บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 332 ไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุ ขจัดความคับข้องใจในดาบเดียว
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 332 ไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุ ขจัดความคับข้องใจในดาบเดียว
ตอนที่ 332: ไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุ ขจัดความคับข้องใจในดาบเดียว
ตอนที่ 332: ไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุ ขจัดความคับข้องใจในดาบเดียว
ซูอี้มองดูเก๋อฉางหลิงผู้อยู่ในอาการโกรธจนควบคุมตัวเองไม่อยู่นิ่ง ๆ
จนกระทั่งฝ่ายตรงข้ามเริ่มสงบลง จึงกล่าว “ความโกรธไม่อาจแก้ไขปัญหาได้”
ฉางเก๋อหลิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวคำ “ข้าจำได้ชัดเจนว่าตอนที่ติดตามมารดาของสหายเต๋าฝึกตน เคยบังเอิญพูดถึงเรื่องหนึ่ง”
“นางบอกว่า ในตัวนางมีสมบัติอันประหลาดและน่ากลัวอยู่อย่างหนึ่ง หากวันข้างหน้านางเปลี่ยนสภาพจนไม่เหมือนนางอีก อาจเป็นเพราะถูกสมบัติชิ้นนั้นครอบงำร่างกายและจิตวิญญาณ”
“นางบอกว่า หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาจริง ให้ข้าและซูหงหลี่ทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่านาง”
ฟังถึงตรงนี้ ซูอี้ถึงกับเลิกคิ้ว สมบัติที่อาจครอบงำร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าของเช่นนั้นหรือ?
หากเป็นเช่นนี้จริง สมบัติชิ้นนี้ก็ชั่วร้ายมาก!
เก๋อฉางหลิงพูดต่อ “ตอนนั้น ซูหงหลี่ยังรู้สึกประหลาดใจ อยากจะดูว่าสมบัติชิ้นนั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นใด ทว่ามารดาของสหายเต๋าไม่เห็นด้วย และยังถึงขั้นโกรธพร้อมกับกล่าวเตือนซูหงหลี่ว่า อย่าได้คิดแตะต้องสมบัติชิ้นนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกทำร้าย”
เก๋อฉางหลิงหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง แล้วกล่าวคำ “พูดตามตรง ตอนนั้นข้าก็สงสัยมากเช่นกัน ทว่าเห็นมารดาของสหายเต๋าโกรธ จึงไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้อีก”
“แต่ดูสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว สาเหตุที่ซูหงหลี่มีนิสัยเปลี่ยนไปมากอาจเกี่ยวข้องกับสมบัติชิ้นนั้นก็เป็นได้!”
ฟังถึงตรงนี้ สายตาของซูอี้เกิดประกาย ส่งวาจาประชดประชัน “มารดาของข้าเข้าใจชัดเจนว่าสมบัติชิ้นนี้มีอันตรายมากเพียงใด ถึงแม้จะสมรสเป็นภรรยาของซูหงหลี่แล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบสิ่งนี้ให้กับเขา”
“หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่า ซูหงหลี่อาจจะมีจิตใจละโมบ ใช้วิธีการสกปรกบางอย่างจึงได้มาซึ่งสมบัติในมือมารดาข้า จนเป็นเหตุทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น”
เก๋อฉางหลิงพยักหน้ากล่าว “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่ว่าอะไร?” ซูอี้ถาม
“ถึงแม้นิสัยใจคอของซูหงหลี่จะแปรเปลี่ยนไป แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยได้เจอความเปลี่ยนแปลงอันใดเลย ทั้งยังรักษาสติความทรงจำของตนเองไว้ได้ ไม่มีทีท่าของคนที่โดนครอบงำจิตวิญญาณและร่างกายเลย”
เก๋อฉางหลิงขมวดคิ้วกล่าว “อีกทั้ง นับตั้งแต่เขาปลดมารดาของสหายเต๋าแล้ว ก็ไม่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องภายนอกอีก หลายปีมานี้ก็อยู่แต่ในจวนตระกูลซูมาโดยตลอด ไม่เคยแสดงท่าทีผิดปกติอันใดออกมามากนัก”
ซูอี้กล่าว “เจ้าสงสัยว่า ถึงแม้นิสัยของเขาจะเปลี่ยนไปมา แต่ไม่ได้ถูกสมบัติชิ้นนั้นครอบงำจิตวิญญาณและร่างกายเช่นนั้นหรือ? และอาจจะ… เป็นผู้บังคับควบคุมสมบัติชิ้นนั้นเสียด้วยซ้ำเช่นนั้นหรือ?”
เก๋อฉางหลิงกล่าว “ไม่ผิด ในเมื่อมารดาของสหายเต๋าสามารถบังคับควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ของซูหงหลี่ อาจจะสามารถทำได้ก็เป็นได้”
สายตาของซูอี้เกิดประกายแห่งการย้อนรอยความทรงจำ
เขาจำได้ชัดเจนว่า ก่อนถึงอายุสามขวบ ซูหงหลี่กับมารดาเยี่ยอวี่เฟยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ทว่าในวันที่ห้าเดือนห้าในปีนั้น จู่ ๆ ซูหงหลี่ก็มีคำสั่งให้ปลดเยี่ยอวี่เฟย จับนางขังในตำหนักเย็น ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นไม่มีวี่แววอันใดบอกเป็นลางก่อนล่วงหน้า
ตอนนี้มาคิดดูอีกครั้ง เป็นไปได้มากว่าซูหงหลี่อาจจะขโมยสมบัติที่อันตรายร้ายแรงชิ้นนั้นไปจากมารดาเยี่ยอวี่เฟยเมื่อตอนที่ตนเองอายุสามขวบ
สำหรับสาเหตุที่ว่าเหตุใดเขาจึงเคียดแค้นต่อมารดา บางทีอาจจะเป็นตามที่เก๋อฉางหลิ่งกล่าวหรือไม่ ที่ว่าซูหงหลี่เข้าใจว่ามารดาซ่อนเจตนาร้ายจนเกือบจะทำร้ายเขา?
คิดถึงตรงนี้แล้ว ซูอี้ก็คร้านจะคิดต่อไปอีก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในตัวของซูหงหลี่จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นมาเป็นแน่!
ถึงแม้จะไม่เข้าใจความจริงเหล่านี้ทั้งหมด ทว่าซูอี้ก็ไม่มีทางปล่อยซูหงหลี่ไป
คนชั่วช้าที่ทำร้ายภรรยาของตัวเอง และมองเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองเป็นมารหัวขนเช่นนี้ ต่อให้มีเหตุผลมากมายสักเพียงไหนก็ไม่เพียงพอจะชดเชยกับความผิดในตัวของเขาได้!
ยิ่งไปกว่านั้น ซูอี้ผู้มีความทรงจำในอดีตชาติ จะจัดการกับบิดาของตนเองในชาตินี้ เขาไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย
ถึงแม้สุดท้ายจะถูกตราหน้าว่า ‘ฆ่าบิดา’ เขาก็ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
“ตอนนั้นมารดาของข้าเคยถ่ายทอดวิชาการฝึกตนให้แก่เจ้า ให้ข้าได้ชื่นชมสักครั้งได้หรือไม่?” ซูอี้ถาม
เก๋อฉางหลิงกล่าว “ข้าคาดไว้ก่อนหน้าแล้วว่าสหายเต๋าจะต้องรู้สึกสนใจ จึงสลักวิชาทั้งสองกับเคล็ดลับการฝึกฝนวิชาที่ร่ำเรียนมาจากมารดาของสหายเต๋าลงในยันต์หยกเตรียมไว้แล้ว เชิญสหายเต๋าอ่านดู”
พูดจบก็หยิบยันต์หยกออกมาจากแขนเสื้อ และยื่นให้ซูอี้
ซูอี้ใช้จิตสัมผัสสอดส่องดูภายใน
เคล็ดลับฝึกฝนที่สลักไว้ภายในมีชื่อว่า ‘คัมภีร์เทพพายัพประคองรากฐาน’ เป็นการถ่ายทอดที่เกี่ยวข้องกับวิถี การถ่ายทอดมีความสมบูรณ์ สามารถทำให้ผู้ฝึกตนฝึกฝนจนถึงขั้นวิถีวิญญาณได้อย่างพร้อมสมบูรณ์
สำหรับซูอี้แล้ว วิชาเช่นนี้ไม่ถือว่าสุดยอดมากนัก แต่หากอยู่ในมหาทวีปคังชิง สามารถเรียกได้ว่าเป็นการถ่ายทอดที่ร้ายกาจมากแล้ว
ซูอี้ถาม “ตอนนั้นที่เจ้าพบกับมารดาของข้า อยู่ในขอบเขตแห่งบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์แล้วเช่นนั้นหรือ?”
เก๋อฉางหลิงพยักหน้า “ใช่”
ซูอี้กล่าว “มิน่าเล่า ตอนที่นางถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่เจ้า น่าจะเคยบอกเจ้าว่าภายในช่วงระยะเวลาสิบปี ห้ามประมือกับคนในขอบเขตเทพเซียนเดินดิน ใช่หรือไม่?”
เก๋อฉางหลิงแสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาทางใบหน้า พยักหน้าพลางกล่าว “ใช่”
ซูอี้มองดูเคล็ดลับสองวิชาที่บันทึกในยันต์หยกอีกครั้ง วิชาหนึ่งชื่อว่า ‘พลังเคลื่อนเมฆากลับสู่รากฐาน’ อีกวิชาหนึ่งชื่อว่า ‘ดาบเบญจทลายฟ้า’
เห็นได้ชัดว่าเป็นเคล็ดลับที่ช่วยส่งเสริม ‘คัมภีร์เทพพายัพประคองรากฐาน’ ไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็คืนยันต์หยกให้กับเก๋อฉางหลิง แล้วกล่าวคำออก “มองออกได้ว่า ในตอนนั้นมารดาของข้ามองเจ้าเป็นสหายจริง ๆ”
น้ำเสียงราบเรียบ ทว่ากลับทำให้สีหน้าของเก๋อฉางหลิงสับสน แสดงความละอายใจออกมา “ไม่ผิด สำหรับข้าแล้ว มารดาของสหายเต๋าไม่เพียงแต่เป็นสหาย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นผู้นำทางบนหนทางวิถีของข้า ถ่ายทอดวิชาให้ข้า ชี้แนะข้า ไม่เคยปิดบังซ่อนเร้น แต่…”
“หลังจากที่นางประสบเคราะห์ ข้ากลับไม่สามารถช่วยแก้แค้นแทนนางได้ หลายปีมานี้จึงรู้สึกละอายแก่ใจมาโดยตลอด ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็จะนอนไม่หลับกินไม่ได้”
พูดจบก็ถอนใจยาว ท่าทางเคร่งเครียดหม่นหมอง
ซูอี้ไม่ได้พูดอะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไม่นานนัก เก๋อฉางหลิงก็เก็บสะกดความรู้สึก แล้วกล่าว “สามวันให้หลัง หากว่าสหายเต๋าพ่ายแพ้ ข้าจะช่วยสหายเต๋าจนสุดชีวิต”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นขอตัวลากลับไป
จนกระทั่งเดินออกจากลานซงเฟิงเปี๋ย เก๋อฉางหลิงนึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าว “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน ข้าเคยเข้าไปในส่วนลึกสุดของหุบเขามารตาข่ายเร้นแห่งอีกครั้ง ผลปรากฏว่า สุสานดาบเก้าจั้งแห่งนั้นได้หายไปแล้ว”
“ในอดีตมารดาของสหายเต๋าเคยบอกไว้ว่า ภายในสุสานดาบแห่งนั้นปิดผนึกดาบดุร้ายไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง ข้าสงสัยว่า คนที่ขโมยดาบเล่มนี้ไป อาจจะเป็นซูหงหลี่”
“สหายเต๋า จะต้องระวังตัวให้มาก”
เสียงยังคงดังก้อง ทว่าเก๋อฉางหลิงค่อย ๆ จากไปไกลแล้ว
ในสวน ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย สีหน้าราบเรียบดังเดิม
เก๋อฉางหลิงมาในครั้งนี้ ไขความสงสัยในใจของเขาได้ไม่น้อย
ทว่าเก๋อฉางหลิงคงจะไม่รู้ว่า ต่อให้ไม่รู้เหตุผลเหล่านี้ ปฏิกิริยาที่เขามีต่อซูหงหลี่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปเป็นความเห็นใจซูหงหลี่ขึ้นมาหรอก
เมื่อบุญคุณความแค้นในอดีตกลับกลายเป็นความดึงดันภายในใจ ก็ขจัดมันในดาบเดียว ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอันใด!
“ฟางหยวน”
ซูอี้เรียก
“ใต้เท้ามีเรื่องใดให้รับใช้ขอรับ?” ฟางหยวนรีบวิ่งมาหา
“ไปซื้อบะหมี่มาชามหนึ่ง แบบเจ น้ำซุปใส ไม่ต้องมีเครื่องปรุง”
ซูอี้สั่งกำชับ
ฟางหยวนตะลึง ถึงแม้ในใจจะสงสัย ทว่ายังคงออกไปซื้อตามคำสั่ง
ไม่นานนัก ฟางหยวนกลับมาพร้อมกับบะหมี่เจชามร้อน ๆ
“เจ้าไปทำงานอื่นเถิด”
ซูอี้นั่งลงบนเก้าอี้หวาย ยกชามกับตะเกียบขึ้นแล้วเริ่มกิน
รสชาตินั้นจืดชืดยิ่งนัก สำหรับซูอี้ผู้ที่กินอาหารเลิศรสจนเคยชิน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกินลงคอ
ทว่าเวลานี้ เขากินด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ
เหมือนดังเมื่อวันที่สองเดือนสองตอนอายุสี่ขวบ ในห้องที่มืดมิดอับชื้นแห่งนั้น สตรีนางนั้นทำบะหมี่เจชามหนึ่งให้ตนเอง
สตรีผู้นั้นผ่ายผอมซีดเซียวจนหนังหุ้มกระดูก โรคร้ายรุมเร้า คล้ายกับสัตว์ป่าที่ถูกคุมขังอยู่ในกรง ใช้ชีวิตด้วยความเจ็บปวดและมืดมน
น่าสงสารจนรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในใจ
สำหรับซูอี้แล้ว ที่มาของสตรีนางนี้ รวมถึงชาติกำเนิดของนาง ไม่ได้มีความสำคัญเลย
กินบะหมี่เสร็จ
ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย ลูบคลึงที่วางแขนเก้าอี้หวายเบา ๆ สงบนิ่งเหมือนดังเคย
เขารอมานานหลายปีแล้ว
ไม่ร้อนใจมากนักหากต้องรออีกสามวัน
——
หัวค่ำวันนี้
จู่ ๆ ซูหงหลี่ที่กำลังนั่งตกปลาริมบึงพลันถามขึ้น “นับตั้งแต่มารหัวขนนั่นฆ่าโหยวเทียนหงแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยออกจากลานซงเฟิงเปี๋ยเลยเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่เคยเลยขอรับ”
ผู้เฒ่าชุดเต๋าปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน พลางกล่าวเบา ๆ “สหายเต๋า เก๋อฉางหลิงคงจะบอกเรื่องบางอย่างในอดีตให้ซูอี้ฟังแล้ว”
ซูหงหลี่กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ไม่แปลก แต่มารหัวขนนั่นเสียอีกที่แปลก หลังจากรู้เรื่องในอดีตแล้ว ยังสามารถอดกลั้นไว้ได้ ทำให้ข้ารู้สึกคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย”
พูดจบ เขายิ้ม ๆ พลางกล่าวกำชับ “สหายเต๋า เจ้าจงไปทำงานหนึ่ง”
——
ราตรีมืดครึ้ม
มู่ซี ผูอี้ เจียงถานอวิ๋น กับหลูฉางฟง กำลังดื่มสำราญอยู่ใน ‘หอลั่วอิง’ แห่งนครหลวงอวี้จิง
“ข้าสืบมาได้ว่า คืนวันที่สามเดือนห้า จักรพรรดิโจวจะสั่งการองครักษ์เงามังกรปิดล้อมพื้นที่ระยะสิบลี้ในนครหลวงอวี้จิงโดยมีจวนตระกูลซูเป็นศูนย์กลาง”
มู่ซีดื่มสุราพลางกล่าว “อย่างไรเสีย พวกเจ้าก็รู้ว่า หากซูอี้เปิดศึกกับตระกูลซู พลังสั่นสะเทือนของการต่อสู้เช่นนั้นจะแผ่กระจายไปไกล ไม่รู้ว่าจะทำลายบ้านเรือนและถนนหนทางในนครหลวงอวี้จิงมากมายเท่าใด จึงต้องโยกย้ายคนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อนจึงเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุด”
ผูอี้กล่าวรำพึง “นครหลวงอวี้จิงในตอนนี้ ไม่รู้ว่ามีดวงตาจำนวนมากมายเท่าใดที่กำลังจับจ้องเหตุการณ์ร้ายแรงที่กำลังจะมาถึงในครั้งนี้ ในช่วงระหว่างนี้ มีบุคคลเก่งกาจจำนวนไม่น้อยจากสี่ทิศแปดด้านเดินทางมาที่นี่ ในบรรดานั้นมีทั้งบุคคลยิ่งใหญ่จากอาณาจักรต้าเว่ยกับอาณาจักรต้าฉิน”
“ยกตัวอย่างเช่น ‘อวิ๋นหลาง’ ผู้ได้รับการขนานนามว่ามีกำลังการต่อสู้อันดับหนึ่งแห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนในต้าฉิน ผู้อาวุโสสูงสุดอันดับสามจินลั่วหลันแห่งตระกูลจินซึ่งเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของต้าเว่ย ต่างก็มาถึงนครหลวงอวี้จิงก่อนหน้าหลายวันแล้ว”
“พูดอย่างไม่เกินเหตุได้ว่า จนถึงตอนนี้ ไม่มีใครรู้เช่นกันว่า ที่แท้แล้วในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้มีบุคคลยิ่งใหญ่แข็งแกร่งรวมตัวกันอยู่จำนวนเท่าใด”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ในใจคนทั้งหลายเกิดความตื่นเต้นยิ่งนัก
นับแต่วันที่ยี่สิบเดือนสี่ที่ซูอี้ฆ่าโหยวเทียนหงบนภูเขาจิ่วจี้แล้ว ข่าวคราวสั่นสะเทือนทั่วใต้หล้า ภายในระยะเวลาอันสั้นก็รับทราบไปทั่วอาณาจักรต้าโจว อาณาจักรต้าเว่ย และอาณาจักรต้าฉิน เกิดเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาไม่รู้เท่าใด
จนถึงตอนนี้ วันที่สี่เดือนห้าใกล้จะมาถึงแล้ว สายตาของคนใต้หล้าล้วนจับจ้องไปที่การต่อสู้ระหว่างซูอี้กับตระกูลซูซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
จึงเป็นเหตุให้นครหลวงอวี้จิงในช่วงระยะนี้เกิดความสงบก่อนมรสุมใหญ่จะมาถึง
จนกระทั่งดื่มกินกันเสร็จ เมื่อมู่ซีกับคนอื่น ๆ เดินออกมาจากโรงสุราก็เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว
พวกเขากำลังจะจากไป ทันใดในตรอกที่ไกลออกไป มีผู้เฒ่าชุดเต๋า เกล้าผมแบบเต๋า มือถือแส้ปัดฝุ่น หน้าผอมเกร็ง
ผู้เฒ่าชุดเต๋ากวาดตามองดูมู่ซีกับคนอื่น ๆ แสดงรอยยิ้มอบอุ่นประดุจลมแห่งวสันตฤดูออกมา ผงกศีรษะให้น้อย ๆ พลางกล่าว
“ผู้ฝึกเต๋าคนนี้มาตามคำสั่ง เชิญทุกท่านคุกเข่า ณ ที่ตรงนี้”