บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 341 เสียงระฆังแห่งความตายลั่นเพื่อผู้ใด
ตอนที่ 341: เสียงระฆังแห่งความตายลั่นเพื่อผู้ใด?
ตอนที่ 341: เสียงระฆังแห่งความตายลั่นเพื่อผู้ใด?
ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว ระฆังทองแดงสีดำร้อยจั้งได้กักขังซูอี้ไว้ข้างใน!
ทุกคนต่างตื่นตระหนกและเบิกตากว้าง
ภายในอากาศว่างเปล่า ระฆังทองแดงสีดำพลันลั่นเสียง ซึ่งรอบ ๆ กรงขังสีเลือดอันมืดมนก็ได้มีสายฟ้าสีเลือดสาดออกมาอย่างแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว
ร่างของซูอี้ถูกบดบังโดยสมบูรณ์ ซึ่งไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
“นี่…”
เทพเซียนเดินดินเหล่านั้นตกตะลึงอยู่กับที่ นึกไม่ถึงเลยว่าซูอี้ซึ่งเคยเป็นฝ่ายเหนือกว่าในตอนแรกจะถูกปราบด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเช่นนี้
ซูหงหลี่ผู้นั้นที่ถูกปีศาจยึดร่างกายไปน่าสะพรึงถึงเพียงนี้เชียวรึ?
ระฆังทองแดงสีดำนั่นเป็นสมบัติระดับใดกันนะ?
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
เยว่ซือฉาน เก๋อฉางหลิง มู่ซี และคนอื่น ๆ ต่างหน้าซีดและรู้สึกเหน็บหนาวในใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าซูอี้ ผู้ซึ่งไม่แพ้ใครมาก่อน จะต้องเผชิญกับการโจมตีดังกล่าวอย่างฉับพลัน!
ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของพวกเขาถูกบีบรัด รู้สึกประหม่ากังวล
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านพ่อของข้าปราบซูอี้ได้แล้ว!”
ภายในตระกูลซู ซูป๋ออิ๋นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง คิ้วของเขายกขึ้นอย่างมีความสุข
ในอากาศว่างเปล่า ซูหงหลี่อดแค่นเสียงไม่ได้ “เจ้างั่ง เจ้าคู่ควรที่จะเป็นลูกชายของนายท่านผู้นี้ด้วยงั้นรึ? เชื่อหรือไม่ว่าหากเจ้าจะกล้าพูดมากอีก นายท่านผู้นี้จะฆ่าเจ้าทิ้ง!”
สีหน้าและรอยยิ้มของซูป๋ออิ๋นแข็งค้างไป เขาได้แต่นิ่งงันอยู่กับที่ ความสุขในใจราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่ รู้สึกราวกับตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของโหยวชิงจือซีดเผือดและไร้ชีวิตชีวา
นางแน่ใจแล้วว่าซูหงหลี่ในยามนี้ไม่ใช่ซูหงหลี่คนเดิมอีกต่อไป!
ในเวลานี้ ดวงตาปีศาจสีแดงของซูหงหลี่จับจ้องไปยังระฆังทองแดงสีดำสูงร้อยจั้งแล้วกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ซูอี้ ตราบใดที่เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ นายท่านผู้นี้จะไว้ชีวิตเจ้า มิฉะนั้น ภายใต้การโจมตีของระฆังทัณฑ์โลกันต์จากนายท่านผู้นี้ จุดจบของเจ้าย่อมหนีไม่พ้นจิตวิญญาณแตกสลาย”
เสียงดังไปทั่วบริเวณถึงผู้ชม
ดวงตาของทุกคนจับจ้องอยู่ที่ระฆังทองแดงสีดำ ลึกลงไปในกรงขังอันแน่นหนา สายฟ้าสีเลือดสาดกระจายอย่างทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว
ในขณะนี้เอง เสียงของซูอี้ก็ดังออกมาจากระฆังทองแดงสีดำ “ข้าจะให้โอกาสเจ้า ลงมือสิ ข้าอยากจะดูว่าสมบัติชิ้นเล็ก ๆ นี่จะทำอะไรตัวข้าแซ่ซูได้บ้าง”
เสียงยังคงสงบนิ่งเช่นเคย
ผู้ชมตกตะลึงและประหลาดใจอย่างมาก ถูกกักขังไว้ภายใต้สมบัติ ซูอี้ยังจะสามารถใจเย็นถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน? เขาไม่กังวลว่าจะถูกฆ่าตายเลยหรือ?
“งั้นรึ?”
ซูหงหลี่หัวเราะเสียงดัง ผมยาวสีเลือดของเขาปลิวไสว
ตูม!
รัศมีของเขารุนแรงและมืดมน นิ้วมือทั้งสิบราวกับกำลังลูบสายพิณ ในใจกลางความว่างเปล่า มีตราเวทมนตร์ลึกลับชนิดหนึ่งก่อตัวขึ้น
ไกลออกไปในความว่างเปล่า ระฆังทองแดงสีเลือดสูงร้อยจั้งส่งเสียง ภาพนรกสีเลือดที่สลักอยู่ด้านข้างได้สะท้อนภาพของภูเขาซากศพและทะเลเลือดออกมา
สายฟ้าสีเลือดอันปั่นป่วนและน่าตะลึงจำนวนมากกว่าเดิมตกลงมาจากระฆังทองแดงสีดำราวกับน้ำตก
เมื่อมองแวบแรก อากาศโดยรอบดูเหมือนถูกย้อมด้วยสีโลหิตข้นคลั่ก ลมปราณอันน่าสะพรึงแผ่ขยายออกไปทั่ว
ไม่ว่าจะเป็นเทพเซียนเดินดินหรือผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ เพียงแค่มองจากไกล ๆ ก็ทำให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ ทั่วร่างแข็งทื่อ และหน้าซีดด้วยความตื่นตะลึง
พวกเขาจินตนาการถึงความน่าสะพรึงกลัวจากการโจมตี ที่ซูอี้ซึ่งถูกกักขังไว้ในระฆังทองสัมฤทธิ์สีดำต้องทนรับไม่ได้เลย
“ซูอี้ ถ้าเจ้าทนไม่ไหวก็อย่าดื้อดึงเลย นายท่านผู้นี้ชื่นชมเจ้ามาก ตราบใดที่เจ้าร้องขอความเมตตา นายท่านผู้นี้จะให้อภัยเจ้า”
ซูหงหลี่พูดด้วยเสียงของสตรีดังก้องไปทั่ว
เขาหยิ่งผยอง และลมปราณของเขาที่ราวกับเทพปีศาจก็ทำให้ผู้ชมล้วนตกตะลึง
เขาเป็นคนเดียวที่รู้ ว่าผู้ใดก็ตามที่ถูกขังด้วยระฆังทัณฑ์โลกันต์ คนผู้จะอยู่ในสภาพราวกับตกอยู่ในนรกสีเลือด และถูกโจมตีด้วย ‘สายฟ้าสีเลือดจากนรกรัตติกาล’ ตลอดเวลา
ไม่ต้องพูดถึงขอบเขตปรมาจารย์ แม้แต่ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดขั้นสามก็ย่อมถูกสังหารด้วยสิ่งนี้ไม่ต่างจากมดปลวก และจะตกอยู่ในสภาพจิตวิญญาณแตกสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
หากเขาอยู่ในจุดรุ่งโรจน์ที่สุด พลังของสมบัติชิ้นนี้ก็สามารถคุกคามได้กระทั่งชีวิตของตัวตนขั้นวิถีวิญญาณ!
ชั่วขณะที่ทุกคนต่างตื่นตระหนก เสียงของซูอี้ก็ดังออกมาจากในระฆังทองแดงสีดำ “แค่นี้รึ?”
คำว่า ‘แค่นี้รึ’ ดังกล่าวเต็มไปด้วยความผิดหวัง ดูถูก และเหยียดหยาม
เมื่อมันมาเข้าหูซูหงหลี่ คล้ายกับเป็นการลบหลู่ศักดิ์ศรีของเขาครั้งใหญ่ ทำให้รูม่านตาสีแดงคู่นั้นหดลง ก่อนที่ร่างกายจะแผ่ไอทะมึนสีดำแดงออกมา!
‘ป้าบ!’ ซูหงหลี่ปรบมือเสียงดัง โลหิตในกายของเขาปั่นป่วน เกิดลำแสงปีศาจสาดส่อง ในใจกลางฝ่ามือก่อเป็นสัญลักษณ์แปลก ๆ และทันใดนั้นเขาก็กระแทกฝ่ามือไปยังระฆังสีดำที่อยู่ไกลออกไป
ตูม!
ระฆังทองแดงสีดำสาดแสงสีเลือดเก้าสายออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งพลังของมันน่าสะพรึงยิ่งกว่าเดิม
ในเวลานี้จวนของตระกูลซูซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกือบพันไร่ที่อยู่ไกลออกไปก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ตัวบ้านเรือนพังทลาย รวมถึงศาลาวิจิตรงดงาม ตัวโถง ลานบ้าน… ทั้งหมดดูราวกับถูกพายุโหมกระหน่ำใส่จนกลายเป็นซากปรักหักพัง ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
หายนะที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ยังทำให้สมาชิกหลายคนในตระกูลซูเสียชีวิตก่อนที่จะหลบได้ ชั่วขณะนั้นคนตระกูลซูต่างส่งเสียงกรีดร้อง
แต่ ณ เวลานี้ ไม่มีใครสนใจเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เลย
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ระฆังสีดำขนาดใหญ่ พลังของสมบัตินี้น่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้ซึ่งถูกกักขังเอาไว้จะยังสามารถต้านทานได้หรือไม่?
การหายใจของซูหงหลี่เองก็กระชั้นขึ้น เห็นได้ชัดว่าการใช้ระฆังทองแดงสีดำด้วยพลังทั้งหมดทำให้เขาเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“ซูอี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง? นายท่านผู้นี้รู้ดีว่าเจ้ายังไม่ตาย เป็นเพราะว่าเจ้าแข็งแกร่งพอนายท่านผู้นี้จึงมอบโอกาสให้เจ้าขอความเมตตาอยู่หลายครั้ง แต่ตอนนี้ เจ้าควรรู้ว่าถ้ายังทำเช่นนี้ต่อไป แม้ว่านายท่านผู้นี้จะต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่ แต่เจ้าก็ต้องตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!” ซูหงหลี่ตะโกนเสียงดังด้วยท่าทีของผู้ชนะ
หัวใจของทุกคนเหน็บหนาว
ผู้อาวุโสบางคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ คิดว่าซูอี้ถึงจุดจบแล้ว ตัวตนเช่นฉือเฟิงหลิว จีเหอ อวิ๋นจงฉี และคนอื่น ๆ จึงอดเกิดความรู้สึกเสียดายน้อย ๆ ขึ้นในใจไม่ได้
พวกเขาต่างถือว่าซูอี้เป็นศัตรู และพวกเขาก็ต้องการฆ่าซูอี้มานานแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าเมื่อซูอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาจะฉวยโอกาสนั้นสังหารอีกฝ่ายซะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสเช่นนั้นแล้ว
“ท่านอาจารย์”
หลานซัวกังวลเล็กน้อย ส่งเสียงไปยังอาจารย์อวิ๋นหลาง
“รอก่อน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาตัดสินผู้แพ้ชนะ” อาจารย์อวิ๋นหลางพูดด้วยเสียงลุ่มลึก เขาย่อมเห็นว่าแม้ว่าซูอี้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยนัก แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ได้รับอันตรายจริง ๆ!
ในเวลานี้ เสียงของซูอี้ดังขึ้นอีกครั้ง “มีสิ่งหนึ่งที่จะพูด ในฐานะที่เป็นมารของสมบัติชิ้นนี้ การควบคุมสมบัติของเจ้านั้นนับว่าแย่มาก ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าควรจะได้รับความเสียหายตั้งแต่กำเนิด จึงเป็นจิตวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ และไม่เคยรับโอกาสเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณที่แท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเจ้าจึงถูกซูหงหลี่กดข่มเอาไว้ อ่อนแอเกินไปจริง ๆ”
คำพูดธรรมดาและเรียบ ๆ แต่กลับทำให้ผู้ชมที่อยู่ไกลออกไปตกอยู่ในความโกลาหล
“ซูอี้ เขายังสบายดีงั้นหรือ?!”
ฉือเฟิงหลิวและเทพเซียนเดินดินคนอื่น ๆ ที่คิดว่าซูอี้กำลังจะตกตายต่างตะลึงและแทบไม่เชื่อหูของพวกเขา
การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นกลับไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน!?
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ในใจของเยว่ซือฉาน เก๋อฉางหลิง มู่ซี และคนอื่น ๆ พลันมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย เมฆครึ้มตรงระหว่างคิ้วของพวกเขาจางลง
ถ้อยคำของซูอี้เปี่ยมไปด้วยพลัง ความไม่แยแสและความสงบนิ่งเหมือนเมื่อก่อน และยังเหยียดหยามปีศาจที่แย่งชิงร่างของซูหงหลี่ไปจนดูไร้ค่าอีกด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าท่ามกลางการโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซูอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ แต่อย่างใด?
“สิ่งนี้เรียกว่าผลลัพธ์ยากคาดเดา!”
อาจารย์อวิ๋นหลางกระซิบ
หลานซัวพยักหน้าด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
ในเวลานี้ ทุกคำพูดของซูอี้เป็นเสมือนปลายมีดแทงเข้าไปในหัวใจของซูหงหลี่
สีหน้าของเขาดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง ดวงตาสีแดงคู่นั้นเต็มไปด้วยความอับอาย ความโกรธเคือง และความเกลียดชัง เช่นเดียวกับลมปราณทั่วร่างที่เริ่มดุร้ายและรุนแรงขึ้น
เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากที่ใช้สายฟ้าสีเลือดจากนรกรัตติกาลอย่างต่อเนื่อง คนหนุ่มในขอบเขตปรมาจารย์อย่างซูอี้จะสามารถทนมาได้จนถึงตอนนี้!
ที่เหลือเชื่อไปกว่านั้นคือ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะ… ส่องเห็นข้อมูลบางส่วนของตัวเขาเข้าแล้ว!!
หลังสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาของซูหงหลี่ก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า เขากล่าวว่า “เจ้าไม่ยอมดื่มทั้งสุราเคารพและสุราลงทัณฑ์ นายท่านผู้นี้ให้โอกาสเจ้าแล้ว หากเจ้าไม่ต้องการมันก็ตายไปซะ!”
เขาพลันกระโดดออกไป ยกมือขึ้นไปยังความว่างเปล่าในอากาศ
วูบ! วูบ! วูบ!
คลื่นพลังปีศาจสีแดงเข้มสายแล้วสายเล่าพุ่งออกจากตัวเขา ราวกับคมดาบนับพันรุดเข้าไปในระฆังสีดำ
แกร๊ง! แกร๊ง!
ระฆังใหญ่ส่งเสียงร้อง ตัวผิวสีดำของระฆังเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต ดูผิวเผินคล้ายกับว่ากำลังหลั่งเลือดออกมา ดูน่าสะพรึงกลัว ทำให้อากาศว่างเปล่าที่อยู่ใกล้เคียงสั่นกระเพื่อม ราวกับไม่สามารถทนต่อความดุร้ายของสมบัตินี้ได้
เทพเซียนเดินดินที่อยู่ไกลออกไปทั้งหมดล้วนถอยร่นกันหมด พวกเขาหลั่งเหงื่อเย็น พลังที่สมบัตินี้ปล่อยออกมาช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน!
ตูม!
ในเวลานี้ สีของท้องฟ้าและแผ่นดินเปลี่ยนไป ลมและเมฆก็ปั่นป่วน พลังของระฆังทำให้พื้นที่ในระยะหนึ่งพันจั้งสั่นสะท้านจนเกิดสัญญาณพลิกคว่ำ และทรุดตัวลง
ภาพนี้ชวนสะเทือนขวัญอย่างไม่ต้องสงสัย
ในความว่างเปล่า ซูหงหลี่หอบหนัก สีหน้าของเขาซีดขาวและโปร่งใส เห็นได้ชัดว่าหลังจากทำการโจมตีดังกล่าว ความแข็งแกร่งของเขาก็ลดลงอย่างมาก
“คราวนี้ ตัวเจ้า ซูอี้ จะยังเอาตัวรอดได้หรือไม่?”
ริมฝีปากของซูหงหลี่โค้งขึ้นเล็กน้อย รูม่านตาสีแดงเลือดของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
เขาแน่ใจว่าแม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นวีถีวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ หากติดอยู่ในนั้นก็ย่อมถูกกำหนดให้ต้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก อย่าว่าแต่คนหนุ่มในขอบเขตปรมาจารย์อย่างซูอี้เลย
แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นกลับทำให้ทุกคนตกตะลึง…
“แค่นี้รึ?”
เสียงที่คุ้นเคยและไม่แยแสของซูอี้ดังออกมาอีกครั้ง มันเป็นถ้อยคำเดิม แต่ครั้งนี้ไม่มีร่องรอยดูถูกหรือการสบประมาทในน้ำเสียง มีเพียงความผิดหวังอย่างสุดซึ้ง
คล้ายเฉื่อยชาและเบื่อหน่าย
คล้ายความคาดหวังเต็มเปี่ยมได้กลายเป็นฟองสบู่ไป
คล้ายกับว่ารอคอยมาเนิ่นนานกลับพบว่าเป็นเงาสะท้อนของดวงจันทร์อันว่างเปล่า
แม้แต่ซูหงหลี่ที่ถูกปีศาจครอบงำก็ยังตกตะลึงเมื่อได้ยินถึงความผิดหวังที่แสดงออกมาในถ้อยคำนี้ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าซูอี้จะยังกล้าหยิ่งผยองเช่นนี้
ในเวลานั้น เสียงถอนหายใจของซูอี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
จากนั้น ภายใต้การจ้องมองที่ไม่อยากจะเชื่อของกลุ่มคน ระฆังซึ่งสูงหลายร้อยจั้งก็สั่นไหวอย่างรุนแรง และจู่ ๆ ก็หดเล็กลงเรื่อย ๆ
ท้ายที่สุดแล้วสมบัติชิ้นนี้ก็หดตัวลงจนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ ก่อนตกลงไปบนมือที่ใหญ่ เรียวยาว และงดงาม
วาบ~
เมื่อมองตามไป ก็พบว่าเงาสายฟ้าสีเลือดที่อยู่ใกล้เคียงได้หลั่งไหลเข้ามาไปในระฆังทองแดงสีดำราวกับกระแสน้ำ
จากนั้น ในความว่างเปล่าก็มีภาพสะท้อนของร่างสูงในเสื้อคลุมสีเขียวดุจหยกที่ออกมาจากฝุ่นควันอย่างเฉยเมย โดยมือข้างหนึ่งถือระฆังทองแดงสีดำ และกุมดาบตัดโศกาไว้อีกข้างหนึ่ง
ยืนตระหง่านดุจเทพเจ้าบนฟ้าที่มองลงมายังโลกมนุษย์!
ฉากดังกล่าวทำให้ฉือเฟิงหลิว จี้เหอ อวิ๋นจงฉี และคนอื่น ๆ ผู้ซึ่งคิดว่าซูอี้จะต้องตายอย่างแน่นอนต่างตกตะลึงและนิ่งงันอยู่กับที่
เกิดอะไรขึ้น?
กระทั่งเยว่ซือฉาน เก๋อฉางหลิง และมู่ซีก็ตกใจกับฉากนี้เช่นกัน
แต่เมื่อรับชมซูอี้รอดพ้นจากอันตราย พวกเขาก็พลันโล่งใจ ที่มุมคิ้วและหางตาแสดงออกถึงความโล่งใจ
“คุณชายซูผู้นี้ราวกับเทพเซียนผู้สามารถพลิกฟ้าเรียกฝนได้ตามใจ!”
อวิ๋นหลางอดที่จะถอนใจไม่ได้
ในอากาศว่างเปล่า
ร่างอันแข็งแกร่งนั้นเป็นเสมือนเทพเซียนที่ถูกเนรเทศมา
ระฆังซึ่งเคยแสดงพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจนทำให้เทพเซียนเดินดินเหล่านั้นสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ยามนี้มีขนาดเท่ากับฝ่ามือลอยอยู่บนฝ่ามือซ้ายของซูอี้!
ใครจะคิดว่าซูอี้สามารถหลบหนีโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ภายใต้การลงมือที่รุนแรงเพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกฝนวิถีต้นกำเนิดสิ้นหวัง?
ช่างดูราวกับปาฏิหาริย์!
“เจ้า…”
ดวงตาของซูหงหลี่เบิกกว้าง ดูเหมือนเขาจะไม่อยากเชื่อ และยอมรับไม่ได้
“แปลกใจหรือ? ก่อนหน้านี้ ข้าแค่อยากรู้ที่มาของสมบัตินี้ ข้าจึงยินดีเป็นฝ่ายเข้าไปติดกับดักเอง เพื่อที่จะสัมผัสถึงความลึกลับของสมบัตินี้”
หลังซูอี้พูดถึงตรงนี้ เขาก็อดถอนใจไม่ได้ “ใครจะคาดคิดว่าสมบัติชิ้นนี้ แม้ว่ามันจะสามารถสร้างมารที่ไม่สมบูรณ์เช่นเจ้าขึ้นมาได้ แต่เห็นได้ชัดว่ามันชำรุดบางส่วน ดังนั้นพลังของมันจึงเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ”
“สรุปนี่คือระฆังทัณฑ์โลกันต์… แม้ว่าพลังจะน่ากลัว แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอันฉกาจอยู่”
ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดของซูอี้ ซึ่งทันใดนั้นพวกเขาก็พลันตระหนักว่าก่อนหน้านี้มันไม่ใช่เพราะซูอี้ต้านทานพลังไม่ไหว แต่เป็นเพราะเขาเลือกที่จะติดกับดักเอง…
ในเวลานี้ ปีศาจที่สิงซูหงหลี่ดูเหมือนจะสูญเสียการควบคุมแล้วคำรามขึ้น “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดเจ้าจึงรู้เรื่องราวมากมายเช่นนี้?”
เสียงนั้นแผ่ขยายไปทั่วโลกสามัญ เผยให้เห็นถึงโทสะและความสงสัยที่ไม่ได้ซ่อนเร้น รวมถึงร่องรอยความสิ้นหวัง
คนหนุ่มในขอบเขตปรมาจารย์สามารถต้านทานพลังที่สามารถสังหารตัวตนขอบเขตรวบรวมดาราในวิถีต้นกำเนิดได้ ใครบ้างที่จะไม่แปลกใจหรือสับสน?
ซูอี้เมินซูหงหลี่
ดวงตาของเขากวาดไปรอบ ๆ ทั่วบริเวณ รับชมความหายนะ และซากปรักหักพังรวมถึงผืนดินที่ไหม้เกรียม ซึ่งไกลออกไป มีผู้ชมนับไม่ถ้วนที่อยู่ในสภาพตกตะลึงและงุนงง
แม้แต่พวกเทพเซียนเดินดินก็ยังประหลาดใจ
เดิมที สถานที่แห่งนี้คึกคักจอแจ
แต่ในเวลานี้ มันดูคล้ายสนามรบที่พังทลายและรกร้าง เต็มไปด้วยหมอกควัน หนาวเหน็บ และเงียบงัน
“ถึงเวลาจบเรื่องได้แล้ว”
ซูอี้พึมพำกับตัวเอง เสียงไร้ความแยแสของเขาเสมือนสายลมที่พัดผ่านระหว่างสวรรค์กับโลก
จากนั้นเขาก็สะบัดนิ้วไปที่ระฆังทองแดงสีดำ
ฮึ่ม!!!
เสียงระฆังฟังคล้ายกำลังโกรธเคือง มันเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นคลื่นสีเลือด พุ่งเข้าหาซูหงหลี่ที่อยู่ไกลออกไป!
ซูหงหลี่ต้องการหลบ ทว่าเขาควบคุมร่างกายไม่ได้และถูกตรึงไว้โดยเสียงของระฆัง ทำได้เพียงมองดูคลื่นเสียงสีเลือดที่พุ่งเข้ามาหาเท่านั้น!
“ไม่—!”
ปีศาจที่สิงซูหงหลี่กรีดร้อง ดวงตาของเขาแทบฉีกออก
เดิมทีเขาเป็นหนึ่งเดียวกับระฆังนั่น แต่ในเวลานี้ ไม่เพียงแต่เขาจะสูญเสียการควบคุมระฆังไป แต่ยังถูกพลังของสมบัติชิ้นนี้กดทับอีกด้วย!
ตูม!
คลื่นเสียงสีเลือดพุ่งเข้าใส่ร่างกายของซูหงหลี่ หยาดฝนสาดกระเซ็น มีเงาร่างสีเลือดรางเลือนพุ่งออกมาจากร่างของซูหงหลี่
เมื่อมองดูใกล้ ๆ ปีศาจนี้เป็นเหมือนแสงและเงาสีเลือดที่ร้อยเข้าด้วยกัน ดูพร่าเลือน บิดตัวไปมาอย่างน่าขนลุก และลมปราณทั่วร่างก็เหมือนกับระฆังทัณฑ์โลกันต์ไม่มีผิด!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือเจ้าปีศาจนั่น!
ซูอี้สะบัดนิ้วอีกครั้ง
ฮึ่ม!!!
คลื่นเสียงสีเลือดที่กระเพื่อมไหวกลายเป็นตาข่ายที่เข้าปกคลุมผืนดิน ทำให้ปีศาจสีเลือดส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว หันหลังหนีไป
แต่จะหนีไปไหนได้กัน? ในชั่วพริบตา มันก็ถูกคลื่นเสียงสีเลือดปกคลุมและติดกับ!
“ซูอี้ ได้โปรดมอบทางรอดให้นายท่านผู้นี้ด้วย นายท่านผู้นี้เต็มใจมอบร่างกายและชีวิตให้เจ้า!”
ปีศาจสีเลือดคร่ำครวญด้วยความตื่นตระหนกและเจ็บปวด
ฮึ่ม!
สำหรับคำตอบที่อีกฝ่ายได้รับคือเสียงระฆังอีกหน ซึ่งคลื่นเสียงสีเลือดก็เสมือนกับดาบที่ผ่าเปิดท้องฟ้า ฟันไปที่ปีศาจสีเลือดซึ่งถูกขังไว้
ตูม!
ร่างของปีศาจสีเลือดระเบิดออกดุจฟองสบู่ และฝนที่โปรยปรายก็กระจัดกระจายหายไปอย่างสมบูรณ์
กลุ่มคนทั้งหมดต่างตกใจกลัว
สวรรค์และโลกต่างเงียบสงัด มีเพียงเสียงอันหนักอึ้งของระฆังที่ยังคงดังก้องกังวาน
ราวกับเสียงสวดส่งแก่ตระกูลซู
เสียงไพเราะนั่นดังสะท้อนออกไปนอกเมืองหลวง