บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 334 ผู้คนต่างจับจ้อง แต่เขายังคงสงบนิ่ง
ตอนที่ 334: ผู้คนต่างจับจ้อง แต่เขายังคงสงบนิ่ง
ตอนที่ 334: ผู้คนต่างจับจ้อง แต่เขายังคงสงบนิ่ง
ในกลางดึกที่วังหลวง
จักรพรรดิโจวรู้สึกไม่สบายใจ กล่าวว่า “ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน นักพรตเต๋านั่นปรากฏตัวขึ้นในอากาศพร้อมกับซูหงหลี่ จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ชื่อและที่มาของเขา ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเคลื่อนไหวในคืนนี้”
ในพริบตาคนผู้นี้ถึงกับบังคับให้ราชาสะกดขุนเขาและคนอื่น ๆ คุกเข่าลงได้อย่างง่ายดาย …ความแข็งแกร่งเช่นนี้น่ากลัวเกินไป!
ในท้องพระโรง หงเซินชางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ข้าบอกท่านแล้วว่าบุคคลผู้นี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เหตุการณ์ในคืนนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันที่ดี”
หลังจากหยุดชั่วคราวเขาก็กล่าวต่อ “ฝูอวิ๋นหลางผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนเป็นหนึ่งในสามนักดาบที่มีอำนาจมากที่สุดในต้าฉิน แต่ถึงแม้เขาจะปรากฏตัวในคืนนี้ เขาก็ไม่ได้กระทำการอันใดโดยพลการ นี่แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของชายชราผู้นั้นช่างน่าสะพรึงกลัวเพียงใด”
จักรพรรดิโจวขมวดคิ้ว พูดว่า “นี่อาจเป็นไพ่ตายของซูหงหลี่ใช่หรือไม่?”
หงเซินชางส่ายหัว “ถ้าเป็นไพ่ตาย ในคืนนี้มันจะถูกเปิดเผยได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงที่นักพรตนั่นเชื่อฟังซูหงหลี่อีก ด้วยมันหมายความว่าคนที่น่ากลัวจริง ๆ คือซูหงหลี่!”
จักรพรรดิโจวสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวว่า “เมื่อสิบปีที่แล้ว เมื่อซูหงหลี่เริ่มใช้ชีวิตอย่างสันโดษ หลังจากผ่านมานานขนาดนั้น ผลการฝึกของซูหงหลี่จะแข็งแกร่งถึงเพียงใด?”
น้ำเสียงนั้นเคร่งขรึม
หงเซินชางเงียบไปครู่หนึ่ง และคราวนี้เขากล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ฝ่าบาท คำตอบจะถูกเปิดเผยในไม่ช้า”
……
“นักพรตนั่นแท้ที่จริงแล้วมาจากที่ใด?”
คืนนี้ ณ นครหลวงอวี้จิง ไม่รู้ว่ามีคนคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้สักกี่คน
อีกทั้งในเวลานี้ ผู้คนยังค้นพบว่ามีผู้ที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ข้าง ๆ ซูหงหลี่!
“ก่อนหน้านี้ ข้าไม่ได้จับตามองซูหงหลี่ แต่ท้ายที่สุดซูอี้สามารถสังหารโหยวเทียนหงที่อยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบูรณ์แบบได้ เขาจะไม่สามารถกำจัดซูหงหลี่ได้อย่างไร?”
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินซูหงหลี่ต่ำไป!”
ผู้อาวุโสบางคนถอนหายใจ
“ถ้าคู่พ่อลูกคู่นี้เผชิญหน้ากันจริง ๆ ใครแข็งแกร่งกว่ากัน?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นซูอี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้สังหารเทพเซียนเดินดินโหยวเทียนหงและหลี่ฉางหนิง แม้แต่ฉือเฟิงหลิวก็ตื่นตกใจและหนีไปด้วยความอับอาย มองดูทั่วต้าโจวนี้สิ ใครจะอยากเป็นศัตรูกับเขากัน?”
“ไม่จำเป็น! ซูหงหลี่อยู่อย่างสันโดษมาสิบปีแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขายังไม่แข็งแกร่งพอ เขาจะมีนักพรตลึกลับผู้นั้นอยู่ข้างเขาได้อย่างไร?”
คืนนี้ เนื่องจากการปรากฏตัวของชายชราในชุดเสื้อคลุม ผู้คนจึงค้นพบ ว่าไม่ว่าจะเป็นซูหงหลี่หรือซูอี้ พ่อและลูกชาย ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าเป็นผู้ใดที่ลึกลับและแข็งแกร่งกว่ากัน!
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
“ในวันที่สี่เดือนห้า ความจริงทั้งหมดจะถูกเปิดเผย!”
ในคืนนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ในนครหลวงอวี้จิงต่างตั้งตารอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันที่สี่เดือนห้า
……
วันที่สามเดือนห้า
องครักษ์เงามังกรถูกส่งไปดูแลพื้นที่สิบลี้รอบตระกูลซู ผู้คนซึ่งตั้งรกรากอยู่บริเวณนั้นทยอยจากไป
ตำหนักเทียนหยวน แคว้นกุ่น
หนิงซือฮวายืนอยู่คนเดียวริมทะเลเมฆบนยอดเขา นางเอ่ยเบา ๆ “พรุ่งนี้แล้วสินะ… ทว่าช่างน่าเสียดายนักที่ข้าไม่สามารถไปดูการต่อสู้ด้วยตนเองได้ … ”
มีความเสียใจบนใบหน้าที่อ่อนเยาว์และสวยงามเหมือนเด็กสาวของนาง
จากนั้นหนิงซือฮวาก็หันไปมองฉาจิ่นที่มีเสน่ห์สวยงามซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล ดวงตางามงดของอีกฝ่ายมองจ้องไปยังที่แสนไกลราวกับตกอยู่ในภวังค์ ท่าทางของฉาจิ่นดูวิตกกังวลเป็นอย่างมาก
หนิงซือฮวาเดินไป ก่อนจะยิ้มและให้ความมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลไป ไม่มีผู้ใดในโลกสามัญนี้ที่สามารถฆ่านายน้อยของเจ้าได้”
ฉาจิ่นพ่นลมหายใจ ตื่นจากภวังค์และพูดอย่างเขินอาย “ข้ารู้ ทว่าก็อดกังวลไม่ได้”
คนทั้งสองต่างไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม
…ที่กังวลก็เพราะใส่ใจและห่วงใย
ในส่วนลึกของหัวใจ พวกนางจะสงบได้อย่างไร?
ภายในอาคารไม้ไผ่
เหวินหลิงเสวี่ยนั่งริมหน้าหน้าต่าง ใช้มือหยกเท้าคาง ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและงดงามนิ่งไป ก่อนพูดกับตัวเองว่า “ซูอี้ ท่านจะต้องไม่เป็นไร…”
ในอีกด้านหนึ่ง เหวินหลิงเจากำลังชงชา ซึ่งแม้ว่าท่าทีของนางจะเย็นเยียบราวกับหิมะ โดดเดี่ยวราวกับน้ำแข็ง แต่ในใจของนางกลับเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
ยังจำได้ดี… ตอนที่คนผู้นั้นบอกว่าตัวเองจะไปยังตระกลูซูเพื่อยุติการแต่งงาน ตอนนั้นนางมองว่ามันไร้สาระและยากจะเชื่อ จึงนำไปสู่การโต้เถียงกับเขาอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ใครจะคิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขาจะทำให้ดินแดนแห่งนี้วุ่นวาย และกลายเป็นคนหนุ่มที่เปล่งประกายซึ่งถูกกล่าวถึงที่สุดในต้าโจว!
เมื่อเหวินหลิงเจานึกเรื่องทั้งหมดนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตัวเอง …หรือควรโทษตัวเองที่มีตาหามีแววไม่?
“ท่านพี่ ท่านพี่ซูจะไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เฝิงเสี่ยวหรานเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปยังพี่ของนางเฝิงเสี่ยวเฟิงด้วยดวงตาที่ลึกล้ำและงดงาม
“แน่นอน!”
เฝิงเสี่ยวเฟิงตอบโดยไม่ลังเล
……
วันที่สี่เดือนห้า
ก่อนรุ่งสาง ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากจากทั่วทั้งดินแดนออกเดินทางก่อนกำหนด โดยรีบไปยังพื้นที่ซึ่งตระกูลซูตั้งอยู่ในนครหลวงอวี้จิง
ในหมู่พวกเขามีผู้ฝึกตนหลายคนมาจากต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉิน
พวกเขากังวลว่าจะไปสายเกินและจะไม่สามารถคว้าจุดที่ดีที่สุดในการชมการประลองได้
“การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะดึงดูดผู้ยิ่งใหญ่มาได้มากน้อยเพียงใด เรียกได้ว่าเป็นงานใหญ่ที่ดึงดูดความสนใจจากทั่วทั้งดินแดนและไม่ได้เกิดขึ้นมาเกือบร้อยปีแล้ว”
ชิงจินกระซิบ
นางมาพร้อมกับเซียนฮัวซง
เมื่อเร็ว ๆ นี้นางได้รับรู้ข่าวสารมากมาย จึงพอจะทราบบ้างว่าการประลองที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ดึงดูดความสนใจจากผู้ฝึกตนของต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉินมากเพียงใด
เพียงแต่นางยังทำใจได้ยากไม่น้อย เมื่อทราบว่าหนึ่งในตัวเอกของการต่อสู้ครั้งนี้คือซูอี้!
ยังจำได้เมื่อสองหรือสามเดือนก่อน ณ มหานครอวิ๋นเหอ ชายหนุ่มยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์
แต่ตอนนี้เขากลับมีชื่อเสียงเขย่าโลก!
“ข้าแค่หวังว่าคุณชายซูจะชนะ…”
“ฮึ!”
เซียนฮัวซงที่อยู่ด้านข้างแสดงความไม่พอใจ “ข้ารู้ว่าซูอี้เคยช่วยชีวิตเจ้า แต่อย่าลืมว่าซูอี้ผู้นี้เป็นศัตรูของสำนักดาบมังกรเร้นเราด้วย!”
……
“ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่านายน้อยซูจะสามารถชนะการประลองครั้งนี้ได้หรือไม่?”
ระหว่างทางไปบ้านของตระกูลซู หลานซัวก็อดที่จะถามไม่ได้
“ยากที่จะพูด”
อาจารย์อวิ๋นหลางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “การต่อสู้ครั้งนี้มีตัวแปรมากมาย ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครคาดเดาได้ว่าใครจะแพ้หรือชนะ”
หลานซัวตกตะลึงพลางกระซิบ “แต่ข้าอยู่ข้างเดียวกับคุณชายซู”
อาจารย์อวิ๋นหลางยิ้มและกล่าวว่า “เขาช่วยชีวิตเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงอยู่ข้างเขาเช่นนั้น แต่เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นจริง ๆ จงอย่าหุนหันพลันแล่น ตอนนี้นครหลวงอวี้จิงแห่งนี้เต็มไปด้วยเสือหมอบมังกรซ่อน ผู้คนที่แข็งแกร่งต่างมารวมกัน ณ ที่แห่งนี้ ก่อนที่ซูอี้และตระกูลซูจะตัดสินรู้ผลแพ้ชนะจริง ๆ อย่าลืมว่าอย่าออกหน้าเกินไป มิฉะนั้นเกรงว่าจะตกเป็นเป้าของศัตรูที่มุ่งหมายเอาชีวิตซูอี้! และหากมีศัตรูที่หมายชีวิตซูอี้จริง ๆ เราก็ค่อยช่วยสนับสนุนเขาอย่างลับ ๆ เป็นพอ”
หลานซัวฮัมเพลง ปากกล่าวอย่างมีความสุข “อาจารย์ ข้ารู้ว่าท่านจะไม่เปลี่ยนใจ!”
……
หากมองจากฟากฟ้า
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในพื้นที่โดยรอบซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ตระกูลซู มีผู้คนจำนวนมากกำลังเดินทางจากทุกทิศทุกทาง
อัดแน่นราวกับคลื่นซัด
อย่างไรก็ตามผู้ที่กล้าเข้าใกล้พื้นที่บริเวณนี้ต่างล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดน
“ดูนั่น ผู้อาวุโสจี้เหอจากวัดซ่างหลินอยู่ที่นี่แล้ว!”
มีเสียงตะโกนดังขึ้น
ก่อนจะเผยให้เห็นหลวงจีนชรานุ่งห่มจีวรที่ดูมีเมตตา เป็นผู้นำขบวนบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนจากต้าฉินเดินตรงเข้าไป
ภาพตรงหน้าดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก
หลังจากการปรากฏตัวของจี้เหอและคนอื่น ๆ เพียงไม่นานอวิ๋นจงฉีผู้อาวุโสแห่งสำนักวงเดือน ซึ่งมีเคราและผมเป็นสีขาวก็มาถึงพร้อมกับคณะทูตจากต้าเว่ย
อวิ๋นจงฉีถือตราลัทธิเต๋าไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะที่มืออีกข้างถือแส้ปัด การปรากฏตัวของคนกลุ่มนี้ทำให้เกิดความโกลาหลในสถานที่แห่งนั้น
ไม่ว่าจี้เหอหรืออวิ๋นจงฉีจะไปที่ใด พวกเขาก็เป็นจุดสนใจของผู้คนเสมอ
ในบริเวณใกล้เคียงตระกูลซู ณ ปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้คนมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงกลมกลืนไปกับผู้คนที่อยู่ที่นั่น
ในเวลาต่อมา ฉือเฟิงหลิวและเซียนฮัวซงแห่งสำนักดาบมังกรเร้นก็มาถึงทีละคน
เก๋อฉางหลิง ราชากลืนสมุทรที่ผู้คนไม่ได้พบเห็นในโลกมาหลายปีก็มาเช่นกัน!
เมื่อหญิงสาวสวมชุดขาวถือดาบเยว่ซือฉานราชาขนนกที่งดงามราวภาพวาดมาถึง ก็ยังคงเหมือนกับตอนที่อยู่บนยอดเขาจิ่วจี้ ที่มีหลายสายตาจ้องมองนางอย่างตกตะลึง
การมาถึงของอวิ๋นหลางผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนก็ทำให้เกิดความโกลาหลในสถานที่แห่งนั้นเช่นกัน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างตกตะลึง
ราวกับอยู่ในตำนาน เทพเซียนเดินดินที่ราวกับเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางต่างหลั่งไหลกันเข้ามาเรื่อย ๆ!
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
แสงแรกของอรุณรุ่งตัดผ่านความมืดเหนือนครหลวงอวี้จิง และใกล้กับจวนตระกูลซู ขณะนี้มันก็ได้เนืองแน่นไปด้วยผู้แข็งแกร่งมากมาย!
ภายในตระกูลซู
โหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋นรออย่างใจจดใจจ่อที่ด้านนอกลานชิงอู๋ พวกเขาทั้งกังวลและตื่นเต้น
ไม่ไกลจากพวกเขา ผู้มีอำนาจของตระกูลซูก็รออยู่ที่นั่นแต่เนิ่น ๆ และอารมณ์ของทุกคนก็ล้วนซับซ้อนเป็นอย่างมาก
วันนี้ตระกูลซูของพวกเขาเป็นจุดสนใจของทั่วทั้งดินแดน
และในเวลาเดียวกัน การต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ก็เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของตระกูลซูของพวกเขาเช่นกัน!
ภายในลานชิงอู๋
ซูหงหลี่เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมสีดำ ผมยาวของเขาถูกมัดเป็นมวย ร่างสูงใหญ่ของเขาอาบแสงยามเช้า ดูราวกับภูเขาโดดเดี่ยวที่ตั้งตระหง่านระหว่างฟ้าดิน ให้ความรู้สึกมั่นคงไม่สั่นคลอน
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “สิบปีที่ผ่านมา ข้ารอคอยให้โลกอันวิจิตรนั้นมาถึง และข้ารู้สึกว่าไม่คุ้มที่จะแสดงความแข็งแกร่งในโลกนี้ แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะต้องแสดงพลังของข้าล่วงหน้าเพราะคนผู้นั้น!”
ทันทีที่เขาถอนสายตา “เอาล่ะ วันนี้จะให้ผู้คนได้เห็นวิธีการของข้าซูหงหลี่”
ซูหงหลี่เอามือไพล่หลัง เดินไปทางลานชิงอู๋
ชายชราในชุดคลุมเดินตาม
เมื่อรุ่งอรุณมาถึง
ซูอี้ยังคงเป็นเช่นเดิม ล้างหน้าแปรงฟัน ฝึกฝน และกิน
ทำทุกอย่างเหมือนเดิม และการที่เขากำลังจะเผชิญหน้ากับตระกูลซูในวันนี้ก็ไม่มีผลกระทบต่อการบ่มเพาะของเขาอย่างแน่นอน
ประสบการณ์ที่ผ่านมามากมาย เหมือนลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้า
ศึกใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในความสงบ
เมื่อซูอี้เดินออกจากลานซงเฟิงเปี๋ย ฟางหยวนที่ขับรถม้าก็รออยู่ที่นั่นแล้ว
ซูอี้เข้าไปในรถม้าและออกคำสั่งอย่างเป็นกันเองว่า “หลังจากที่พาข้าไปที่ตระกูลซูแล้ว กลับมาอุ่นเหล้าไว้หนึ่งเหยือก และอย่าลืมซื้อปลาจาระเม็ดย่างให้ข้าด้วย”
ฟางหยวนตกตะลึง
เป็นเพียงคำพูดธรรมดา ๆ เท่านั้น ทว่าเพราะเป็นเช่นนั้น มันจึงทำให้จิตใจของเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
…ราวกับในที่เงียบสงัดมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น!