บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 340 เพื่อส่งเจ้าไปครั้งสุดท้าย
ตอนที่ 340: เพื่อส่งเจ้าไปครั้งสุดท้าย
ตอนที่ 340: เพื่อส่งเจ้าไปครั้งสุดท้าย
เสียงคำรามด้วยความโกรธของซูหงหลี่สร้างความปั่นป่วนให้กับโลก
เมื่อเห็นท่าทีของเขา ทุกคนก็ถอนหายใจ
ในอดีตผู้นำตระกูลซูผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นธาตุวิถี หรือไพ่ตายในมือของเขาล้วนอยู่เหนือจินตนาการ
แต่ตอนนี้ เมื่อดาบอันดุร้ายที่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครเทียบได้ในโลกทอดทิ้ง เขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ตีโพยตีพาย และโมโหอย่างบ้าคลั่ง!
ฉากที่เปลี่ยนไปนี้ ทำให้คนอดทอดถอนใจไม่ได้
พรวด!
ร่างของซูหงหลี่พุ่งออกไป พุ่งเข้าหาซูอี้
สีหน้าของเขาซีดเผือดและน่ากลัว ดวงตาเปล่งแสงเย็นยะเยือก เขาเอื้อมมือออกไปเพื่อคว้าดาบอันดุร้าย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องการยึดดาบกลับคืนไป
ดวงตาของซูอี้ไม่แยแส เขาตวัดดาบนิลกาฬกลืนฟ้า
ตูม!
ดาบเบญจธาตุราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณได้ปรากฏขึ้น
ก่อนที่ซูหงหลี่จะพุ่งเข้ามาถึง เขาพลันถูกพลังอันแข็งแกร่งกดทับ ร่างกายถูกบังคับให้หยุดนิ่ง ซึ่งนั่นเกือบจะทำให้เขาตกลงมาจากอากาศ
ในขณะนี้เอง ซูอี้ก็คว้าซูหงหลี่ขึ้นจากอากาศ และตบอีกฝ่าย
เพียะ!
แก้มของซูหงหลี่บวมแดง ปากของเขาถูกกระแทกจนเลือดไหล
“เจ้า…”
ซูหงหลี่ขุ่นเคือง และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
เพียะ!
ซูอี้ตบอีกครั้ง เขาตบเข้าที่บ้องหูอย่างเฉียบขาด ทำให้หัวของซูหงหลี่มึนงง จนมองเห็นดาววิบวับ
“หนึ่งคำก็ลูกชั่วสองคำก็ลูกชั่ว เจ้าคู่ควรที่จะเป็นบิดาของตัวข้าแซ่ซูด้วยหรือ?”
ดวงตาของซูอี้เย็นชา
ผู้ชมเงียบ
ทุกคนสามารถเห็นได้ว่าหลังจากที่ซูหงหลี่สูญเสียดาบเล่มนั้น ต่อหน้าซูอี้เขาก็ถูกกดข่มอย่างสมบูรณ์!
“ท่านพ่อ—!” ภายในตระกูลซู ซูป๋อหนิงกรีดร้องขึ้นด้วยความเศร้าโศก ดวงตาของเขาเบิกกว้างจนแทบฉีกออก
ต่อหน้าต่อตาของทุกคน พ่อของเขาถูกซูอี้ตบอย่างหยาบคาย แล้วจะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไรกัน
โหยวชิงจือตัวสั่นด้วยความโกรธ ใบหน้างดงามของนางซีดเผือด และฟันของนางก็บดเข้าหากันจวนจะแตกหัก
ทุกคนในตระกูลซูตะลึงงันไปจนดูราวกับประติมากรรมดินเหนียว มือและเท้าของพวกเขาชา ไม่สามารถยอมรับภาพที่เห็นได้แม้แต่น้อย
“การต่อสู้ครั้งนี้คาดเดาไม่ได้เลยจริง ๆ…”
จี้เหอถอนหายใจ ดวงตาของเขาเปลี่ยนไป
อวิ๋นจงฉีข้าง ๆ เขาถอนใจออกมา ฉือเฟิงหลิว เซียนฮัวซง และเทพเซียนเดินดินคนอื่น ๆ เองก็ไม่สามารถสงบใจลงได้
ความแข็งแกร่งของซูหงหลี่ทำให้พวกเขาตัวสั่น
แต่วิธีการของซูอี้ ทำให้พวกเขาทั้งหมดถึงกับตกใจ!
เยว่ซือฉาน เก๋อฉางหลิง และคนอื่น ๆ ต่างก็โล่งใจ แต่มีร่องรอยของความตกใจที่หางคิ้วของพวกเขา
การต่อสู้นี้ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็มีสัญญาณของบทสรุปเสียที
อย่างไรก็ตาม ย่อมไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อต้องเผชิญกับซูหงหลี่ที่ทรงอำนาจเช่นนี้ ซูอี้จะยังคงได้เปรียบ
จนถึงตอนนี้ยังไม่บาดเจ็บเลย!
มันราวกับปาฏิหาริย์
มู่ซีกับผูอี้หัวเราะ แล้วกลืนหัวใจซึ่งจุกอยู่ในลำคอกลับเข้าไปในท้อง ทั่วร่างผ่อนคลายลง
สิ่งเดียวที่น่าเสียใจก็คือการตายของชายชราในชุดคลุมนั้นง่ายดายเกินไป
ผู้ชมที่อยู่ไกล ๆ ยังไม่หายจากอาการตกใจ ทำให้บรรยากาศในเวลานี้เงียบงันอย่างยิ่ง
ในเวลานี้ ซูหงหลี่ตัวสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธ
เขาส่งเสียงขู่ “อู้กอั้ว (ลูกชั่ว)! เอ้าอิ๊ดอ้าเอ้าอ่ะอ๊ะแอ๊วอิง ๆ อั๊นอึ๊ (เจ้าคิดว่าเจ้าชนะแล้วจริง ๆ งั้นรึ)?”
ซูอี้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนเขาจะเข้าใจถึงสิ่งที่ซูหงหลี่พูด อันที่จริงปากของซูหงหลี่นั้นเละเทะจนไม่สามารถออกมาพูดได้อย่างถูกต้องอีกแล้ว
เพียะ!
ซูอี้ไม่มีพิธีรีตอง ตบหน้าซูหงหลี่อีกครั้ง ก่อนพูดเบา ๆ “ข้าย่อมรู้ว่าไพ่ตายที่แท้จริงของเจ้าไม่ใช่ดาบดุร้ายเล่มนี้ มิฉะนั้น เหตุใดข้าจึงยังปล่อยให้เจ้าหายใจอยู่เล่า?”
ครั้งหนึ่งเก๋อฉางหลิงเคยบอกเขาว่า เยี่ยอวี่เฟย มารดาของเขามีสมบัติที่แปลกประหลาดและอันตรายมากชิ้นหนึ่งบนตัวนาง
เหตุผลที่ซูหงหลี่นิสัยเปลี่ยนแปลงไป… เป็นไปได้มากว่าเป็นเพราะสมบัติวิเศษนี้!
สำหรับดาบที่ดุร้ายนั้น มันเป็นสมบัติที่ถูกผนึกไว้ในหลุมศพเก้าจั้งที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขามารตาข่ายเร้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพียงไพ่เด็ดใบหนึ่งของซูหงหลี่เท่านั้น
“ฮ่า ๆๆ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหงหลี่ก็หัวเราะลั่น แววตาเผยให้เห็นความบ้าคลั่ง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ซูอี้พลันสัมผัสได้ถึงรังสีที่อันตรายอย่างยิ่ง จึงโยนซูหงหลี่ออกไปโดยไม่ลังเล
ตูม!
พลันเห็นทั่วร่างของซูหงหลี่มีแสงสีดำเป็นลูกคลื่นพุ่งออกมา พุ่งออกไปยังท้องฟ้า ก่อนแพร่กระจายไปยังความว่างเปล่านั้น
คนที่คิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้กำลังจะจบลงต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นฉากนี้
ซูหงหลี่ผู้นี้มีไพ่ตายเหลืออยู่อีกจริง ๆ!?
ภายในตระกูลซู โหยวชิงจือ ซูป๋อหนิง และสมาชิกคนอื่น ๆ ของครอบครัวซู เกือบจะร้องออกมาด้วยความดีใจ พวกเขาทั้งหมดต่างตื่นเต้น
ราวกับคนกำลังจะจมน้ำที่มองเห็นความหวังอีกครั้ง!
ตูม!
ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือน โดยมีร่างของซูหงหลี่เป็นศูนย์กลาง พลังปีศาจสีดำเป็นลูกคลื่นแผ่เข้าปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์
ทุกคนเห็นว่าดวงตาของซูหงหลี่กลายเป็นสีแดงเข้มไร้อารมณ์ และแม้แต่ผมยาวของเขาก็กลายเป็นสีแดงโลหิต
ลมปราณบนร่างของเขาที่แผ่ออกมาครานี้เย็นยะเยือกและน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ราวกับลมปราณของเทพปีศาจที่มาจากส่วนลึกของยมโลก มันทรงพลังและไร้ขีดจำกัด!
“นี่…” เหล่าเทพเซียนเดินดินหน้าซีดและตกตะลึงกับฉากนี้
ก่อนหน้า ยามที่ซูหงหลี่ขโมยพลังของชายชราที่สวมชุดเต๋า และเข้าควบคุมดาบที่ดุร้าย พลังของเขาก็น่ากลัวอยู่แล้ว…
แต่ตอนนี้ซูหงหลี่แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก!
สีหน้าของเยว่ซือฉาน เก๋อฉางหลิง มู่ซี ผูอี้ และคนอื่น ๆ ก็แข็งค้างไป
ใครจะคิดว่าเรื่องราวที่เหมือนจะจบลงแล้ว กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดขึ้นอีกกัน?
มีเพียงซูอี้ที่ยังคงดูเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน
ฉากนี้ไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจ ตั้งแต่แรกเริ่มชายหนุ่มสงสัยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับซูหงหลี่ และเมื่อเขาได้ยินเก๋อฉางหลิงพูดถึงสมบัติ ซูอี้ก็เดาเบาะแสบางอย่างได้แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพียงการตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคาดเดาของเขาเท่านั้น
ตูม!
ทันใดนั้น ซูหงหลี่ก็เหยียดเอวของเขาแล้วเปิดปากออกก่อนสูดลมเข้า ซึ่งเขาได้กลืนพลังปีศาจสีดำบนท้องฟ้าทั้งหมดลงไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกาย… คล้ายกับว่าเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว!
จากนั้นลูกตาปีศาจสีแดงของเขาก็มองไปที่ซูอี้ ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “ลูกชายเอ๋ย ขอบใจเจ้ามาก ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าก่อนหน้านี้ นายท่านผู้นี้เกรงว่ามันจะใช้เวลาอีกนานกว่าจะสามารถปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าเช่นนี้”
เสียงนั้นหวานใสราวกับเสียงของระฆัง
ทุกคนในระยะไกลสั่นสะท้าน พวกเขารู้สึกได้ถึงรัศมีที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งจากซูหงหลี่
เขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “จากคำว่า ‘ลูกเอ๋ย’ เดี๋ยวอีกครู่หนึ่งข้าจะปรับแต่งมารตัวน้อยอย่างเจ้าให้สมบูรณ์”
มาร!
ทุกคนตกใจ ซูหงหลี่ต่อหน้าเขาไม่ใช่คนเดิมงั้นหรือ?
“งั้นรึ แต่นายท่านผู้นี้เกรงว่าเจ้าไม่มีความสามารถพอ”
ซูหงหลี่หัวเราะคล้ายเสียงปีศาจสาว “ระหว่างเจ้ากับนายท่านผู้นี้ไม่จำเป็นต้องฆ่าแกงกัน ตราบใดที่เจ้ายอมทำตามคำสั่งของนายท่านผู้นี้ นายท่านผู้นี้สัญญาว่าจะมีวันที่เจ้าจะไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทางและได้รับเกียรติที่สูงส่งที่สุดในโลก!”
เขาพูดอย่างสบาย ๆ แต่น้ำเสียงของเขายิ่งใหญ่จองหองนัก
“เฮอะ” ซูอี้หัวเราะ แต่ดวงตาของเขาไม่ดูแยแสและเย็นชายิ่งนัก
ชายหนุ่มวางดาบนิลกาฬกลืนฟ้า และเอื้อมมือไปคว้าดาบอีกเล่ม
ฮึ่มม!
ดาบสีดำอันดุร้ายที่วางอยู่ข้าง ๆ เขาตกลงมาในมือ ก่อนที่ดาบนั่นจะคำรามอย่างตื่นเต้นราวกับกำลังแสดงความดีใจ
ดาบเล่มนี้ยาวสามฉื่อ กว้างสี่ชุ่น ใบมีดบางดุจปีกจักจั่น ตัวดาบตรงยิ่ง และที่ด้ามมีอักขระขนาดเล็กสองตัวว่า ‘ตัดโศกา’ สลักไว้
รัศมีสีดำที่ชวนอึดอัดใจพุ่งออกมาจากตัวดาบราวกับน้ำตก เผยให้เห็นถึงความดุร้ายที่ทำให้โลกตะลึงของดาบเล่มนี้
“ถ้าเจ้าทำตัวไม่ดี ข้าจะปรับแต่งจิตวิญญาณที่ดุร้ายของเจ้า”
ซูอี้พูดเบา ๆ
ตูม!
ดาบตัดโศกาคล้ายถูกกระตุ้น ตัวดาบระเบิดแสงที่รุนแรงออกมา และพุ่งตรงไปออกไปดุจกระทิงนักสู้ ในความว่างเปล่านั้น เสียงของดาบราวกับเสียงคำรามของเทพปีศาจได้กระจายไปทั่ว
เมื่อเทียบกับยามที่ดาบถูกซูหงหลี่ใช้งาน ในตอนนี้พลังของดาบนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด!
ทุกคนต่างประหลาดใจ
ดาบที่ดุร้ายนี้เชื่อฟังเกินไปหรือไม่?
“เจ้าอยากสู้กับนายท่านผู้นี้จริง ๆ งั้นรึ?”
ซูหงหลี่ขมวดคิ้ว ดวงตาปีศาจสีแดงเพลิงของเขาสาดประกายเย็นยะเยือก
สำหรับคำตอบที่เขาได้รับคือดาบของซูอี้
พรวด!
เขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ!
เมื่อมันถูกใช้ผ่านดาบที่ดุร้ายนี้ เบญจธาตุของเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกเปลี่ยนแปลงโดยพลังดาบ โดยได้เพิ่มจิตอาฆาตอันน่าสะพรึง ย้อมโลกให้กลายเป็นสีแดงพร่างพราว
ซูหงหลี่แค่นเสียงเย็น ก่อนยกมือขึ้นแล้วเรียกระฆังทองแดงสีดำออกมา
ระฆังอันนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ลวดลายบนพื้นผิวสีดำสนิทมีภาพฉากนรกที่ชวนขนลุกและน่าสะพรึงกลัวอยู่
ขณะที่ระฆังหมุน สายฟ้าสีเลือดก็ค่อย ๆ ตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า และรัศมีแห่งการทำลายล้างที่ปล่อยออกมาก็ได้สร้างรอยแตกที่น่าตกใจบนความว่างเปล่าขึ้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นสมบัติที่น่ากลัวมาก
เมื่ออวิ๋นหลาง อวิ๋นจงฉี และเทพเซียนเดินดินอื่น ๆ พบเห็น วิญญาณของพวกเขารู้สึกเสียวซ่านราวกับเข็มทิ่ม ทำให้พวกเขาทั้งหมดตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
สำหรับผู้ชมที่อยู่ไกลออกไป พวกเขาได้สูญเสียจิตใจไปโดยสมบูรณ์ พวกเขาดูไร้ชีวิตชีวา ทั่วร่างตกอยู่ในนรกสีเลือดที่มืดหม่นและน่าสะพรึง ได้แต่ดิ้นรนอย่างสิ้นหวังโดยไม่สามารถหลุดพ้นได้
สมบัติที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวนี้ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณ!
“มันต้องเป็นสมบัติวิเศษนั่น! ต้องใช่แน่!”
เก๋อฉางหลิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เยี่ยอวี่เฟยได้เตือนว่านางมีสมบัติที่แปลกประหลาดและไม่เป็นที่รู้จักอยู่บนร่างกายของนาง ซึ่งจะส่งผลกระทบและครอบงำจิตใจของผู้คนจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
และดูเหมือนว่า มันจะต้องเป็นระฆังวิเศษนี้แน่!
แต่ยามนี้ การปรากฏตัวของสมบัติวิเศษบนร่างของซูหงหลี่ ก็เป็นการยืนยันโดยไม่จำเป็นต้องสงสัยแล้ว ว่าเขาได้ขโมยสมบัตินี้จากเยี่ยอวี่เฟยในยามนั้นมาจริง ๆ ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานจากอิทธิพลของสมบัติชิ้นนี้ และนิสัยของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก!
แกร๊ง!
ซูหงหลี่โบกแขนของเขา ทำให้ระฆังทองแดงสีดำลั่นเสียงก้อง ก่อนตามมาด้วยสายฟ้าสีเลือดอันทรงพลังที่พุ่งเข้าปะทะกับปราณดาบของซูอี้!
เพียงเสียงลั่นระฆังนี้ ก็ทำให้ผู้ชมจำนวนมากกระอักเลือด ปวดหัวจนแทบระเบิด อีกทั้งจิตวิญญาณของพวกเขายังได้รับความเสียหายอย่างหนัก
แม้แต่ผู้เป็นเทพเซียนเดินดินยังต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อรับมือกับเสียงสะท้อนที่กระทบต่อจิตวิญญาณนี้
ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้น
สายฟ้าสีเลือดของระฆังทองแดงต่อกรกับปราณดาบอย่างดุเดือด ซึ่งกระแสแห่งการทำลายล้างที่ปะทุขึ้นระหว่างทั้งสองได้ทำลายล้างอาณาเขตบนท้องฟ้า
ไม่มีใครกล้าจินตนาการว่าหากพลังดังกล่าวเกิดขึ้นบนภาคพื้นจะเกิดภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัวเช่นไรขึ้น
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายเบา ๆ ซูอี้พุ่งไปข้างหน้าพร้อมดาบตัดโศกา
รูม่านตาสีแดงเข้มของซูหงหลี่หดตัว ราวกับว่าเขาไม่ได้คาดคิดว่าซูอี้จะสามารถทำลายพลังของระฆังทองแดงสีดำได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เขาพลันแค่นเสียง ก่อนนิ้วมือทั้งสิบจะเชื่อมต่อกับระฆังทองแดงสีดำราวกับสายฟ้า
ทันใดนั้น ระฆังทองแดงสีดำที่เดิมมีขนาดเท่าฝ่ามือก็เปลี่ยนเป็นสูงหนึ่งร้อยจั้ง นรกสีเลือดที่มืดมนบนตัวระฆังสีดำเกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อนสายฟ้าสีเลือดจะพุ่งออกไป
“ลูกเอ๋ย ข้ามาเพื่อส่งเจ้าไปครั้งสุดท้าย!”
ซูหงหลี่หัวเราะแบบสตรี และโบกมือทันที “ไป!”
ปัง!
สายฟ้าสีแดงจากนรกของระฆังทองแดงสีดำสูงร้อยจั้งเข้าปกคลุมความว่างเปล่าที่ซูอี้อยู่ไว้อย่างสมบูรณ์
รวมถึงร่างของซูอี้ด้วย!