บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 34 ศัตรูเพียงเอื้อมมือ
ตอนที่ 34 ศัตรูเพียงเอื้อมมือ
ค่ำคืนมืดมนลงทุกที ต้นแคฝรั่งเก่าแก่ยังคงเงียบสงบ
ร่างหนึ่งพลันปรากฏที่รั้วด้านนอกบ้าน
แม้เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ยังเห็นเขาสวมชุดคลุมอย่างนักพรตเต๋าสีดำ ร่างผอมราวไม้ไผ่กำลังอุ้มสองศพมนุษย์เอาไว้ในวงแขนศพละข้าง
นักพรตคนนั้นโยนทั้งสองศพข้ามลงพื้นภายในบริเวณบ้าน ก่อนกระโดดตามเข้ามา
“นี่ชิงหว่าน บ้านหลังนี้มีคนเข้ามาอยู่แล้วหรือ?”
เนื่องจากท้องฟ้ามืดสนิท นักพรตเต๋าเห็นเพียงว่าบัดนี้บ้านร้างรกชัฏได้ถูกทำความสะอาดเหมือนใหม่
“ในที่สุดเจ้าก็มาถึงเสียที อู๋รั่วชิว”
แทนที่จะเป็นเสียงของชิงหว่านตอบกลับเหมือนอย่างเคย แต่วันนี้กลับเป็นเสียงเรียบของซูอี้ที่ตอบกลับไป
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือขวากระชับดาบไม้ท้อ ยืนตระหง่านมองฝ่ายตรงข้ามยามราตรี
อู๋รั่วชิวผู้นี้อายุราวสี่สิบปี ผิวพรรณขาวสะอาด หนวดเคราสะบัดพลิ้วไหว สะพายดาบไว้บนหลัง พวงน้ำเต้าสีน้ำตาลสีฝุ่นแขวนอยู่ที่เอว
“เจ้าเป็นใคร? รู้จักชื่อข้าได้อย่างไร?” อู๋รั่วชิวผงะ เผยท่าทีระแวดระวัง
สิ้นคำ เสียงผิวปากดังขึ้นจากปากเขา
หลังจากรออยู่เนิ่นนาน ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างที่คาดคิดไว้
อู๋รั่วชิวใจหล่นวูบ ตื่นตระหนกขึ้นมา เกิดอะไรขึ้นกัน?
“ข้าฆ่าแมลงปีศาจพวกนั้นไปหมดแล้ว เจ้าเรียกให้ตายก็ไร้ประโยชน์”
ซูอี้เดินตัดลานบ้านตรงมาหาอู๋รั่วชิว
“เจ้าเป็นใคร?” อู๋รั่วชิวถามอีกครั้งเสียงแข็ง สายตาส่อแววลุกโชน พร้อมโคจรปลดปล่อยพลังในร่างกาย
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้ามีบางเรื่องถามไถ่เจ้าก่อน”
จบคำซูอี้ เดินมาหยุดอยู่ห่างจากอีกฝ่ายราวหนึ่งจั้ง
ขณะนี้อู๋รั่วชิวเห็นชัดแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงชายหนุ่มวัยรุ่นร่างสูงในชุดคลุมสีฟ้าพร้อมดาบไม้อยู่ในมือ ระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตโคจรโลหิตเท่านั้น
ใจเขาพลันผ่อนคลายทันที พลางหัวเราะกับตนเอง ยิ่งเขาอยู่มานานยิ่งสมองเลอะเลือน บัดนี้เกือบถูกชายหนุ่มในขอบเขตโคจรโลหิตข่มขู่เสียได้
เขานำมือไพล่หลัง กล่าวเย็นชา “พ่อหนุ่ม เจ้าไม่ควรค่าเสวนากับข้า ไปเรียกนายเจ้ามาเสีย ข้าต้องการไต่ถาม สอนสั่งศิษย์อย่างไรจึงไร้มารยาทเช่นนี้!
แมลงปีศาจไม่ตอบสนอง แม้แต่ชิงหว่านยังเลี่ยงปรากฏกาย ชวนให้อู๋รั่วชิวคาดว่ามีอาจารย์อยู่เบื้องหลังซูอี้
ซูอี้แสยะยิ้มพลางส่ายหน้า “หากมีผู้ที่สามารถเป็นอาจารย์ให้ข้าได้ คงยินดีแก่ใจไม่น้อย โชคร้ายนัก… ที่ข้ายังไม่พบผู้ใด”
อู๋รั่วชิวนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนว่าเย้ยหยัน “ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่กลับพูดจาสามหาว! หากเจ้ายังไม่ยอมเชิญอาจารย์เจ้าออกมา อย่าหาว่าผู้แซ่อู๋อย่างข้าไม่ไว้หน้า!”
หลังจากพูดจบ นัยน์ตาของเขาพลันวาววับ พลังในร่างปะทุออกอย่างบ้าคลั่ง จนเกิดเสียงคำรามเป็นจังหวะดังขึ้นเบา ๆ
มันคือพลังที่มีเพียงผู้สำเร็จขอบเขตรวบรวมลมปราณได้ครอบครอง
เมื่อผู้ฝึกตนใช้พลังนี้ ลมปราณภายในร่างจะถูกรวบรวมและปลดปล่อยครอบคลุมไปทั่วทั้งกาย ส่งผลให้ทุกการเคลื่อนไหวกล้าแกร่งและแม่นยำเพิ่มขึ้นไม่ต่างจากมีไม้บรรทัดวัด
ยิ่งไปกว่านั้น อู๋รั่วชิวมีระดับการบ่มเพาะในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้น ซึ่งทำให้ผิวหนังแข็งแกร่งดั่งทองแดง กล้ามเนื้อเปรียบหิน กระดูกทนดุจเหล็ก พร้อมเส้นเอ็นหยก อาวุธธรรมดาทั่วไปไม่อาจทำร้ายเขาได้
ซูอี้เผยรอยยิ้มเหยียด เอ่ยคำ “เช่นนั้นข้าผู้แซ่ซูคงต้องสั่งสอนให้ตัวตนเล็กจ้อยเช่นเจ้าผู้อยู่แค่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณควรถ่อมตนให้หนักกว่าเดิม!”
“ข้าท่องยุทธภพเนิ่นนาน พบเห็นผู้คนประสาทเสียมาบ้าง กลับไม่เคยเจอคนที่บ้าบอเท่าเจ้า!” อู๋รั่วชิวหัวเราะข่มขู่
ผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ เช่นเขาถือเป็นตัวตนเล็กจ้อยงั้นหรือ?
ไร้สาระ!
อู๋รั่วชิวกระโจนไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน พลางยื่นแขนออกมาหมายบีบลำคอซูอี้
ฮ่า!!
การโจมตีนี้ทรงพลังและรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด มันทั้งดูเหนือชั้นและรุนแรง หากเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตโคจรโลหิตเมื่อเจอกับการโจมตีนี้คงกลัวจนลนลานทำสิ่งใดไม่ถูก!
แผนของอู๋รั่วชิวไม่ซับซ้อน จับตัวซูอี้ไว้ก่อน และบีบบังคับให้อาจารย์ของเขาออกมา เช่นนี้อีกฝ่ายไม่อาจเอาชนะได้แน่
เขาจะจับซูอี้ไว้!
แต่ในพริบตานั้น
เงาดาบพลันฉายในนัยน์ตาซูอี้ ตามมาด้วยเหตุน่าประหวั่นครั้งใหญ่
ปัง!
เหมือนมีอัสนีผ่าฟาดไปถึงดวงจิตของอู๋รั่วชิว จนทั้งวิญญาณสั่นไหว สายตามืดหม่นลง ท่าทางตกอยู่ในภวังค์คล้ายร่วงหล่นขุมนรกไร้ที่สิ้นสุด
ภายในจิตของเขาช่วงขณะเวลานี้ เขามองเห็นภาพของผืนดินเต็มไปด้วยโลหิต แผ่นฟ้าเต็มไปด้วยอัสนีคลุ้มคลั่งสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว ภายในหัวและวิญญาณมีแต่เสียงคำรามดังก้องแห่งดาบ
ห้วงความรู้สึกถูกเติมเต็มด้วยความสิ้นค่า สิ้นหนทาง และสิ้นหวัง กระตุกอารมณ์ให้อู๋รั่วชิวทุกข์ทรมานรุนแรงจนแทบทรุด
ความรู้สึกเหล่านี้อยู่เพียงแค่ช่วงเวลาอึดใจ แต่เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนในชีวิตตั้งแต่เกิดมา!
เขาฝืนทนเจ็บปวด โซซัดโซเซเดินหน้าจนกระทั่งอยู่ห่างจากซูอี้เพียงห้าก้าว
ห้าก้าวเป็นระยะห่างมาตรฐานสำหรับการออกกระบวนท่าตัดสินเป็นตาย
เรียกได้ว่าเป็นห้าก้าวแห่งการนองเลือด ด้วยไม่อาจถอยหนี ขณะที่ใกล้ตัวศัตรูมากพอ
ทางด้านของซูอี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายถึงระยะห้าก้าว เขาจึงแทงฟันออกไปทันที!
ว่องไว แม่นยำ ไร้ปรานี!
ราวกับเป็นสัญชาตญาณในการออกดาบนับครั้งไม่ถ้วนจากชาติก่อน ทั้งแม่นยำ รวดเร็ว และเลือดเย็นอย่างถึงที่สุด
ฉึก!
ดาบไม้ท้อปักลงกลางอกอู๋รั่วชิวทะลุทะลวงผ่านเลือดเนื้อของเขา ดาบนี้แฝงด้วยพลังที่ทำให้ถึงตายได้ผ่านช่องอก
เลือดไหลพุ่งทะลุออกจากด้านหลังรินไหลออกไปตามปลายดาบที่เสียบทะลุ!
เนื่องจากพลังของดาบนี้ช่างแข็งแกร่ง อู๋รั่วชิวพลันคู้กายลงคล้ายกุ้งโดนน้ำร้อนลวก
ดวงตาเบิกโพลง สีหน้างงงันเต็มทีเหมือนไม่อาจเชื่อได้ สุ่มเสียงแหบโหย “เจ้า…เจ้าอยู่ขอบเขตโคจรโลหิตแน่หรือ?”
“หากเป็นเรื่องเท็จเล่า?”
ซูอี้ดึงดาบไม้ท้อออก ก่อนถอยกลับไปสามก้าว
อู๋รั่วชิวร่างสั่นเทา เลือดหลั่งรินพวยพุ่งจากโพรงกลางอกเขาราวน้ำพุ
ปั่ก!
เขาทรุดลงกับพื้น หอบหายใจด้วยความทรมาน
อาการบาดเจ็บสาหัสหนักหนาขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาคงได้ตายในไม่ช้า
“เจ้า…เจ้ามีเรื่องถามข้าไม่ใช่หรือ… เหตุ…เหตุใดจึงลงมือรุนแรงเช่นนี้? หากข้าตายไป เจ้าจะไม่ได้รู้เรื่องใดอีก”
เขาว่าตะกุกตะกัก ท่าทีฉงนใจ
ซูอี้เอ่ยเสียงเรียบ “อืม บัดนี้ข้าไม่ต้องการรู้อีกแล้ว”
อู๋รั่วชิว “…”
เขาโกรธเสียจนกระอักเลือด
กัดฟันกรอด ร้องคำรามอย่างเหลือทน “เจ้าทำลายแผนใหญ่ของอาจารย์ข้า เจ้า… เจ้า… สำนักของข้าจะตามจองเวรเจ้าจนกว่าเจ้าจะสิ้นลมหายใจ!”
ว่าจบอู๋รั่วชิวจึงนอนสิ้นลมเสียชีวิตอยู่กับพื้น
ดวงตายังเบิกกว้างเต็มเปี่ยมแววคั่งแค้น
เขานึกไม่ถึงว่าตนจะพ่ายให้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตโคจรโลหิตในเพียงท่าเดียว
“บาดเจ็บเท่านี้ยังทนไม่ได้ ผู้บ่มเพาะแห่งอาณาจักรโจวช่างอ่อนแอนัก…”
ซูอี้แอบส่ายหน้า
ก่อนหน้านี้ซูอี้ปลดปล่อยกลิ่นอายของ ‘ดาบเก้าคุมขัง’ ที่อยู่ในใจตน
แม้กลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกไปได้จะไม่รุนแรงนัก ทว่ายังทำให้วิญญาณของอู๋รั่วชิวผู้อยู่ในขอบเขตรวมรวมลมปราณทุกข์ทรมานได้
เปิดโอกาสให้ซูอี้ใช้ดาบแทงเข้าที่อกฝ่ายตรงข้าม
“หากข้ารู้ก่อนหน้า คงปะทะกับเขาซึ่งหน้า แม้จะยุ่งยากไปเสียหน่อย แต่ด้วยพื้นฐานการบ่มเพาะของข้าตอนนี้ ใช้เพียงทักษะการต่อสู้ทางกายคงเพียงพอที่จะฆ่าเขาได้”
ก่อนหน้านี้ซูอี้คิดว่าอู๋รั่วชิวเป็นผู้ฝึกตนสายมาร ช่ำชองวิชาสายมืด เขาจึงไม่คิดประมือกับฝ่ายตรงข้ามโดยตรง และเร่งใช้ท่าไม้ตายของตนเองในการจัดการกับอีกฝ่าย
ใครเล่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับคิดสั้น นึกจะสู้กับเขาตรง ๆ ด้วยพละกำลังกาย ไม่งัดเคล็ดวิชาลับศาสตร์มืดและพลังมาใช้แต่อย่างใด
“ดูเหมือนข้าจะประเมินผู้ฝึกตนสายมารในโลกนี้สูงเกินไปเสียแล้ว” ซูอี้หัวเราะกับตนเอง
แต่แล้วเมื่อเขาลองใคร่ครวญดูอีกที อู๋รั่วชิวอาจไม่ได้สิ้นคิดเช่นนี้ หากแต่เป็นเพราะนึกประมาทเนื่องจากเห็นว่าตนเองเป็นถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณ และเห็นว่าเขาอยู่ในขอบเขตโคจรโลหิตเท่านั้น
เห็นได้ว่าการบ่มเพาะที่ต่ำกลับกลายเป็นข้อได้เปรียบที่หลอกล่อและทำให้ศัตรูประมาท
“เจ้ารู้จักอาจารย์ของอู๋รั่วชิวหรือไม่?” ซูอี้หันไปมองต้นแคฝรั่งซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป
“เรียนท่านปรมาจารย์ ข้า…ข้าไม่รู้เลยเจ้าค่ะ”
ร่างสีแดงชาดปรากฏกายขึ้นบนกิ่งไม้ในท่าทีประหม่า
นางกำชายเสื้อผ้าแน่น ก้มศีรษะ ดวงหน้างดงามส่อแววอ่อนแอ สิ้นหวัง และน่าสงสารจับใจ
ภาพอู๋รั่วชิวถูกดาบปักลงกลางอกจนตายยังติดตานางไม่จาง หากไม่เตรียมปิดปากตนไว้ก่อน คงเกือบกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวกับฉากนองเลือดตรงหน้า
ซูอี้ไม่ถามนางอีก นั่งยองและเริ่มค้นตัวอู๋รั่วชิว
ในตัวของอู๋รั่วชิว มีดาบยาวพร้อมฝัก พวงน้ำเต้า ตั๋วเงินสามพันตำลึงเงิน และเศษเงินอีกยี่สิบตำลึงเงินในกระเป๋า ตำราเล่มสีเหลืองที่เปิดดูแล้วเหลืออยู่เพียงไม่กี่หน้า
ไม่ได้มีสิ่งของอื่นอีก
ก่อนอื่นเก็บตั๋วเงินและเงิน จากนั้นซูอี้หยิบตำราเล่มสีเหลืองมาเปิดอ่าน
หลายหน้าขาดหาย เหลือเพียงไม่กี่หน้าที่บันทึกเคล็ดวิชาสายมืดเอาไว้ ล้วนเกี่ยวข้องกันการควบคุมวิญญาณร้ายและปลุกผี
ครั้นเมื่อเปิดดูคร่าว ๆ ซูอี้ผิดหวังไม่น้อย หากตำรานี้ตกอยู่ในมือคนชั่ว เคล็ดวิชาเหล่านี้ต้องถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดแน่
อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่าในหน้าสุดท้าย ปรากฏประโยคหนึ่ง
‘ของขวัญแด่ศิษย์อู๋รั่วชิว จากพรรคมารหยิน เวิงอวิ๋นฉี’
ซูอี้เข้าใจในทันที
อาจารย์ของอู๋รั่วชิวคือคน ‘พรรคมารหยิน’ นามว่าเวิงอวิ๋นฉี!!!
“ตอนที่เขากำลังขาดใจตาย เขาเอ่ยขึ้นว่าข้าทำลายแผนใหญ่ของอาจารย์เขา ดูเหมือนเรื่องที่อู๋รั่วชิวเลี้ยงแมลงปีศาจน่าจะเป็นคำสั่งของพรรคมาร”
ซูอี้นิ่วหน้า
เขาคาดว่าที่นี่คงไม่ใช่สถานที่ที่ใช้เลี้ยงแมลงปีศาจหนึ่งเดียวอย่างแน่นอน
คงมีสถานที่เหมือน ‘บ่อเลี้ยงแมลงปีศาจ’ ที่อื่นในเมืองกว่างหลิง
เมื่อครุ่นคิด ซูอี้ฉีกทำลายตำราในมือ หากผู้อื่นได้ครอบครองเคล็ดวิชาชั่วร้ายเหล่านี้ คงสร้างความเดือดร้อนให้คนทั่วไปอย่างแน่นอน
เขาเก็บดาบที่ยังอยู่ในฝักขึ้นมา
ฝักดาบทำมาจากเหล็กสีนิล เมื่อชักดาบยาวออกมา กลิ่นคาวเลือดปนเหม็นหืนโชยเข้าจมูก
ซูอี้หน้าเหยเก เผยแววขยะแขยง
ดาบทั้งเล่มทำมาจากไม้สน ตัวใบดาบไม้มีคราบเลือดสีแดงเกาะหนาเป็นชั้น แต่ตรงคมของมันกลับส่องประกายเขียววาววับ ส่งกลิ่นไม่น่าพิศมัย
“คงใช้เลือดสาวพรหมจรรย์หลอมดาบนี้ขึ้น ช่างชั่วร้ายอะไรเช่นนี้ สมควรตายนัก!” ซูอี้ส่ายหน้าด้วยรู้สึกรังเกียจ
ชิ้ง!
ซูอี้สะบัดดาบน่ารังเกียจนี้อย่างรุนแรง และออกกำลังผ่านฝ่ามือ ดาบไม้สนแหลกสลายเป็นผุยผง ถูกทำลายไม่เหลือซากด้วยไฟโทสะจากซูอี้
“อืม พวงน้ำเต้านี้น่าสนใจดี”
เขาคว้าพวงน้ำเต้าขึ้นมา ก่อนพบว่ามันน่าสนใจไม่น้อย