บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 333 ทิศที่ปลายหอกชี้
ตอนที่ 333: ทิศที่ปลายหอกชี้
ตอนที่ 333: ทิศที่ปลายหอกชี้
ราตรีมืดครึ้ม บนท้องถนนไม่ผู้คนเดินผ่านไปมาไม่มากนัก
โคมไฟแต่ละดวงที่แขวนอยู่ด้านหน้าหอลั่วอิงสาดแสงสลัว ๆ ลงมา
ไม่ไกลนัก ผู้เฒ่าชุดเต๋ายืนอมยิ้ม พูดน้ำเสียงอ่อนโยนนอบน้อม
ทว่า เมื่อวาจาที่เต็มไปด้วยความดูแคลนและลบหลู่เข้าสู่หูของมู่ซีแล้ว ราวกับสายฟ้าฟาด
ฤทธิ์สุราในตัวของพวกเขาหายไป เผยให้เห็นสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเจ้าไปกันก่อน”
มู่ซีสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง พลังลมปราณในตัวพร้อมที่จะปล่อยออกมา
ทว่าผู้เฒ่าชุดเต๋ากลับยิ้มพลางกล่าว “ในเมื่อผู้บำเพ็ญเต๋ามาแล้ว จะปล่อยให้พวกเจ้าหนีรอดไปได้เช่นใด?”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือข้างขวาของตัวเองออกมานอกแขนเสื้อ จากนั้นกดเบา ๆ กลางอากาศ
ครืน!
กลางอากาศ มือใหญ่สีดำรวมตัวกันจนมีขนาดจั้งกว่า ๆ กวาดมาอยู่บนหัวของหลูฉางเฟิงที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่าจั้ง
หลูฉางเฟิงเป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักคงต้ง เป็นถึงบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์
ทว่าเมื่อเจอการโจมตีเช่นนี้กลับคล้ายมดตะนอย พอมีเสียงดังปังก็ถูกกดทับให้คุกเข่าหมอบกับพื้น เลือดกระอักออกจากปาก หัวถูกกดติดพื้นเงยหน้าไม่ขึ้น
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นทำให้มู่ซีกับคนอื่น ๆ ถึงกับสีหน้าเปลี่ยน ร้ายกาจมาก!
“ถึงแม้ผู้บำเพ็ญเต๋าคนนี้จะไม่อยากจะชมตัวเอง แต่กลับจำเป็นต้องยอมรับว่า ลำพังเพียงแค่บังคับให้พวกเจ้าคุกเข่าหมอบกราบก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากการหยิบของจากถุงย่าม”
ผู้เฒ่าชุดเต๋ายิ้มหัวเราะด้วยความอ่อนโยน
เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้น กลับทำให้มู่ซีและคนอื่น ๆ รู้สึกหนาวสะท้าน
“โดน!”
มู่ซีลงมือในฉับพลัน ควงหอกใหญ่เหล็กสัมฤทธิ์พุ่งออกไป
การฝึกตนของเขาในตอนนี้ห่างไกลจากเทพเซียนเดินดินเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังมีเคล็ดวิชาที่ซูอี้ถ่ายทอดให้ และมีจี้หยกโลหิตช่วยเหลือ กำลังการต่อสู้จึงเหนือกว่าคนในระดับเดียวกัน
ทว่าผู้เฒ่าชุดเต๋ากลับส่ายหน้าน้อย ๆ พลางกล่าว “ราชาสะกดขุนเขา คนฉลาดอย่างเจ้าเช่นนี้ เหตุใดจึงทำในสิ่งที่ไม่ประมาณตนกัน?”
ขณะที่พูด เขาเคาะนิ้ว
เอื๊อก!
กลางอากาศ ดาบสีดำเป็นแนวยาวราวกับสายรุ้งพุ่งออกจากนิ้วมือราวกับดาบบิน
พลังดาบประดุจสายรุ้งพาดผ่านท้องฟ้า พุ่งไปที่มู่ซี ประกายดาบอันคมกริบ ต่อให้อยู่ห่างกันสิบกว่าจั้ง ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากการถูกเชือดเฉือน
เพล้ง!!
มู่ซีหรี่ตาลงในฉับพลัน ผลักดันผลการฝึกตนสู่ขีดสุดภายในชั่วพริบตา พลันฟาดหอกใหญ่เหล็กสัมฤทธิ์ออกไปปะทะกับพลังดาบสีดำ
ทว่าเพียงแค่ชั่วครู่เดียว เขาก็ถูกฟาดกระเด็นออกไปไกล หอกใหญ่เหล็กสัมฤทธิ์หลุดกระเด็นออกจากมือ ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา จากนั้นจึงร่วงกระเด็นไปไกลหลายจั้ง
สีหน้าตื่นตระหนกผุดขึ้น
เหตุใดตาเฒ่าคนนี้จึงแข็งแกร่งได้เพียงนี้!?
ผูอี้กับคนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้แล้วหนาวสะท้านไปทั้งตัว เพียงแค่กำลังนิ้ว ๆ เดียวถึงกับทำให้ราชาสะกดขุนเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส น่ากลัวถึงเพียงไหนกัน?
“เจ้า ราชาสะกดขุนเขา เป็นคนหนุ่มเก่งอันดับหนึ่ง ตอนนี้กลับมาเป็นสุนัขรับใช้ของซูอี้ ช่างน่าอนาถยิ่งนัก”
ผู้เฒ่าชุดเต๋าส่งเสียงทอดถอนใจ
ขณะที่พูด เขากดนิ้วติดกันกลางอากาศ
ครืน! ครืน!
มือขนาดใหญ่สีดำสองข้างปรากฏขึ้นกลางอากาศ มือหนึ่งกดตัวผูอี้ ส่วนอีกมือหนึ่งกดตัวถานเจียงอวิ๋น ทั้งสองหมดกำลังจะต่อต้าน ถูกกดให้คุกเข่าหมอบกับพื้นได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่น่าตื่นตระหนกเป็นที่สุดก็คือ ผู้เฒ่าชุดเต๋าควบคุมพละกำลังอย่างยอดเยี่ยมจนถึงขั้นสุดยอด หลังจากที่กดตัวคนทั้งสองให้คุกเข่ากราบแล้ว ก็ไม่ได้ทำอันตรายคนทั้งสองอีก
เพราะว่า เขามาเพียงเพื่อสบประมาทฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
หากว่าต้องการจะฆ่าศัตรูจริง ๆ เพียงแค่ดีดนิ้วก็สามารถฆ่าล้างมู่ซีกับคนอื่น ๆ ได้แล้ว
บริเวณใกล้ ๆ กับหอลั่วอิง คนที่เดินผ่านไปมาตกใจจนหนีกันจ้าละหวั่นหมดแล้ว และก็มีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่บางคนเช่นกันที่คอยดูอยู่ไกล ๆ เมื่อมองเห็นภาพเช่นนี้แล้วต่างก็ถึงกับสูดปาก สีหน้าเปลี่ยน
แข็งแกร่งเกินไปเสียแล้ว!
วิธีการที่ผู้เฒ่าชุดเต๋าใช้เป็นการบดขยี้แบบไม่ต้องสูญเสียกำลัง!
“ราชาสะกดขุนเขา เจ้าจะคุกเข่าเอง หรือว่าจะให้ข้าช่วยทำให้เจ้าคุกเข่า?”
ผู้เฒ่าชุดเต๋าเบนสายตามองไปที่มู่ซีด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ข้ารับรองว่า ต่อให้ต้องตาย วันนี้ก็ไม่มีทางคุกเข่าเป็นอันขาด!”
มู่ซีเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ลุกขึ้นช้า ๆ บนร่างอันงามสง่าร่างนั้นมีอานุภาพอันน่ากลัวแผ่กระจายออกมา
“เช่นนั้นรึ?”
ผู้เฒ่าชุดเต๋ายิ้มน้อย ๆ ยกมือขึ้นกดกลางอากาศ
ครืน!
มือใหญ่สีดำข้างหนึ่งกดทับลงมา
“เปิด!”
มู่ซีร้องตวาดเสียงดังด้วยความโกรธ สองแขนราวกับผู้ยิ่งใหญ่แบกเตาหลอม พลังทั้งหมดในตัวถูกผลักดันจนถึงขีดสุดราวกับกองไฟที่กำลังเผาผลาญ
ปัง!!
มือใหญ่สีดำกดทับลงมา
ร่างของมู่ซีสั่นสะเทือนอย่างแรง พื้นใต้ฝ่าเท้ารองรับกำลังรุนแรงเช่นนั้นไม่ไหวแตกร้าวในฉับพลัน ก้อนหินดินทรายปลิวว่อน
สิ่งที่น่าตกใจก็คือมู่ซีต้านทานกำลังกดทับอันน่ากลัวเช่นนี้ไว้ได้!
ผู้เฒ่าชุดเต๋าถึงกับประหลาดใจเช่นกัน พลางกล่าว “ดูไม่ออกเลยว่าหนทางการฝึกตนของเจ้าราชาสะกดขุนเขา จะเหนือกว่าผู้ฝึกตนในโลกสามัญ สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดาย… อย่างไรเสียก็เป็นได้เพียงแค่ตั๊กแตนขวางรถเท่านั้น”
เขาส่ายหน้า
ครืน!
มือใหญ่สีดำนั้นส่งแสงเรืองรอง กดทับอย่างแรง
ฉับพลัน ร่างของมู่ซีถูกกดลงพื้นอย่างแรงราวกับตอไม้ เลือดไหลทะลักออกจากเจ็ดทหาร กระดูกและเอ็นทั้งหมดในร่างส่งเสียงอัดกระแทกออกมา ผิวทั่วทั้งร่างปรากฏรอยเส้นเลือดปริแตก
ใคร ๆ ก็มองออกว่ามู่ซีพยายามต้านทานอย่างสุดกำลัง ยอมรับบาดเจ็บก็ยังดีกว่าถูกลบหลู่โดยการคุกเข่าลงกับพื้น
ภาพแต่ละภาพทำให้ผู้ที่มองดูอยู่ไกล ๆ รู้สึกสงสารเวทนา เป็นถึงราชาสะกดขุนเขามีชื่อเสียงดังก้องไปไกลในใต้หล้า กลับไร้ความสามารถถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ?
ผู้เฒ่าชุดเต๋าคนนั้นที่แท้เป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงน่ากลัวได้เช่นนี้?
ปัง!
จนท้ายสุด ถึงแม้มู่ซีจะสามารถสลายกำลังของมือใหญ่สีดำนั้นไปได้ ทว่าตัวของเขากลับถูกตอกจมลึกลงไปในพื้นดิน เหลือแต่เพียงศีรษะที่โผล่ออกมาเหนือพื้น
เลือดไหลทะลักออกจากปากของเขา มองดูด้วยสายตาเจ็บแค้น แล้วกล่าวคำ “ตาเฒ่า ข้าบอกแล้ว นอกเสียจากข้าตาย ไม่เช่นนั้น ข้า มู่ซี ชั่วชีวิตนี้จะไม่คุกเข่าให้แก่ใครคนใดทั้งสิ้น!!”
เสียงแหบแห้งและโกรธแค้นดังก้องทั่วฟ้า
ผู้เฒ่าชุดเต๋าขมวดหัวคิ้ว พลันหัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “เช่นนั้นรึ ถ้าเช่นนั้นข้าจะดึงเจ้าออกมา แล้วบังคับให้เจ้าคุกเข่ากับพื้นเอง”
พูดจบ แขนเสื้อของเขาพองลม ทำท่าจะลงมืออีกครั้ง
ทว่าขณะนี้เอง…
ชิ้ง!
เสียงดาบดังมาแต่ไกล
เพียงชั่วพริบตา ผู้ชายในชุดผ้าผิวหยาบ สวมหมวกทรงสูงถือดาบพุ่งมา แขนเสื้อกว้างสะบัดโบกพลิ้วราวกับเทพเซียน
“สหายเต๋า ด้วยผลการฝึกเต๋าของเจ้า กลับรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่รู้สึกเสียหน้าบ้างหรอกหรือ?”
ดวงตาของผู้ชายในชุดผ้าผิวหยาบสดใสเป็นประกายราวกับดวงดาวส่องสว่าง จับจ้องอยู่ที่ตัวผู้เฒ่าชุดเต๋า
“อวิ๋นหลาง?”
ผู้เฒ่าชุดเต๋าคาดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นอวิ๋นหลาง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนจากต้าฉินที่กล่าวกันว่ามีกำลังการต่อสู้เป็นอันดับหนึ่ง มีสมญานามว่า ‘อาจารย์อวิ๋นหลาง”
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่มองดูอยู่ไกล ๆ ก็ระส่ำระสายเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าจำฐานะของผู้ที่มาได้
“ช่างเถิด จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของผู้ฝึกเต๋าก็บรรลุแล้ว ไม่เอาความกับพวกมดตะนอยเช่นนี้อีก”
ผู้เฒ่าชุดเต๋าพูดจบก็หมุนตัวจากไป
ห่างออกไปไกล เสียงอ่อนโยนประดุจลมเย็นยามวสันตฤดูของเขาก็ดังขึ้น
“บอกซูอี้ด้วย เรื่องในวันนี้ เป็นการเรียกร้องความยุติธรรมเพื่อฮูหยินสี่กับคุณชายน้อยซูป๋ออิ๋นแห่งจวนตระกูลซู หากว่าเขาไม่พอใจ ไม่ต้องรอให้ถึงวันที่สี่เดือนห้า คืนนี้ก็สามารถมาจวนตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงได้ ผู้ฝึกเต๋าจะคอยต้อนรับ”
เสียงยังคงดังก้อง ทว่าเขากลับหายลับไปในราตรีมืดมิดราวกับแสงไฟดวงหนึ่ง
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตื่นตระหนกมองหน้ากัน
และก็เป็นเวลานี้เช่นกัน พวกเขาจึงเข้าใจแล้วว่าการมาของผู้เฒ่าชุดเต๋าในครั้งนี้ ปลายหอกนั้นพุ่งตรงไปที่ซูอี้!
“คน ๆ นี้เป็นใครกัน มีผลการฝึกฝนถึงขั้นนี้…”
สีหน้าของอาจารย์อวิ๋นหลางเคร่งเครียดเล็กน้อย
เขาก็เป็นตัวตนที่อยู่ในระดับสุดยอดของขอบเขตไร้เบญจธัญเช่นกัน แข็งแกร่งยิ่งกว่าโหยวเทียนหงผู้ที่ตกอับอยู่ใต้ฝีมือของซูอี้
ทว่าเมื่อสักครู่ตอนที่เผชิญหน้ากับผู้เฒ่าชุดเต๋าคนนั้น กลับทำให้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันใหญ่หลวง!
“คุณชายมู่ พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เวลานี้ ร่างอรชรสูงโปร่งร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาหาอย่างรีบร้อนจากที่ ๆ ห่างไกลออกไป ใบหน้างดงามราวกับรูปแกะสลักที่ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง
หลานซัวนั่นเอง
อาจารย์อวิ๋นหลางก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณของนาง
นางเข้าไปพยุงตัวมู่ซีขึ้น ใบหน้างดงามนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “คุณชายซูอยู่ที่ใด? ข้าจะพาพวกเจ้าไปพบกับเขา”
มู่ซีกล่าวน้ำเสียงขมขื่น “ข้าไม่มีหน้าไปพบพี่ซู”
“นี่มันใช่เวลาเสียที่ไหน ยังจะพูดเช่นนี้อีก รีบไปกันเถิด”
หลานซัวเขม่นตามองดูเขา แล้วพามู่ซีกับคนอื่น ๆ จากไปพร้อมกันโดยไม่ให้โอกาสได้โต้เถียง
คืนนี้ หากไม่ใช่เพราะนางกับอาจารย์เดินเล่นอยู่ในละแวกใกล้ ๆ และรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังการต่อสู้ในครั้งนี้เข้าล่ะก็ ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเอาเสียเลย
อีกทั้ง เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ผู้เฒ่าชุดเต๋าคนนั้นมาเพื่อเจาะจงเล่นงานซูอี้โดยเฉพาะ เรื่องเช่นนี้ บอกให้ซูอี้รู้เสียแต่เนิ่น ๆ จะเป็นการดี
ลานซงเฟิงเปี๋ย
ซูอี้เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายในสวนพลางจิบสุราอยู่คนเดียว
ที่นั่งข้าง ๆ หว่านชิงกำลังก้มหน้าก้มตาแทะเมล็ดแตงโม บนจานเครื่องเคลือบสีขาวข้างกาย มีเมล็ดแตงโมกะเทาะเปลือกกองสูงเป็นพะเนิน
ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง สี่ทิศสว่างเจิดจ้า เงียบสงบน่าอภิรมย์
ซูอี้เอื้อมมือมาหยิบเมล็ดแตงโมเป็นพัก ๆ แกล้มสุรากับแสงจันทร์ รู้สึกเคลิบเคลิ้มยิ่งนัก
ชิงหว่านใช้ดวงตาโตสวยใสเป็นประกายแอบมองดูซูอี้เป็นบางครั้ง จากนั้นรีบก้มหน้าลงราวกับทำความผิดอะไรไว้
ซูอี้ไหนเลยจะไม่รู้ว่านางแอบมอง เพียงแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็เท่านั้น
เพราะอย่างไรเสีย สาวน้อยสวยน่ารัก น่าเอ็นดู ทำท่าแอบชำเลืองมองเช่นนั้น ก็ให้ความรู้สึกสบายตาสบายอารมณ์เช่นกัน
ทว่าเมื่อหลานซัวพามู่ซีกับคนอื่น ๆ มาหาในค่ำคืนนั้นแล้ว จิตใจอภิรมย์ของซูอี้ก็เลือนหายไปในฉับพลัน
สายตาของเขากวาดมองดูร่างของมู่ซีกับคนอื่น ๆ ทีละคน หัวคิ้วขมวดขึ้นทีละน้อย ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นเกิดประกายเย็นวาบขึ้นมา
ซูอี้คาดไม่ถึงว่า ซูหงหลี่จะเล่นไม้นี้
“ทนไม่ไหวแล้วเช่นนั้นหรือ? หรือว่า ต้องการจะทำให้ข้าโกรธและถือโอกาสนี้ทำให้ข้าบุกไปจวนตระกูลซูโดยไม่สนใจต่อสิ่งใดทั้งสิ้นเช่นนั้นน่ะหรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิด
“คุณชายซู เรื่องนี้ควรต้องทำเช่นใด?”
หลานซัวอดส่งเสียงถามขึ้นมาไม่ได้
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางได้เจอกับซูอี้หลังจากที่ผ่านไปนานหลายวัน ทว่าครั้งนี้นางกลับไม่คิดว่าต้องพูดทักทายตามมารยาทอีกแล้ว
ซูอี้กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “วันที่สี่เดือนห้าในวันนั้น ข้าจะฟันหัวของตาเฒ่าคนนั้นด้วยตนเอง ช่วยชำระล้างความอับอายที่พวกของราชาสะกดขุนเขาได้รับในคืนนี้”
“ตอนนี้… เจ้าไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อยเลยหรือ?”
หลานซัวไม่เข้าใจ นางมองไม่เห็นท่าทีโกรธเกรี้ยวในตัวของซูอี้เลยแม้แต่น้อย
“แม่นางน้อย โกรธในเวลานี้ ไม่เท่ากับตกหลุมกับดักของฝ่ายตรงข้ามหรอกหรือ?”
อาจารย์อวิ๋นหลางเดินขึ้นมาข้างหน้า คารวะต่อซูอี้พลางกล่าว “ฝูอวิ๋นหลางแห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน คารวะสหายเต๋าซู”
หลานซัวรีบกล่าวขึ้นมาเช่นกัน “คุณชายซู นี่คืออาจารย์ของข้า เรื่องในคืนนี้ เป็นเพราะอาจารย์ข้ายื่นมือมาช่วยไว้ทันจึงทำให้คน ๆ นั้นถอยไป”
ซูอี้ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้หวายอีก เขาลุกขึ้นผงกศีรษะพลางกล่าว “เรื่องในคืนนี้ ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วย วันข้างหน้าข้าซูผู้นี้จะต้องตอบแทนคุณอย่างแน่นอน”
อาจารย์อวิ๋นหลางยิ้มพลางโบกมือกล่าว “ฝูผู้นี้ได้ยินมานานแล้วว่า คุณชายเคยช่วยชีวิตหลานซัวไว้ หากบอกว่าตอบแทนบุญคุณ ก็ควรเป็นฝูผู้นี้ต่างหากที่ต้องตอบแทนบุญคุณสหายเต๋า”
ซูอี้ไม่ได้ติดใจกับเรื่องนี้ สายตาเบนไปยังพวกมู่ซี สั่งกำชับ “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจงอยู่ที่นี่กับข้า”
พวกของมู่ซีต่างก็รับปาก
อาจารย์อวิ๋นหลางกับหลานซัวอยู่ค้างต่ออีกสักครู่ จากนั้นจึงอำลากลับ
คืนนั้น
เรื่องของผู้เฒ่าชุดเต๋าบังคับราชาสะกดขุนเขามู่ซีกับคนอื่น ๆ ให้คุกเข่าที่หน้าหอลั่วอิง เพื่อพุ่งปลายหอกไปที่ซูอี้ก็แพร่กระจายไปทั่วนครหลวงอวี้จิง กลายเป็นเหตุการณ์สั่นสะเทือนอย่างแรง