บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 331 ที่มาของเยี่ยอวี่เฟย
ตอนที่ 331: ที่มาของเยี่ยอวี่เฟย
ตอนที่ 331: ที่มาของเยี่ยอวี่เฟย
ในรุ่งเช้าของวันที่หนึ่งเดือนห้า
ซูหงหลี่ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง…
ราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิงออกจากเรือนพำนักภูผาเขียวเดินทางมาสู่นครหลวงอวี้จิง
อ่านจดหมายลับฉบับนี้แล้ว ซูหงหลี่ก็นิ่งเงียบไปนานก่อนจะส่งเสียงร้องฮึออกมา พลางกล่าวกับตัวเอง “เก็บตัวมานานเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดเจ้าก็ทนไม่ไหวต้องมาเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่?”
——
ลานซงเฟิงเปี๋ย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ไม่นานนัก ฟางหยวนก็วิ่งหน้าตั้งมารายงานต่อซูอี้ที่กำลังรับประทานอาหารเช้า “ใต้เท้า ราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิงมาขอพบขอรับ”
ซูอี้ตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าว “เชิญเขาเข้ามาได้”
ไม่นานนัก ฟางหยวนก็พาผู้เฒ่าชุดคลุมยาวเก่า ๆ เดินเข้ามา
ผู้เฒ่าแก้มตอบ ไรผมสองข้างขาวโพลน ดวงตาใสสว่างประดุจน้ำ มือถือพัดขนนกสีขาว จังหวะลมปราณเบาสบายแผ่กระจายออกมาจากรอบตัว
คน ๆ นี้ก็คือราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิง!
บุคคลในตำนานที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วต้าโจวตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อน
“ข้าเก๋อฉางหลิง คารวะสหายเต๋าซู”
ผู้เฒ่าประสานมือคารวะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ พลางกล่าว “เจ้ามาในครั้งนี้คงไม่ได้มาเพื่อท้อไฟหยางบริสุทธิ์ที่ข้าเด็ดในตอนนั้นหรอกกระมัง?”
เก๋อฉางหลิงหัวเราะดังลั่น ก่อนจะกล่าวคำออก “ที่แท้สหายเต๋ายังคงจำเรื่องเล็กน้อยเรื่องนี้ได้ ข้ารู้สึกตกใจยิ่ง”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เก็บรอยยิ้มพลางกล่าว “แต่ว่า ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้”
ซูอี้ชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ พลางกล่าว “เชิญนั่ง”
ฟางหยวนเห็นเช่นนี้จึงรีบไปต้มชาอย่างรู้หน้าที่
จนกระทั่งเก๋อฉางหลิงนั่งลงแล้ว ซูอี้คิดสักครู่จึงกล่าว “ก่อนที่จะพูดคุยถึงเรื่องธุระ ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการจะขอคำชี้แนะจากสหายเต๋า”
เก๋อฉางหลิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่จึงกล่าว “เชิญถามมาได้”
ซูอี้ถาม “ได้ยินมาว่าตอนที่เจ้าเข้าไปในหุบเขาเถาวัลย์อาถรรพ์ เคยเอาป้ายหินที่มีข้อความทำนายลึกลับก้อนหนึ่งออกมาด้วย ไม่รู้ว่าป้ายหินนี้ยังอยู่กับเจ้าหรือไม่?”
เก๋อฉางหลิงพยักหน้า “ข้าเก็บรักษาป้ายหินในภูเขาเทียนชิง หากว่าสหายเต๋าต้องการดูป้ายหินนี้ สามารถไปหาข้าที่ภูเขาเทียนชิงได้ทุกเวลา”
ซูอี้กล่าว “ถ้าเช่นนั้นต้องขอบใจสหายเต๋าล่วงหน้า เมื่อข้าจัดการกับตระกูลซูแล้วเสร็จจะไปคารวะเจ้า”
เก๋อฉางหลิงหัวเราะ พลันถามขึ้นมา “เรียนถามสหายเต๋าซู มองโลกอื่นเช่นใด และมองผู้ฝึกตนที่มาจากโลกอื่นเช่นใด?”
ซูอี้ตอบ “หากว่าเจ้าถามถึงโลกนอกเหนือมหาทวีปคังชิง สิ่งที่ข้ารู้มานั้นยังมีน้อย ส่วนผู้ฝึกตนต่างโลกเหล่านั้น… มีเพียงมิตรและศัตรูเท่านั้น ไม่มีความเห็นอันใด”
คำตอบนี้ทำให้ฉางเก๋อหลิงนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ เขาครุ่นคิดแล้วจึงกล่าว “ข้าสามารถเข้าใจว่าสหายเต๋าไม่ได้มีอคติอันใดต่อผู้ฝึกตนโลกอื่น?”
ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “คำถามนี้สำคัญมากเช่นนั้นหรือ?”
ฉางเก๋อหลิงสูดลมหายใจลึก ๆ พลันกล่าว “หลังจากนี้สามวัน สหายเต๋าก็ต้องไปจวนตระกูลซู แต่ในใจของสหายเต๋าเกรงว่ายังคงมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการตายของเยี่ยอวี่เฟยมารดาของสหายเต๋าอยู่กระมัง? เรื่องเช่นนี้ ซูหงหลี่ไม่มีทางบอกสหายเต๋าเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ ข้าครุ่นคิดพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว คิดว่าจำเป็นต้องมาที่นี่สักครั้ง”
ซูอี้รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา จับจ้องไปที่เก๋อฉางหลิง นิ่งเงียบไปนานมากจึงกล่าว “หวังว่าจะได้ทราบรายละเอียด”
เก๋อฉางหลิงถอนใจเบา ๆ แล้วกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซูหงหลี่จึงกระทำเช่นนั้นต่อมารดาของสหายเต๋า แต่มีบางเรื่องยังคงสามารถบอกสหายเต๋าได้”
ในสายตาของเขาเกิดริ้วรอยย้อนความทรงจำ “ตอนนั้น ตอนที่ซูหงหลี่เดินทางไปหุบเขามารตาข่ายเร้นเป็นครั้งแรก เคยเชิญข้าไปด้วย และสัญญากันว่าหากเสาะพบโชคลาภเจอจะแบ่งกันคนละครึ่ง”
“ซูหงหลี่มี ‘แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก’ อยู่ในมือ สามารถวิเคราะห์ความลับและความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ในกลิ่นอายประหลาดมากมายออกมาได้ มีความมหัศจรรย์ยิ่งนัก”
“ส่วนข้าก็มีสมบัติล้ำค่าในมือเช่นเดียวกัน ชื่อว่า ‘ร่มแคล้วคลาด’ เวลาที่เผชิญหน้ากับอันตรายถึงชีวิต สามารถทำให้แคล้วคลาดได้”
“พวกเราสองคนเตรียมการอย่างพร้อมสรรพ หลังจากที่ไปถึงหุบเขามารตาข่ายเร้น ตลอดทางเจอกับเหตุการณ์น่าตกใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เกิดเหตุอันใดขึ้น”
“จนกระทั่งไปถึงส่วนลึกของหุบเขามารตาข่ายเร้นจึงเริ่มพบกับเรื่องประหลาดที่น่ากลัว มีแสงสีดำประหลาดพุ่งสู่ท้องฟ้า ทำให้เกิดเป็นภาพลวงตาอันน่ากลัวราวกับนรกมืด ซูหงหลี่ใช้ ‘แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก’ วิเคราะห์ดูแล้ว พวกเราทั้งสองจึงรู้ว่านั่นคือ ‘แสงแห่งตาข่ายเร้น’!”
“ต่อมา พวกเราเดินตามทางที่มีแสงแห่งตาข่ายเร้นปรากฏ จนมาถึงภายในเหวลึกบาดาลอันลึกลับ ที่นั่นแต่ละก้าวล้วนมีแต่อันตราย หากไม่ใช่เพราะร่มแคล้วคลาดของข้า พวกเราสองคนคงจะตายไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”
พูดถึงตรงนี้ ในแววตาของเก๋อฉางหลิงเกิดประกายแห่งความหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาลึก ๆ ราวกับว่าถึงแม้จะผ่านไปนานหลายปีแล้ว แต่เมื่อนึกถึงอันตรายที่เจอะเจอในครั้งนั้นก็ยังคงรู้สึกกลัวไม่หาย
ซูอี้ไม่คาดคิดเช่นกันว่า ตอนที่ซูหงหลี่เข้าไปในหุบเขามารตาข่ายเร้น ในตอนนั้นจะเดินทางไปพร้อมกับราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิง
เก๋อฉางหลิงสงบใจสักครู่ จึงกล่าวต่อ “จนกระทั่งไปถึงส่วนลึกสุดของเหวลึกใต้บาดาลตรงนั้น พวกเราเห็นเกลียวคลื่นสีเลือดที่กินอาณาเขตกว้างไกลถึงร้อยจั้ง กับสุสานดาบเก้าจั้งที่กระจายตัวอยู่ใต้เกลียวคลื่นสีเลือดนั้น”
เกลียวคลื่นสีเลือดพอเข้าใจได้ว่าเป็นผนังกั้นมิติ
แต่ ‘สุสานดาบเก้าจั้ง’ นั่นทำให้ซูอี้รู้สึกสงสัยอยากจะรู้ขึ้นมา จึงถามออกไป “เล่ารายละเอียดของสุสานดาบแห่งนั้นให้ฟังสักหน่อยได้หรือไม่?”
ฉางเก๋อหลิงพยักหน้า แล้วกล่าว “บริเวณสุสานดาบเก้าจั้งก่อตัวขึ้นมาจากหินหยกสีดำอันลึกลับ มีลวดลายอักขระประหลาดซับซ้อนปกคลุมอยู่ภายนอก การฝึกตนของข้ากับซูหงหลี่ในตอนนั้นยังไม่อาจเข้าใจได้ ลวดลายอักขระเหล่านั้นมีความลี้ลับ และเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจนไม่อาจวาดออกมาได้”
“ลวดลายอักขระที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าครั้งแรกสุดที่พวกเจ้าไปถึงที่ตรงนั้น ความจริงแล้วค่ายกลใหญ่ที่อยู่บนสุสานดาบเก้าจั้งอยู่ในสภาวะขับเคลื่อนอยู่ตลอด ซึ่งอันตรายมาก”
ซูอี้หาข้อสรุป
สายตาของเก๋อฉางหลิงส่อแววประหลาด แล้วกล่าวคำออก “ไม่ผิด แต่ว่า จิตใจของพวกเราสองคนในตอนนั้นถูกดาบโบราณเก้าเล่มที่ปิดผนึกอยู่ในสุสานดาบเก้าจั้งดึงดูด ลักษณะ กลิ่นอาย สีสันของดาบโบราณแต่ละเล่มนั้นล้วนมีความแตกต่างกันออกไป”
“ดาบบางเล่มมีสีขาวใสเจิดจ้าราวกับแสงตะวันร้อนแรง พอมองไป ราวกับอยู่ในหุบเขาเพลิง แสบร้อนยากจะทน จิตวิญญาณรู้สึกหวาดกลัวราวกับถูกแผดเผา”
“ดาบบางเล่มมีสีดำขลับ เย็นสะท้านราวกับน้ำแข็ง ใครที่ได้เห็น จิตใจราวกับตกสู่เหวลึกเก้าชั้น ความหนาวเย็นราวกับทิ่มแทงกระดูกแผ่ซ่านไปทั่วร่าง รู้สึกสิ้นหวังไร้กำลังใจ
“ดาบบางเล่ม…”
“อย่างไรเสีย ดาบโบราณเก้าเล่มนั้นก็ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าในโลก ทำให้ข้ากับซูหงหลี่รู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก เข้าใจว่านี่คือโชคลาภยิ่งใหญ่ซึ่งหาได้ยากในพันปี”
“ซูหงหลี่เริ่มใช้ ‘แผ่นโหราศาสตร์ขนาดเล็ก’ ทลายค่ายกลในทันใด ส่วนร่มแคล้วคลาดในมือข้าทำหน้าที่ปกป้องคุ้มกัน”
“ใช้เวลาวิเคราะห์ถึงหนึ่งเดือนเต็ม ๆ ในที่สุดพวกเราสองคนก็ลอบเห็น ‘หนทางรอด’ บนสุสานดาบเก้าจั้ง ทว่าขณะที่ซูหงหลี่กำลังจะลงมือก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น”
“ภายในสุสานดาบแห่งนั้น มีกลิ่นอายน่ากลัวมากแผ่กระจายออกมา ทำให้ดาบโบราณเก้าเล่มนั้นสั่นสะเทือน พุ่งเข้าหาข้ากับซูหงหลี่ในทันใด”
“ตอนนั้น ข้าตั้งตัวไม่ทัน ไม่ทันแม้กระทั่งหยิบร่มแคล้วคลาดออกมา”
“ในชั่วขณะที่อันตรายยิ่งนัก ภายในเกลียวคลื่นสีเลือดนั้น ปรากฏคลื่นพลังอันยิ่งใหญ่ แปลงร่างเป็นสายรุ้งสีเลือดเส้นแล้วเส้นเล่า กดดาบโบราณทั้งเก้าเล่มนั้นอยู่ภายใต้ความควบคุม”
“ข้ากับซูหงหลี่รอดตายมาได้ พวกเราตื่นตระหนกจนเหงื่อหนาวอาบไปทั้งตัว และในขณะนี้เอง พวกเราก็มองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากเกลียวคลื่นสีเลือดนั้น…”
ในดวงตาของเก๋อฉางหลิงเกิดความเหม่อลอยขึ้นมา “นางงดงามถึงเพียงนั้น มีแสงสว่างรายล้อมรอบตัวราวกับนางฟ้า”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็สับสนขึ้นมา มองไปที่ซูอี้กล่าว “สหายเต๋าคงจะเดาออกแล้วว่าหญิงสาวนางนั้นก็คือเยี่ยอวี่เฟยมารดาของเจ้า”
ซูอี้พยักหน้า สายตาราบเรียบเหมือนเคย ทว่าความจริงในใจนั้นไม่สงบเลยแม้แต่น้อย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นตะลึงเสียเหลือเกิน!
เยี่ยอวี่เฟยมารดาของเขา มาจากโลกอื่น!
อีกทั้ง ตามคำบอกเล่าของเก๋อฉางหลิง ตอนที่เยี่ยอวี่เฟยข้ามผนังกั้นมิติ ไม่ได้ยืมวิธี ‘ร่างดักแด้’ ทำการสิงสถิตด้วย!
เช่นนี้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ในร่างของเยี่ยอวี่เฟยในตอนนั้นอาจจะมีสมบัติพิเศษที่สามารถต้านทานกำลังของผนังกั้นมิติ หรือตัวของนางมีพลังเหนือธรรมชาติบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิถีแห่งมิติ!
เก๋อฉางหลิงพูดต่อ “หลังจากที่มารดาของสหายเต๋าปรากฏตัว ได้กล่าวเตือนต่อพวกเราว่าในสุสานดาบเก้าจั้งนั้นปิดผนึกดาบร้ายกาจสุดยอดเล่มหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ข้ากับซูหงหลี่จะสามารถแตะต้องได้”
“และก็เป็นช่วงเวลานั้นเช่นกัน พวกเราจึงรู้ว่าผู้ที่ช่วยชีวิตของพวกเราเมื่อก่อนหน้านี้ก็คือมารดาของสหายเต๋า”
“ซูหงหลี่ไม่ยอมไปจากสถานที่ตรงนั้น มารดาของสหายเต๋าจึงปลอบใจเขา และมอบเคล็ดลับฝึกตนวิชาหนึ่งให้กับเขา พร้อมกับบอกว่าฝึกฝนเคล็ดวิชานี้แล้วสามารถทำให้เขาย่างก้าวเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกตนอย่างแท้จริง”
“แต่สิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงก็คือ ราวกับนางมองเห็นความอิจฉาภายในใจข้าออก มารดาของสหายเต๋าจึงมอบเคล็ดลับการฝึกตนวิชาหนึ่งให้ข้าด้วยเช่นกัน”
เก๋อฉางหลิงกล่าวถอนใจ “จนถึงวันนี้ เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อครั้งนั้นขึ้นมา ข้าคิดไม่ออกเลยว่าเหตุใดในโลกนี้จึงยังมีหญิงสาวผู้งดงามและดีพร้อมอย่างมารดาของสหายเต๋าได้”
“ไม่ นางคล้ายกับนางฟ้า ทำให้คนอื่น ๆ เคารพจากใจจริง อยู่ต่อหน้านาง ข้าคล้ายกับผู้ศรัทธาจงรักภักดี ไม่กล้าคิดคดทรยศแม้แต่น้อยนิด”
“และหลังจากที่ได้พบกันเมื่อครั้งนั้น มารดาของสหายเต๋าก็ออกจากหุบเขามารตาข่ายเร้นกับพวกเรา วันเวลาในช่วงลำดับถัดมา พวกเราท่องไปในใต้หล้า มารดาของสหายเต๋ามักจะชี้แนะการฝึกตนให้ข้ากับซูหงหลี่อยู่บ่อย ๆ”
“แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า…”
เก๋อฉางหลิงสีหน้าสับสน “หลังจากนั้นไม่กี่ปี ซูหงหลี่ก็เอาชนะใจมารดาของสหายเต๋าได้ ไม่นานนักพวกเขาสองคนก็อยู่ด้วยกัน…”
ในน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความผิดหวังและโศกเศร้าอย่างเต็มที่
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวตัดบท “เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเล่า”
เก๋อฉางหลิงจึงได้สติกลับมาจากความทรงจำ กล่าวด้วยน้ำเสียงละอายใจ “ขออภัย ข้าเสียมารยาทไป”
ซูอี้โบกมือพลางกล่าว “เจ้าเล่าแต่เรื่องที่มารดาของข้าถูกทำร้ายก็พอแล้ว”
เก๋อฉางหลิงพยักหน้ากล่าว “ตอนนั้น บิดาของเจ้าปลดมารดาของสหายเต๋าไปได้ไม่นาน พอข้าทราบเรื่องรู้สึกโกรธยิ่งนัก จึงบุกไปที่จวนตระกูลซูเพื่อสอบถามให้หายสงสัย”
“และก็เป็นตอนนั้นเช่นกัน ข้าสามารถรับรู้ได้ว่าซูหงหลี่เปลี่ยนไป ไม่มีความอ่อนโยนและถ่อมตนเหมือนแต่ก่อนอีก มีแต่ความเย็นชาไร้หัวใจ”
“เขาบอกกับข้าว่า เป็นเพราะมารดาของสหายเต๋าทำให้เขาต้องกลายเป็นเช่นนั้น บอกว่ามารดาของสหายเต๋าเป็นคนที่มาจากโลกอื่น ซ่อนเจตนาร้าย หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต เขาคงฆ่ามารดาของสหายเต๋าไปนานแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่กักขังอยู่ในตำหนักเย็นเท่านั้น”
ซูอี้หรี่ตาด้วยความสงสัย ก่อนจะกล่าวคำออก “แล้วเจ้าเล่า มองเรื่องนี้อย่างไร?”
สีหน้าของเก๋อฉางหลิงสับสน ทั้งเจ็บแค้น ทั้งโกรธเกรี้ยวไม่อาจระบายออกมาได้ “ข้าไม่เชื่อ!”
“ไม่พูดถึงเรื่องที่มารดาของสหายเต๋าเคยช่วยชีวิตข้ากับซูหงหลี่เมื่อตอนที่อยู่ในเหวลึกของหุบเขามารตาข่ายเร้น เพียงแค่นิสัยที่ดีงามของนาง ไหนเลยจะสามารถทำร้ายซูหงหลี่ได้?”
พูดจบ หนวดเคราของเขาก็กระเพื่อมด้วยความโกรธ ไม่ปกปิดความรู้สึกโกรธแค้นที่เก็บงำอยู่ในใจมาเป็นเวลาหลายปีอีก สีหน้าเคร่งขรึมจนน่ากลัว