสนทุกต้นในลานบ้าน ฝุ่นละอองที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ แสงจันทร์และแสงดาวปกคลุมในความมืดมิด รวมทั้งเสียงร้องของแมลงที่อยู่มุมกำแพง ร่องรอยเล็กน้อยของกระแสอากาศที่เคลื่อนไหวไปมา…
ราวกับทุกอย่างอยู่ต่อหน้า!
ในห้องอีกด้านหนึ่ง ฟางหยวนกำลังหลับสบาย การเปลี่ยนแปลงของลมปราณบนร่างเขา และกระแสอากาศที่เกิดจากการหายใจ ทั้งหมดอยู่ในสายตาของซูอี้
ด้วยจิตสัมผัสที่แผ่ขยายออกไป แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก็แผ่ขยายในขอบเขตหนึ่งร้อยจั้ง การเคลื่อนไหวทั้งหมดในลานซงเฟิงเปี๋ยล้วนรับรู้ได้อย่างชัดเจน
จนกระทั่งจิตสัมผัสแผ่ขยายไปถึงสองร้อยจั้ง ซูอี้ถึงได้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
ซูอี้จึงเก็บจิตสัมผัส และสะบัดมือออกมา
ฟึบ!
ปราณดาบสีใสแผ่ออกมา สะท้อนแสงสว่างไปทั่วห้อง
ปราณดาบวูบวาบ เลือนรางมีชีวิตชีวา มีจังหวะวิถีลึกลับที่ไหลเวียน บางครั้งก็มีเงาแสงของแสงเบญจธาตุเปล่งประกายออกมา ช่างลึกลับยิ่ง
เมื่อจ้องมองปราณดาบนี้ชั่วครู่หนึ่ง ซูอี้จึงเอ่ยขึ้น “เมื่อเทียบกับปรมาจารย์ขั้นสี่ พลังปราณดาบที่ข้าควบคุมในยามนี้แข็งแกร่งกว่าหลายเท่า และพลังก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ซึ่งมิอาจนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย”
“ด้วยพลังปราณดาบนี้ ไม่ต้องใช้ดาบนิลกาฬกลืนฟ้า ก็สามารถสังหารเทพเซียนเดินดินขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบรูณ์แบบอย่างโหยวเทียนหงได้!”
นี่คือปรามาจารย์ขั้นห้า หลังจากผ่านการสั่งสมประสบการณ์ต่าง ๆ ในปรมาจารย์ขั้นสี่ สุดท้ายก็บรรลุการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระดับนี้
ไม่เพียงแต่เป็นการบำเพ็ญ แม้แต่จิตวิญญาณ ร่างกายและรากฐานต่างก็ได้รับการแปรสภาพทั้งหมด!
ในสถานการณ์นี้ กำลังรบทั่วร่างของซูอี้ มิอาจเทียบกับก่อนหน้าได้
ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่ ซูอี้ก็นำดาบโบราณสีเงินออกมา
ดาบเล่มนี้ คือดาบล้ำค่าโบราณที่โหยวเทียนหงเหลือเอาไว้ คาดว่าน่าจะได้มาจากซากโบราณในส่วนลึกทะเลวิญญาณโกลาหล ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ วิธีการหลอม หรือพลัง ต่างก็อยู่ในระดับสูงสุดของศาสตราวิญญาณวิถีต้นกำเนิด
แต่จิตวิญญาณชือหลง*[2] ที่ถูกผนึกไว้ภายในดาบนี้ ได้ถูกนกกระจอกเพลิงยมโลกกลืนกินไปแล้ว จึงทำให้ความสามารถของดาบนี้ลดลงไปอย่างมาก
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ดาบนี้ก็ยังคงเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยาก และเพียงพอจะเป็นที่หมายตาของเทพเซียนเดินดิน
และในตอนนี้ ซูอี้ก็กำลังกวัดแกว่งปราณดาบสีใสออกมาเก้าครั้งด้วยกัน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ดาบโบราณสีเงินหักไปทีละน้อย และส่งเสียงไพเราะขึ้นมา
ภายใต้ปราณดาบสีใสของซูอี้ ของโบราณชิ้นนี้เป็นเหมือนกับอาวุธมีดธรรมดา ที่ถูกตัดจนหักออกมาง่าย ๆ!
ซูอี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเผยความรู้สึกพึงพอใจออกมา
เขานำดาบนิลกาฬกลืนฟ้าออกมา และทำการ ‘ให้อาหาร’ ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าโดยใช้เศษวัตถุวิญญาณที่ได้มาจากดาบโบราณสีเงิน เพื่อเพิ่มพลังให้แก่ดาบนิลกาฬกลืนฟ้า
หากไม่รีบเพิ่มระดับของดาบเล่มนี้ เกรงว่าคงจะไม่คู่ควรกับพลังใหม่ที่เขามีในตอนนี้…
“ด้วยพลังในร่างตอนนี้ เทียบเท่ากับร่างทองคำของผู้ฝึกบำเพ็ญวิถีพุทธระดับวิถีต้นกำเนิด และสามารถฝึกร่างกายด้วยเคล็ด ‘ดาบแห่งดวงดาว’ ได้แล้ว!”
“และตอนนี้ ข้าได้หลอมเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง มากพอที่จะสังหารศัตรู เปิดใช้ ‘เขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ’ ได้”
“พลังจิตวิญญาณก็สามารถฝึกบำเพ็ญ ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ ได้…”
ซูอี้ครุ่นคิด
ระดับการบำเพ็ญปรมาจารย์ขั้นห้า ทำให้มีโอกาสได้แสดงวิชาที่มิอาจแสดงได้ในอดีต
และเมื่อผ่านการคัดเลือกจากซูอี้ สุดท้ายก็เลือก ‘ดาบแห่งดวงดาว’ ‘เขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ’ ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ เป็นเป้าหมายในการฝึกบำเพ็ญขั้นต่อไป
อย่าง ‘เขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ’ คือเคล็ดวิชาดาบยอดเยี่ยมที่ซูอี้สร้างขึ้นในชาติก่อน และมีชื่ออยู่ใน ‘สามสิบสามอันดับยอดวิชาดาบแห่งเก้ามหาแดนดิน’
นี่คือวิชาวิถีดาบค่ายกลสังหาร มีพร้อมทั้งรุกและรับ เหมาะสมต่อการใช้ร่วมกันกับเพลงดาบสุดปรีดี
‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ เป็นวิชาฝึกจิตวิญญาณ มุ่งเป้าไปที่พลังจิตสัมผัสโดยเฉพาะ มีพลังแข็งแกร่งกว่าเพลงดาบมหามิติพรากวิญญาณ รุนแรงจนมิอาจมีสิ่งใดเทียบ
ส่วน ‘ดาบแห่งดวงดาว’ เป็นส่วนหนึ่งของวิชามารฝึกร่าง แค่แสดงออกมา ราวกับดวงดาวที่อยู่บนฟ้า ซึ่งมีพลังทำลายล้างอย่างมาก
นี่คือการบำเพ็ญปรมาจารย์ขั้นห้าของซูอี้ในตอนนี้ สามารถควบคุมและแสดงทั้งสามวิชาได้ และความลับในนั้น เกี่ยวข้องกับการใช้พลังห้าธาตุ
หากซูอี้ไม่ได้กลั่นเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณออกมา คงไม่มีโอกาสได้แสดงวิชาเหล่านี้ในโลกใบนี้แน่
ต่อจากนั้น ซูอี้ก็ไม่ได้ออกไปไหน เขาแทบอุทิศตนเพื่อฝึกฝน!
มีฟางหยวนอยู่ด้วย ซูอี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารสามมื้อในแต่ละวันอีกแล้ว
วันแรกของเดือนห้ามาถึงอย่างรวดเร็ว
ห่างจากเหตุการณ์ต่อสู้บนเขาจิ่วจี้ ประมาณสิบวัน
ในสิบวันนี้ ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรภายในมหานครหลวงอวี้จิง และเงียบสงบมาก
แต่กองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่ในมหานครหลวงอวี้จิงต่างก็รู้ดี ว่านี่คือความสงบก่อนพายุจะมา
ทุกคนต่างรู้ การต่อสู้ของซูอี้กับซูหงหลี่สองพ่อลูก ใกล้จะเปิดฉากขึ้นแล้ว!
“อีกสามวัน คือวันที่สี่เดือนห้า สองพ่อลูกตระกูลซู ไม่ว่าจะเป็นซูหงหลี่ หรือว่าซูอี้ ล้วนสามารถอดทนกักเก็บอารมณ์ได้ดีจริง ๆ…”
ในวังหลวง จักรพรรดิโจวรู้สึกทอดถอนใจ
[1] บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ เป็นสำนวนจีน มีที่มาจากลำไผ่เมื่อแตกแล้ว รอยแตกที่ว่าก็จะทำให้ไม้ที่เคยแข็งตั้งตรง แหวกแยกหักโค่นลงอย่างง่ายดาย
[2] ชือหลง คือชนิดของมังกรประเภทหนึ่งที่ไม่มีเขา