บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 342 สหายเต๋าซู โปรดอยู่ก่อน
ตอนที่ 342: สหายเต๋าซู โปรดอยู่ก่อน
ตอนที่ 342: สหายเต๋าซู โปรดอยู่ก่อน
เสียงระฆังดังก้องกังวานระหว่างฟ้าดิน
ทุกคนในบริเวณล้วนตกอยู่ในภวังค์ ไม่สามารถฟื้นจากอาการตกใจได้เป็นเวลานาน
การต่อสู้ศึกนี้ตั้งแต่ต้นจนจบสามารถอธิบายได้ว่าเต็มไปด้วยการพลิกผันจากตัวแปรมากมาย ทั้งน่าตื่นเต้นสุดขั้วไปจนถึงน่าสะพรึงสุดขีด
ในตอนแรก ซูหงหลี่ก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้าและทะยานขึ้นสู่วิถีต้นกำเนิดโดยมีพื้นฐานที่มั่นคง ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเทพเซียนเดินดินในขอบเขตไร้เบญจธัญอย่างโหยวเทียนหงเสียอีก
แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้ที่อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์
ต่อมาเขาได้ควบคุมพลังของสวรรค์และโลก ราวกับเป็นผู้ปกครองของสวรรค์และโลก ซึ่งทำให้เทพเซียนเดินดินนับไม่ถ้วนยังต้องหวาดกลัวสามส่วน
แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้
จนกระทั่งเขาขโมยพลังของชายชราในชุดเต๋าแล้วกระตุ้นใช้ดาบดุร้าย ทุกคนคิดว่าซูอี้จะต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้
จนกระทั่งสุดท้าย เขาปล่อยให้มารปีศาจตนนั้นเข้าครอบครองร่างกายอย่างสิ้นหวัง เปิดใช้ระฆังทองแดงสีดำ ความดุร้ายนั่นรุนแรงมากจนเทพเซียนเดินดินที่มองดูพวกเขาจากระยะไกลต่างรู้สึกหวาดกลัว
ใครจะคิดว่าซูอี้ยังชนะได้อีก!!
การพลิกผันที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่ายังเผยให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของซูอี้อีกด้วย
จนถึงตอนนี้ เมื่อมองดูร่างสูงแกร่งของซูอี้ในความว่างเปล่า ดวงตาทุกคู่ก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
“การต่อสู้ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่สุดยอดที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา หากมองไปยังทั่วทั้งสามอาณาจักรอย่างต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉิน ล้วนไม่เคยพบเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อน!”
อาจารย์อวิ๋นหลางถอนหายใจ
“เมื่อเทียบกับการต่อสู้ครั้งนี้ การตายของโหยวเทียนหง ผู้เผชิญหน้ากับซูอี้บนยอดเขาจิ่วจี้นั้น… นับว่าเป็นเรื่องเล็กจ้อยไปเลย…”
เยว่ซือฉานพึมพำ ดวงตาใสกระจ่างของนางราวกับตกอยู่ในภวังค์
“เขาทำได้อย่างไรกัน? ใครตอบข้าได้บ้างว่าเหตุใดขอบเขตปรมาจารย์คนหนึ่งถึงได้มีพลังต่อสู้ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้?”
เทพเซียนเดินดินเช่นฉือเฟิงหลิว จี้เหอ และอวิ๋นจงฉี ต่างก็ตกใจและสงสัยเช่นกัน
ยามที่พวกเขาเห็นว่าซูอี้กำลังจะตายก่อนหน้านี้ พวกเขายังรู้สึกเสียดายในใจ คิดว่าจะไม่มีโอกาสฆ่าซูอี้ด้วยมือของพวกเขาเองแล้ว
แต่ในเวลานี้ เมื่อเห็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของซูอี้ ในใจพวกเขาก็รู้สึกไม่ยินดีอยู่ลึก ๆ
เป็นความรู้สึกที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่จะสัมผัสได้
ก่อนการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะประเมินซูอี้ไว้สูงแค่ไหน พวกเขาก็ไม่เคยคิดว่าซูหงหลี่ซึ่งถูกปีศาจเข้าครอบงำ จะทำร้ายซูอี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ต้องรู้ก่อนว่าระฆังทองแดงสีดำที่ซูหงหลี่ใช้นั้นสามารถสังหารเทพเซียนเดินดินกลุ่มนี้ได้อย่างง่ายดาย!
แต่ในท้ายที่สุด ไม่เพียงแต่ซูอี้จะไม่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่เขายังเอาระฆังทองแดงสีดำไปด้วย…
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ขอบเขตปรมาจารย์เท่านั้น ถ้าให้เวลาเขามากกว่านี้ ในอนาคตโลกนี้จะยังมีใครที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกหรือ?”
จี้เหอถอนหายใจ
เวลานี้เขาไม่กล้าที่จะพูดคำเหล่านี้ออกมาเพราะกลัวว่าจะถูกโจมตีโดยซูอี้
เช่นเดียวกับเขา ไม่รู้ว่าคนใหญ่คนโตกี่คนที่มีความคิดแบบเดียวกัน
วันนี้ซูอี้อายุเพียงสิบเจ็ดปี และมีเพียงรากฐานการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์เท่านั้น ทว่าความแข็งแกร่งกลับทรงพลังมากจนเกินขอบเขตปกติแล้ว
หลังจากนี้ เมื่อเขาทะลวงขั้นขึ้นอีก ความแข็งแกร่งของเขาจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหนกัน?
แค่คิดก็สยองแล้ว!
“พี่ซูชนะแล้ว!”
มู่ซี ผู่อี้ และคนอื่น ๆ ในที่สุดใบหน้าของพวกเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นรัว และหายใจไม่ออกหลายครั้ง แต่ตอนนี้พวกเขาได้ผ่อนคลายเต็มที่แล้ว
“เยี่ยมไปเลย!”
หลานซัวตื่นเต้นยินดี ดวงตาที่งดงามของนางเต็มไปด้วยความสดใส
“ดี!” ฉางกั้วเค่ออดยิ้มออกมาไม่ได้
ซึ่งเวลานี้อาจารย์ของเขา เซียนฮัวซงไม่สามารถดุเขาได้อีกต่อไป
“เขา… เขาไร้เทียมทานจริง ๆ งั้นหรือ…”
สีหน้าของชิงจินซับซ้อน ดวงตาที่สดใสของนางเต็มไปด้วยความมึนงง
…
ในอากาศว่างเปล่า
ซูอี้มองไปที่ซูหงหลี่
ในเวลานี้ ซูหงหลี่หมดแรงอย่างสมบูรณ์ รูปลักษณ์ของเขาเหี่ยวแห้ง ดวงตาขุ่นมัว ดูคล้ายวิญญาณขาดหายไปและต้องใช้เวลานานกว่าจะดึงมันกลับมาได้
เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของซูอี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก มีเสียงไออย่างรุนแรงดังขึ้นจากริมฝีปาก ราวกับเทียนไขต้องลมที่ใกล้จะดับลง …เขากำลังจะตาย!
“เหตุใด… เจ้าจึงไม่ฆ่าข้าเสียที?”
ซูหงหลี่ถามอย่างอ่อนแรง
ซูอี้ถามกลับ “ตอนนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่สังหารข้ากับแม่ของข้าทิ้งไปด้วยกันเสียล่ะ?”
ซูหงหลี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความระลึกถึง ปากส่งเสียงพึมพำออกมา “บอกตามตรง ตอนนั้นข้าไม่ได้อยากทำมัน ถึงตอนนั้นข้าจะเกลียดชังแม่ของเจ้าไปถึงแก่น แต่ข้าก็ไม่คิดที่จะสังหารนางด้วยตัวเอง เพราะข้ารู้ว่านางจะอยู่ได้ไม่นาน…”
พูดจบก็ไออย่างรุนแรงอีกครั้ง ก่อนเอนหลังลง ซึ่งร่างของเขาส่ายไปมาจนทุกคนกังวลว่าเขาอาจตายเมื่อไรก็ได้
“สำหรับเจ้า…”
ซูหงหลี่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และหัวเราะกับตัวเอง “บางทีเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่ข้าต้องบอกว่าในตอนนั้น ข้ายังทำอะไรเรื่องอย่างการสังหารเด็กทิ้งไม่ได้ ภายหลัง ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถสะกดระฆังทัณฑ์โลกันต์ได้ แต่ข้าก็ค่อย ๆ ค้นพบว่าข้าดูเหมือนตัวเองน้อยลงทุกที…”
แก้มของเขามีร่องรอยความขมขื่น และการดูถูกตัวเองได้ปรากฏออกมา “ย้อนกลับไปในตอนนั้นแม่ของเจ้าพูดถูก ระฆังทัณฑ์โลกันต์นี่แปลกประหลาดและอันตรายเกินไป แค่เข้าใกล้มันก็จะถูกกัดเซาะและได้รับผลกระทบจากพลังของมัน จนในที่สุดก็แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คิ้วของซูหงหลี่เต็มไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง “สิ่งเหล่านี้ แม่ของเจ้าได้เตือนข้าแล้ว แต่ข้าไม่สามารถระงับความโลภของข้าและขโมยสมบัติวิเศษชิ้นนี้มายามที่แม่ของเจ้าไม่ได้ตั้งตัว…”
ดวงตาของซูอี้เย็นชา ขณะกล่าว “เสียใจรึ?”
ซูหงหลี่ส่ายหัว “ไม่ ข้า ซูหงหลี่ แม้ตายก็ไม่เสียใจ และข้าไม่เสียใจกับความผิดพลาดที่ข้าทำลงไป สิ่งที่ทำให้ข้าเสียใจจริง ๆ คือการที่ข้าช่วยอะไรแม่ของเจ้าไม่ได้…”
มีร่องรอยเจ็บปวดปรากฏขึ้นในดวงตาขุ่นมัวของเขา “ในตอนนั้น หลังจากที่นางรู้ว่าข้าขโมยระฆังทัณฑ์โลกันต์ไป นางก็โกรธและผิดหวังมาก แต่นางก็ไม่ได้หักหลังข้า นางกลับสอนวิธีการควบคุมและสะกดระฆังทัณฑ์โลกันต์ให้กับข้า”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าสามารถสะกดปีศาจตัวนั้นไว้ด้วยการบ่มเพาะของข้าเอง…”
ซูหงหลี่พึมพำ “ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ข้าทำผิดต่อแม่ของเจ้าเหลือเกิน จนกระทั่งนางตาย ข้าก็ไม่แม้แต่จะไปดูนางเลย…”
เขามองไปที่ซูอี้ น้ำเสียงของเขาแหบแห้งและทุ้มต่ำ “เจ้าเกลียดข้าเข้ากระดูก ข้าไม่โทษเจ้า แต่ถ้าเจ้าสังหารข้า เจ้าจะต้องแบกรับชื่อเสียว่าเป็นผู้สังหารบิดาของตน และจะเหยียดสันหลังตรงไม่ได้ไปตลอดชีวิต”
ซูอี้เลิกคิ้วและกำลังจะพูด
รับชมซูหงหลี่ยิ้ม เขาพูดว่า “ข้า… ไม่สมควรที่จะเป็นบิดาของเจ้า… แต่… หากสามารถช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากการถูกตราหน้าว่าสังหารบิดาของตน… ข้าคิดว่า เมื่อแม่ของเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว นางคงจะ… ไม่เกลียดข้าเช่นนั้นอีกต่อไป…”
เสียงนั้นค่อย ๆ อ่อนแรงลงจนกระทั่งหายไป
พลังชีวิตในร่างกายของซูหงหลี่ไหลออกไปราวกับกระแสน้ำและหายไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งร่างกายที่ดุจตะเกียงไร้น้ำมันก็ค่อย ๆ กลายเป็นเถ้าถ่านล่องลอยออกไป
ผู้นำตระกูลซูถึงแก่กรรมแล้ว!
การแสดงออกของซูอี้ไม่แยแส ไม่เศร้า และไม่ได้มีความสุข
เขาเอื้อมมือไปคว้ามัน ซึ่งขี้เถ้าทั้งหมดของซูหงหลี่ที่สลายออกไปก็ได้ถูกเก็บกลับมา
“ตายลงที่นี่จะมีประโยชน์อันใด พรุ่งนี้ข้าจะใช้เจ้าเป็นเครื่องสังเวยเพื่อปลอบประโลมวิญญาณของมารดาข้าบนสวรรค์…”
ซูอี้พูดกับตัวเอง
เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อซูหงหลี่
แม้ว่าซูหงหลี่จะยอมรับความผิดพลาดของตนเองเมื่อเขากำลังจะตาย แต่ก็ยากที่อารมณ์ของซูอี้จะผันผวนเพียงเพราะเหตุนี้
ซูอี้มองไปไกลยังที่สถานที่ซึ่งตระกูลซูอยู่ ใช้นัยน์ตามองไปที่โหยวชิงจือและซูป๋ออิ๋น
ทั้งคู่ต่างหวาดกลัวถึงขีดสุดแล้ว
เมื่อซูอี้มองมา โหยวชิงจือก็ตาเหลือก นางทรุดตัวลงกับพื้นและหวาดกลัวจนเป็นลมไป
สำหรับซูป๋ออิ๋น เขาส่งเสียงคำรามดัง “ซูอี้! เจ้าสังหารบิดาตัวเอง เจ้าจะต้องถูกก่นด่าไปนับร้อยปี เจ้าจะไม่สามารถเหยียดสันหลังตรงได้อีก!!”
ดวงตาเขาแทบฉีกขาด สีหน้าดุร้าย สูญเสียการควบคุมไปอย่างสมบูรณ์
ซูอี้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่สะบัดนิ้วของเขา
ฟึบ!
ปราณดาบเพียงเล็กน้อยเฉือนผ่านอากาศ แล้วซูป๋ออิ๋นที่กำลังคำรามอย่างบ้าคลั่งก็ถูกตัดหัว
หลังจากนั้น ปราณดาบอีกสายก็ฟันลงมายังศีรษะของโหยวชิงจือที่หมดสติไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ซูอี้ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ฉากที่น่าตกใจและนองเลือดนี้กระตุ้นให้ตระกูลซูที่เหลือตัวสั่นสะท้าน
“พรุ่งนี้เช้าตระกูลซูของเจ้าจงเตรียมของเซ่นไหว้ส่งไปที่ลานซงเฟิงเปี๋ย แล้วข้าจะปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเพียงอดีตไป”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “พวกเจ้าควรชัดเจนว่าในอดีตมีผู้ใดบ้างที่ทำให้ข้าขุ่นเคือง ถ้าเครื่องเซ่นไหว้เหล่านั้นทำให้ข้าไม่พอใจ ข้าจะชีวิตของพวกเจ้ามาเป็นเครื่องเซ่นไหว้แทน”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา คนส่วนใหญ่ในตระกูลซูต่างก็โล่งใจราวกับได้รับการนิรโทษกรรม เพราะพวกเขาคิดว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยทำให้ซูอี้ขุ่นเคือง
สำหรับผู้ที่เคยทำให้ซูอี้ขุ่นเคืองมาก่อน พวกเขาทั้งหมดต่างสิ้นหวังและล้มลง บางคนคุกเข่าลงบนพื้น ขอความเมตตา บางคนเสียสติ ฉี่ราด ร้องไห้ และบางคน…
ซูอี้ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้…
เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ และในที่สุดก็มองไปที่อวิ๋นจงฉี จี้เหอ ฉือเฟิงหลิว และคนอื่น ๆ “เจ้าต้องการแก้แค้นตอนนี้เลยหรือไม่?”
เขาเคยถามเช่นนี้หลังจากที่ฆ่าโหยวเทียนหงบนยอดเขาจิ่วจี้
และก็เหมือนกับครั้งที่แล้ว อวิ๋นจงฉีกับเทพเซียนเดินดินคนอื่น ๆ ล้วนแต่แข็งทื่อ และเงียบงัน
ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับซูอี้!
พลังแห่งการฆ่าฟันเช่นนี้ คนใหญ่คนโตที่ทรงพลังต่างรับไว้ไม่ไหว!
“ข้ารู้ว่าตราบใดที่มีโอกาส ในอนาคตพวกเจ้าจะมาแก้แค้นตัวข้าซูแน่นอน แต่เจ้าวางใจได้ ตราบใดที่เจ้าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้ว เจ้าสามารถมาหาข้าได้ตลอดเวลา”
คำพูดดังกล่าวเปี่ยมล้นไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามและท่าทางที่ไม่เห็นเทพเซียนเดินดินเหล่านี้ในสายตา
จากนั้น ซูอี้ก็กำลังจะจากไป
แต่ในขณะนั้นเอง เสียงที่แก่ชราและลึกล้ำก็ดังขึ้นมาแต่ไกล
“สหายเต๋าซู โปรดอยู่ก่อน หากเจ้ายังไหวอยู่จริง เหตุใดจึงต้องรีบร้อนนัก?”
เสียงนั้นแผ่ขยายออกไป
ไกลออกไป มีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา
จี้เหอ อวิ๋นจงฉี ฉือเฟิงหลิว และคนอื่น ๆ ต่างหัวใจสั่นไหว ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกาย
ถูกต้อง ซูอี้มองทะลุความมุ่งร้ายของพวกเขาอย่างชัดเจน แล้วเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่ลงมือทำอะไรกับพวกตนล่ะ?
คล้ายจะมีเหตุผลเดียวที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ นั่นคือในการต่อสู้เป็นตายเมื่อครู่นี้ ซูอี้ได้ใช้พลังมากเกินไป และตอนนี้เขาก็หมดแรงแล้ว!
เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงตัวตนในขอบเขตปรมาจารย์ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้ พลังปราณของเขาจะไม่หมดลงได้อย่างไร?
กระทั่งความเป็นไปได้ว่าจะได้รับบาดเจ็บเองก็ตัดทิ้งไม่ได้
เพียงแต่ไม่มีใครเห็นเท่านั้น…
เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นหลาง เยว่ซือฉาน เก๋อฉางหลิง มู่ซี และคนอื่น ๆ เองก็คิดถึงจุดนี้ ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที
มันเป็นแค่ประโยคหนึ่ง แต่กลับทำให้บรรยากาศในบริเวณดังกล่าวเปลี่ยนไป คล้ายกับเป็นสัญญาณของคลื่นใต้น้ำที่กำลังจะระเบิดออก
ในเวลานี้กลุ่มคนที่อยู่ห่างไกลได้เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งก่อนที่คนเหล่านั้นจะมายังที่แห่งนี้ พวกเขาได้กระจายกำลังออกไปสร้างแนวล้อมรอบเพื่อปิดกั้นการล่าถอยของซูอี้ไว้แล้ว!