บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 338 เรียกดาบ
ตอนที่ 338: เรียกดาบ
ตอนที่ 338: เรียกดาบ
ซูหงหลี่แพ้?
ทุกคนต่างเห็นด้วยตาของพวกเขาเอง ว่าตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้จนถึงตอนนี้ ซูหงหลี่ถูกบีบคั้นและเสียเปรียบซูอี้โดยตลอด
ไม่ว่าเคล็ดวิชาที่ซูหงหลี่งัดออกมาใช้จะแข็งแกร่งหรือเลิศล้ำสักเพียงใด ซูอี้ก็สามารถทำลายพวกมันได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น ที่น่าสยองที่สุดก็คือเมื่อซูหงหลี่ใช้พลังแห่งสวรรค์และโลก แม้ว่าพลังนั้นจะน่ากลัวเหนือจินตนาการ แต่ทว่าถัดมาซูอี้กลับสามารถสยบพลังแห่งสวรรค์และโลกได้และทำให้ซูหงหลี่เปรียบดั่งเสือไร้เขี้ยวในตอนท้าย!
จี้เหอ อวิ๋นจงฉี และเหล่าเทพเซียนเดินดินทั้งหลายล้วนใจเต้นระส่ำ สีหน้าของพวกเขาซับซ้อนอย่างมาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้ซูหงหลี่จะเพิ่งทะลวงขอบเขตเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด แต่ทว่าทั้งความแข็งแกร่ง ความเข้าใจในการใช้พลังแห่งสวรรค์และโลก รวมไปถึงเคล็ดวิชาลับทั้งหลายที่มีนั้นเหนือกว่าโหยวเทียนหงมาก
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ซูหงหลี่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้!
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
โหยวชิงจือ ซูป๋ออิ๋น และบรรดาสมาชิกตระกูลซูทั้งหมดต่างตกตะลึง สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ เมื่อซูหงหลี่แสดงพลังอันเลิศล้ำออกมา พวกเขายังคงตื่นเต้นอย่างมาก โดยคิดว่าการต่อสู้ในวันนี้พวกเขาสามารถฆ่าซูอี้ได้อย่างง่ายดาย และชื่อเสียงของตระกูลซูจะแผ่ขยายไปทั่วสามอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ทั้งต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉิน
ทว่าโดยไม่มีผู้ใดคาดคิดได้ถึง… ซูหงหลี่กลับกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!!
ผู้ชมที่อยู่ไกลออกไปต่างตกตะลึงจนสมองว่างเปล่า
ในสายตาของพวกเขา การต่อสู้ที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากการต่อสู้ในตำนานของเหล่าทวยเทพ พลังของซูหงหลี่นั้นน่าตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่พลังการต่อสู้ของซูอี้ผู้อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์นั้นน่าตกตะลึงยิ่งกว่า!
“ชนะ?”
ในตอนนี้ มู่ซี ผูอี้ และคนอื่น ๆ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
ราชาขนนกเยว่ซือฉานและราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิง ต่างก็ตื่นเต้นจนไม่สามารถสงบลงได้ชั่วขณะ
ฉางกั้วเค่อเบิกบานอยู่ภายใน
สีหน้าของชิงจินนั้นซับซ้อน นางเหม่อลอยอยู่หลายครั้งพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีต
เซียนฮัวซงขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าของเขามืดมน
“รากฐานการบ่มเพาะและความเข้าใจในเต๋าของซูหงหลี่นั้นไร้ที่ติ ห่างไกลจากผู้บ่มเพาะทั่วไปอย่างไม่อาจเทียบเปรียบ เขาคงได้รับสืบทอดมรดกอันยิ่งใหญ่จากวิถีปราชญ์โบราณ ไม่แปลกเลยที่ในทันทีที่เขาฝ่าทะลวงขอบเขต เขาจะมีพลังอันมากล้นเหนือยิ่งกว่าเทพเซียนเดินดินทั่วไปเช่นนี้ แต่ทว่า… เมื่อเทียบกับซูอี้เขากลับยังด้อยกว่ามาก”
อาจารย์อวิ๋นหลางถอนหายใจกับตัวเอง
มีเพียงตัวตนระดับเขาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นเบาะแสบางอย่างได้
หากเทียบกันแล้ว ผู้ที่น่ากลัวอย่างแท้จริงคือซูอี้!
ด้วยระดับการบ่มเพาะปรมาจารย์ขั้นห้า ซูอี้จึงสามารถสะกดข่มซูหงหลี่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ!
ทักษะที่ซูอี้สำแดงนั้นแตกต่างจากสิ่งที่คนสามัญสามารถทำได้อย่างสิ้นเชิง อันที่จริงมันลึกลับและทรงพลังยิ่งกว่าเคล็ดวิชาที่เทพเซียนเดินดินทั้งหลายสามารถใช้ได้เสียอีก ราวกับว่าซูอี้คือเทพเซียนจากสวรรค์ตัวจริงที่ลงมาเกิดยังโลกมนุษย์พร้อมความทรงจำอันครบถ้วน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีครั้งสุดท้าย… มันช่างงดงามและทรงพลังไม่อาจต้าน ท้าทายฟ้าดินสยบปฐพี แม้แต่อาจารย์อวิ๋นหลางก็ยังไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
แต่ถ้าหากยืนกรานจะให้กล่าวก็คือ…
ช่างไร้เทียมทาน!
เมื่ออยู่ต่อหน้าการโจมตีนั้นของซูอี้ ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาอันเลิศล้ำใด ๆ ในโลกหล้าย่อมไม่อาจเอาไปเทียบได้!
อย่างไรก็ตาม อาจารย์อวิ๋นหลางยังสังเกตเห็นว่าแม้ว่าซูหงหลี่จะถูกโจมตีเข้าไปอย่างรุนแรงและบาดเจ็บอย่างหนัก แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงผลลัพธ์
ทั่วบริเวณต่างเงียบกริบ
สายตาของเหล่าเทพเซียนเดินดินล้วนมองไปยังก้นหลุมยักษ์ พวกเขากำลังมองดูร่างที่โชกไปด้วยเลือด
ซูอี้เอามือไพล่หลังพลางลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่เคลื่อนไหว เขาเพียงมองดูชายชราในชุดพรตเต๋าซึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลซูในระยะไกลอย่างครุ่นคิด
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นร่างที่โชกเลือดก็บินพุ่งขึ้นจากก้นหลุมยักษ์ขึ้นมาอยู่บนท้องฟ้า เจ้าของร่างไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซูหงหลี่
เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น ร่างกายได้รับบาดเจ็บทุกหนทุกแห่ง ลมหายใจของเขาอ่อนแรงราวกับว่ากำลังจะตาย
แต่ในเวลานี้ ซูหงหลี่ไม่ได้สนใจเลย ดวงตาของเขาดูน่ากลัวอย่างยิ่ง เขามองดูซูอี้จากระยะไกลและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านังแพศยาแม่ของเจ้าจะทิ้งสิ่งดี ๆ ไว้ให้เจ้ามากมายนัก!” น้ำเสียงของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชัง
เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจว่าสาเหตุที่ซูอี้แข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้เป็นเพราะเยี่ยอวี่เฟยเป็นสาเหตุ
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ไม่ได้สนใจที่จะอธิบาย แต่กลับกล่าวว่า “ในตอนแรกเจ้าใช้พลังของตนเองเพื่อสยบข้า เจ้าล้มเหลว ถัดมาเจ้าใช้พลังแห่งสวรรค์และโลกเพื่อสยบข้า เจ้าก็ยังล้มเหลว เอาล่ะ คราวนี้ได้เวลาที่เจ้าจะใช้ไพ่ลับของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”
เขารอเวลานี้อยู่
“ในเมื่อเด็กชั่วเช่นเจ้ารนหาที่ตายขนาดนี้ ข้าจะไม่สนองให้ได้อย่างไร?”
หลังจากซูหงหลี่พูดจบ สายตาของผู้ชมทั้งหลายต่างตกตะลึง
ขณะที่เขาหายใจ พลังแห่งสวรรค์และโลกหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายราวกับคลื่นลมโหมกระหน่ำ และในท้ายที่สุด พลังทั้งหลายได้ก่อตัวเป็นพายุขนาดมหึมาราวกับมังกรยาวพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในรัศมีสิบลี้ สีของฟ้าดินทั้งหมดเปลี่ยนไป!
บนร่างกายของซูหงหลี่ บาดแผลทุกที่หายไปอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
สิ่งที่ทำให้ผู้ชมเหลือเชื่อยิ่งขึ้นไปอีกก็คือรูปร่างหน้าตาของซูหงหลี่ดูอ่อนกว่าวัยอีกหลายปี รูปลักษณ์ของเขากลายเป็นเหมือนเด็กหนุ่ม กล้าแกร่งและเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต!
“นี่…”
ผู้ชมตกใจราวกับเห็นปาฏิหาริย์อันเหลือเชื่อ
แม้แต่เหล่าเทพเซียนเดินดินทั้งหลายยังตะลึงงัน นี่เป็นเคล็ดวิชาลับแบบใดกันถึงได้ส่งผลอันน่ามหัศจรรย์เช่นการย้อนวัยได้แบบนี้?
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจก่อนจะกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้เองงั้นหรือ นี่หรือคือไพ่ตายที่เจ้ามั่นใจนักหนา?”
ในขณะที่อาการบาดเจ็บของซูหงหลี่หายไปและรูปลักษณ์ดูเยาว์วัยขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าลมหายใจของชายชราในชุดพรตเต๋าซึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลซูกลับแผ่วลงอย่างต่อเนื่อง ผมยาวสีดำ เครา และคิ้วของของชายชราเริ่มกลายเป็นสีขาวเหมือนหิมะ
ในตอนท้าย แม้แต่ผิวก็ยังหมองคล้ำและดวงตาก็ขุ่นมัว
มันประหนึ่งคล้ายซูหงหลี่กำลังขโมยพลังชีวิตและปราณวิญญาณของชายชราในชุดพรตเต๋าอย่างเงียบงัน!
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้หนังศีรษะของพวกเขาก็ชาหนึบ ขนทั่วร่างลุกซู่จากความสยดสยอง บนโลกนี้มีทักษะลับที่แปลกประหลาดขนาดนี้ด้วยงั้นหรือ?
น่ากลัวยิ่งนัก!
ซูหงหลี่ถอนหายใจเบาพลางหันศีรษะไปยังชายชราในชุดพรตเต๋า และกล่าวว่า “สหายเต๋า ข้ารู้สึกผิดต่อท่านยิ่งนักที่ไม่สามารถให้ท่านได้ชื่นชมความงดงามของโลกนี้ได้อีกต่อไป”
“นับเป็นเกียรติสูงสุดของข้าแล้วที่ได้เป็นเตาหล่อเลี้ยงดาบให้แก่ท่าน!”
เตาหล่อเลี้ยงดาบ?
ขณะที่ทุกคนต่างงุนงง ซูหงหลี่สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเปล่งเสียงก้องกังวานสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน
“ดาบจงมา!!”
เสียงนี้ดังก้องกังวานไปทั่วนครหลวง ปลุกทั้งโลกให้ตื่นตระหนก
ชิ้ง!
ทันทีหลังจากนั้น เสียงเย็นเยือกแห่งดาบดังออกจากร่างของชายชราในชุดพรตเต๋า
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ปราณดาบสีดำอันดุร้ายพวยพุ่งออกจากรูจมูก หู ตา และปากของชายชราในชุดพรตเต๋า
ภายใต้สายตาอันตกตะลึงของทุกคน ในท้ายที่สุด ทั่วร่างของชายชราเต็มไปด้วยรู ผิวหนังและกระดูกของเขาระเบิดกระจายภายใต้อำนาจของปราณดาบสีดำอันดุร้ายนั้น ร่างทั้งหมดของเขาแหลกสลายหายไปโดยสิ้นเชิง!
ชายชราในชุดพรตเต๋าผู้นี้ ผู้ซึ่งสะกดข่มมู่ซีและคนอื่น ๆ ได้ด้วยเพียงการดีดนิ้ว และทำให้อวิ๋นหลางหวาดกลัวอย่างยิ่ง กลับตายลงอย่างน่าอนาถเช่นนี้…
ตูม!
โดยไม่ต้องรอให้ทุกคนตอบสนอง ดาบสีดำพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ปลดปล่อยปราณดาบอันดุดันไปทั่วทุกทิศ
มันคือดาบที่ทั้งเล่มดำมืดราวกับหมึก ทั้งดาบพลุ่งพล่านด้วยรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวและดุร้าย ยามเมื่อมันปรากฏขึ้น ทั้งโลกราวกับถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัว
เหล่าเทพเซียนเดินดินไม่สามารถสงบอารมณ์ลงได้ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป ทั้งร่างสั่นไหวและรีบถอยห่างออกไปให้มากกว่าเดิม
ดาบเล่มนี้ดุร้ายและน่ากลัวยิ่ง!
ไกลออกไป สายตาของผู้ชมทั้งหมดมืดลง จิตใจของพวกเขาเหมือนตกลงไปในนรกอันมืดมิด ผู้คนมากมายหวาดกลัวจนเป็นลม
ส่วนตัวตนอย่างเช่นเยว่ซือฉาน และเก๋อฉางหลิง ร่างกายของพวกเขาถึงกับแข็งค้าง สีหน้าคนทั้งคู่เปลี่ยนไป มีความหนาวเย็นและความกลัวที่อธิบายไม่ได้เกาะกุมใจ
ดาบอันดุร้ายถือกำเนิดขึ้น และกลิ่นอายของมันทำให้ผู้คนทั้งหลายตื่นตระหนกและหวาดกลัว!
ไม่มีใครคาดคิดว่าไพ่ตายของซูหงหลี่จะน่ากลัวขนาดนี้
ชิ้ง!
ซูหงหลี่เอื้อมมือออกไปคว้ามัน
ตูม!
ทันทีที่มือสัมผัสด้ามจับดาบ พลังในร่างของซูหงหลี่เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาของเขาซึ่งเคยสดใสเปล่งประกายกลายเป็นดุร้ายประหนึ่งปีศาจ ทำให้บรรยากาศโดยรอบน่าสยดสยองเหมือนเป็นขุมนรก
“นี่คือดาบเล่มเดียวกับที่เจ้านำมาจากสุสานดาบเก้าจั้งในหุบเขามารตาข่ายเร้นใช่หรือไม่?”
ในระยะไกล ดวงตาของซูอี้ยังคงไม่แยแสเหมือนเช่มเดิม
“ไม่ผิด”
ซูหงหลี่ตอบกลับอย่างเฉยเมย “ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของการเก็บตัวจากโลกภายนอก ความพยายามส่วนใหญ่ของข้าคือการหล่อเลี้ยงดาบนี้ การที่เจ้าจะได้ตายด้วยดาบนี้นับว่าโชคดีแล้ว”
สิบปี!
เขาเก็บตัวอยู่อย่างสงบ โดยใช้ชายชราในชุดพรตเต๋าเป็นเตาหล่อเลี้ยงดาบ เพียงเพื่อปราบดาบอันดุร้ายนี้และใช้มันเพื่อตัวเขาเอง!
เดิมทีเขาต้องการรอให้โลกอื่น ๆ เชื่อมต่อกับโลกที่เขาอยู่ จากนั้นจึงใช้ดาบนี้ท่องไปโลกอื่นเพื่อสำรวจและพิชิต
แต่ทว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะกลายเป็นซูอี้ที่ทำให้เขาต้องเปิดเผยไพ่ลับนี้ก่อนกำหนด
ฟ้าดินต่างเงียบงัน ณ ตอนนี้กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวและดุร้ายของซูหงหลี่กำลังกดทับหัวใจของผู้คนปกคลุมไปทุกทิศทุกทาง
ผู้คนมองไปที่ร่างที่เหมือนปีศาจของซูหงหลี่ พวกเขาต่างหวาดกลัวจนตัวสั่น
แม้แต่ในตระกูลซู โหยวชิงจือ ซูป๋ออิ๋นและคนอื่น ๆ ต่างก็ตื่นตาและตื่นตระหนก
มีเพียงซูอี้เท่านั้นที่ยิ้มเยาะเย้ยราวกับผิดหวังเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “การใช้ร่างกายมนุษย์เป็นเตาหล่อเลี้ยงดาบเพื่อปราบดาบอันดุร้าย วิธีการนี้มีเพียงผู้บ่มเพาะสายมารชั้นต่ำเท่านั้นที่พึงกระทำกัน”
ความนัยอีกอย่างของคำพูดซูอี้คือเขากำลังดูถูกซูหงหลี่อย่างชัดเจน
ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกดาบที่ดุร้าย แต่เขาดูถูกวิถีการปราบดาบของซูหงหลี่
บรรดาผู้ที่รับชมต่างตกตะลึง
ทุกคนสามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าซูอี้กำลังเหยียดหยามซูหงหลี่อย่างรุนแรง อีกทั้งในน้ำเสียงของซูอี้ยังแฝงไปด้วยความผิดหวังอีกต่างหาก
ทว่ามันเป็นเรื่องที่พวกเขายากจะเข้าใจ ซูหงหลี่สามารถปราบดาบอันน่ากลัวเช่นนี้ได้ ใครบ้างที่ไม่ตกตะลึงและสามารถมองข้ามความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้?
แต่เหตุใดเจ้าซูอี้ถึงแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้?
ซูหงหลี่ขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเย็นชาและน่ากลัว ปากกล่าวว่า “ทำไม? เจ้ามีวิธีสยบดาบนี้ที่ดีกว่าของข้าอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้ยิ้มอย่างเย้ยหยัน “อยากรู้? ได้ ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นในภายหลังว่าการทำให้ดาบสยบและเชื่อฟังอย่างแท้จริงต้องทำกันเช่นไร”
“เช่นนั้นหรือ?”
ริมฝีปากของซูหงหลี่โค้งขึ้นเยาะเย้ย เขาไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน “แต่ก่อนที่เจ้าจะได้แสดงให้ข้ารู้ เจ้าจงเอาชีวิตรอดจากดาบนี้ของข้าให้ได้ก่อนก็แล้วกัน!”
หลังจากพูดจบ ซูหงหลี่ยกดาบขึ้นก่อนจะฟาดฟันไปด้านหน้า
ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน ลมและเมฆปั่นป่วนราวกับฟ้าถล่ม
ซูหงหลี่เปรียบเสมือนจ้าวแห่งปีศาจ แม้เป็นการฟันดาบด้วยท่วงท่าธรรมดา แต่เมื่อฟันออกไป ดาบกลับปลดปล่อยปราณดาบสีเลือดรูปลักษณ์คล้ายเสี้ยววงเดือนซึ่งส่งเสียงคำรามก้องพุ่งเข้าไปหาซูอี้
ปราณดาบรูปลักษณ์เสี้ยววงเดือนนั้นกว้างหลายร้อยฉื่อ มันเป็นสีแดงคล้ายเพลิงกำลังลุกไหม้ ทุกที่ที่มันผ่านไปกลายเป็นสีแดงราวกับถูกย้อมด้วยโลหิตจากขุมนรก
ในระยะไกล ไม่รู้ว่ามีผู้ชมกี่คนที่กรีดร้องคร่ำครวญ ทวารทั้งเจ็ดของพวกเขามีเลือดไหลออก
มีแต่เพียงตัวตนเช่นเทพเซียนเดินดินเท่านั้นที่ยังพอทานทนกับผลกระทบของดาบนี้จากซูหงหลี่ แต่ทว่าพวกเขาก็ยังต้องปิดกั้นจิตสำนึกทั้งหมดของตนเองเพื่อปกป้องดวงจิตของพวกเขาไม่ให้เสียหาย
ดาบนี้ดุร้ายและทรงพลังเกินไป!