บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 343 สถานการณ์เปลี่ยนไป เมฆาวายุเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 343: สถานการณ์เปลี่ยนไป เมฆาวายุเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 343: สถานการณ์เปลี่ยนไป เมฆาวายุเปลี่ยนแปลง
ที่ตรงนั้นมีกันอยู่หกคน
มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เท้าเหยียบอากาศ ขับขี่วายุ ลักษณะของพวกเขาล้วนอยู่ในขอบเขตวิถีต้นกำเนิดด้วยกันทั้งสิ้น
ผู้นำขบวนคือชายวัยกลางคนสวมชุดเต๋าแขนเสื้อกว้างสะพายดาบสง่างาม หน้าตาสงบราบเรียบ ไร้ความยินดีและหมองเศร้า ดวงตาลดต่ำราวกับมองดูสรรพสัตว์ ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
พลังลมปราณในตัวของเขาราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่จนคาดเดาไม่ถูก
หลังจากที่พวกเขามาถึง เพียงแค่ครู่เดียวก็กลายเป็นจุดศูนย์รวมของสายตา
“กลุ่มมังกรเร้นแห่งอาณาจักรต้าโจว!”
สายตาร้อนแรงประดุจไฟแผดเผาของอวิ๋นหลางจับจ้อง
เทพเซียนเดินดินอย่างจี้เหอ อวิ๋นจงฉี ฉือเฟิงหลิว เซียนฮัวซง ต่างก็ตาลุกวาว
พวกเขาเข้าใจถึงที่มาของกลุ่มมังกรเร้น!
ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรต้าโจว อาณาจักรต้าเว่ย หรือว่าอาณาจักรต้าฉิน แต่ละราชวงศ์ล้วนมีกองกำลังการฝึกตนด้วยกันทั้งสิ้น
ผู้ฝึกตนของราชวงศ์ต้าโจวเป็นใหญ่อยู่ในภูเขามังกรเร้น ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อว่า ‘กลุ่มมังกรเร้น’
ขณะที่ผู้ฝึกตนของราชวงศ์ต้าเว่ยวางตนเป็นกลุ่มเสาะแสวงเซียนค้นหาวิถี ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อว่า ‘กลุ่มแสวงเซียน’
ส่วนอาณาจักรต้าฉิน ผู้ฝึกตนเป็นใหญ่อยู่ในราชวงศ์ จึงถูกเรียกว่า ‘กลุ่มซ่อนพราง’
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ต่างก็เป็นบุคคลวิถีต้นกำเนิดที่อยู่นอกเหนือโลกสามัญ เป็นเพราะมีพวกเขาอยู่จึงสามารถรักษาความสงบให้แก่แผ่นดินได้ และทำให้ผู้ฝึกตนในสำนักดาบมังกรเร้นกับสำนักวงเดือนไม่กล้าเหลวไหล
บรรยากาศตึงเครียดอึดอัด
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าซูอี้เพิ่งตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลซู กลุ่มมังกรเร้นหกท่านของราชวงศ์ต้าโจวก็บินทะยานมาถึง!
“ผู้น้อยโจวฉางอี้ คารวะสหายเต๋าซู”
ชายวัยกลางคนสะพายดาบซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มส่งเสียงดังกังวานราวกับเสียงระฆังวัดยามทำวัตรเช้า เขายืนคารวะต่อซูอี้ห่างออกไปไกลหลายสิบจั้ง
“ขอบเขตเปิดทวาร?”
ซูอี้เลิกคิ้ว เพียงแค่ชายตามองก็รู้ระดับการฝึกตนของโจวฉางอี้
โจวฉางอี้ยิ้มน้อย ๆ เป็นการยอมรับแต่โดยดี เขาชี้ไปที่คนอื่น ๆ พลางกล่าวแนะนำ “ห้าท่านนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขามังกรเร้นของข้า ข้าขอแนะนำพวกเขาให้สหายเต๋ารู้จักทีละคน”
“ท่านนี้คือโจวอวิ๋นไห่ เป็นผู้อาวุโสรองของภูเขามังกรเร้น ฝึกตนมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลาหกสิบปีแล้ว มีระดับการฝึกขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบูรณ์แบบ เคยได้รับการถ่ายทอดแห่งบรรพกาล ฝึก ‘วิถีแห่งวายุ’”
โจวอวิ๋นไห่คนนั้นสวมชุดเต๋าสีเหลือง สง่าประดุจเซียน มือถือหยกสมปรารถนาสีเขียวใส
ระหว่างที่โจวฉางอี้พูดแนะนำ คนอื่น ๆ ต่างก็พลอยรับรู้สถานะของกลุ่มมังกรเร้นคนอื่น ๆ ตามไปด้วย
โจวถูหง
ระดับการฝึกขอบเขตไร้เบญจธัญระยะสุดท้าย สวมชุดคลุมยาวสีดำ ผมเคราดำสลับขาว ร่างผอมสูง มือถือดาบยาว ดูเฒ่าชรา ทว่าพลังลมปราณกลับน่ากลัวเป็นที่สุด ดวงตาคมกริบราวกับคมดาบ
โจวซานเจี่ย
ระดับการฝึกขอบเขตไร้เบญจธัญระยะสุดท้าย สวมชุดหลวงจีนสีเรียบ สองมือพนม หน้าตาดุดัน
วิชาที่เขาฝึกคือวิชาที่ถ่ายทอดมาจากสำนักพุทธโบราณ พลังลมปราณมั่นคงดุจภูผา ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับสัตว์ป่ายิ่งใหญ่ ซุกซ่อนพลังอันน่ากลัวไว้ในร่าง
โจวเป่ยหลิน
ระดับการฝึกขอบเขตไร้เบญจธัญระยะกลาง สวมชุดผ้าแพร สวมหมวกขนนก รูปงามสง่า
รอบตัวของคน ๆ นี้มีประกายเพลิงล้อมรอบ เวลาที่ลืมตามองจะ มีประกายสีเงินเฉิดฉายน่าหวาดกลัว
โจวชิงเซวียน
ระดับการฝึกขอบเขตไร้เบญจธัญระยะกลาง สวมชุดสีขาวยาว เท้าเหยียบอากาศราวกับนางฟ้าบนสวรรค์ พลังลมปราณของนางพลันมืดพลันสว่าง เลือนรางราวกับความฝัน
นางเป็นสตรีคนเดียวในกลุ่มหกคนนั้น
ขณะที่โจวฉางอี้แนะนำสถานะของคนเหล่านี้ เก๋อฉางหลิงก็ไม่อาจเก็บกดความกังวลภายในใจไว้ได้อีก แล้วจึงถ่ายทอดเสียงบอกซูอี้ถึงความลับบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มมังกรเร้น
นับแต่มีอาณาจักรต้าโจวจนถึงตอนนี้ ราชวงศ์โจวก็มีกลุ่มมังกรเร้นกลุ่มนี้แล้ว
แตกต่างไปจากผู้ฝึกตนทั่วไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วัตถุสมบัติที่เสาะแสวงหามาได้ในแผ่นดินอาณาจักรต้าโจวแทบใช้ไปกับกลุ่มมังกรเร้นทั้งสิ้น
เหมือนดังวิชาการถ่ายทอด สมบัติล้ำค่า และโอสถวิญญาณที่เสาะแสวงหามาได้จากแปดมหาขุนเขาปีศาจ
อีกทั้ง ในกลุ่มมังกรเร้นยังมีบางคนฝึกตนโดยใช้ประโยชน์จากความเลื่อมใสของคนทั้งหลายอีกด้วย!
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ธาตุวิถีของกลุ่มมังกรเร้นเหนือกว่าบุคคลทั่วไปที่อยู่ขอบเขตเดียวกัน
เมื่อเข้าใจในเรื่องเหล่านี้แล้ว สีหน้าของซูอี้ก็ยังคงสงบราบเรียบดังเดิม ไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
กลุ่มมังกรเร้นอันใดกัน ก็เพียงแค่ตัวตนที่คล้ายกับแมลงดูดเลือดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อวดกำลังทรัพย์ของอาณาจักรต้าโจว ทำลายทรัพยากรแห่งแผ่นดิน จึงทำให้พวกเขามีความสำเร็จอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ก็เท่านั้น
เวลานี้เอง
สถานการณ์กดดัน หัวใจของแต่ละคนต่างก็สั่นสะท้าน
ในกลุ่มมังกรเร้นหกคนนี้ คนหนึ่งอยู่ในขอบเขตเปิดทวาร อีกห้าคนอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ กำลังที่รุนแรงรวมตัวกันอยู่ตรงนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโฉมหน้ากองกำลังอันแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรต้าโจว!
ถึงแม้กลุ่มคนธรรมดาทั่วไปเหล่านั้นจะไม่ทราบถึงความน่ากลัวของกลุ่มมังกรเร้น แต่เมื่อเห็นพวกเขายืนผงาดอยู่กลางอากาศ บนตัวพวกเขา บ้างมีแสงทิพย์เรืองรอง บ้างมีสายฟ้าพิฆาตรายล้อม บ้างปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า บ้างมีพลังดาบน่ากลัว รวมถึงลักษณะท่าทางอันยิ่งใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดิน ก็สามารถรู้ได้ว่าหกคนนี้ไม่ธรรมดาเลยสักคน!
“สหายเต๋าซู จุดมุ่งหมายที่พวกเรามาในครั้งนี้ ง่ายนิดเดียว เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมแก่ผู้ฝึกยุทธ์ในอาณาจักรต้าโจวที่ตายด้วยฝีมือของสหายเต๋าในช่วงเวลาที่ผ่านมา”
โจวฉางอี้เริ่มพูดเข้าประเด็น เขาสะพายดาบยาว แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด เสียงดังก้องทั่วบริเวณ
“ถือโอกาสปล้นยามเกิดไฟไหม้แท้ ๆ เจ้ายังหาเหตุผลเช่นนี้ออกมาได้อีก ช่างลำบากเสียจริง” ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
คน ๆ นี้คิดว่าเขาผ่านการต่อสู้รุนแรงมา ไม่เหลือแรงกำลังอีกแล้ว อยากจะรังแกเช่นใดก็ได้
“ถือโอกาสปล้นยามเกิดไฟไหม้?”
สายตาของโจวฉางอี้ร้อนแรงราวกับมีดวงไฟลุก กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แผ่นดินต้าโจวในตอนนี้ มีใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าเป็นตัวหายนะ? ในฐานะที่พวกข้าเป็นกลุ่มมังกรเร้นแห่งอาณาจักรต้าโจว จะปล่อยให้ตัวหายนะเช่นเจ้าอยู่ทำลายแผ่นดินต่อไปได้เช่นไร?”
กล่าวเสียงดังชัดเจน คุณธรรมเปี่ยมล้น
พวกมู่ซีกับผูอี้แทบจะสบถเสียงหัวเราะออกมา ร้องด่าในใจ พวกคนต่ำช้าเหล่านี้ หากต้องการทำเพื่อสรรพชีวิตในใต้หล้าจริง เหตุใดต้องรอจนป่านนี้ถึงปรากฏตัว?
“หึ ๆ”
ซูอี้คร้านจะพูดอะไรมากไปกว่านี้อีก เขากวาดสายตามองดูทุก ๆ คนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “พวกเจ้าน่ะหรือ?”
“ใช่คู่ต่อสู้หรือไม่ ประมือกันแล้วจึงจะรู้!”
โจวฉางอี้กล่าวเรียบ ๆ
“ซูอี้ ขอเพียงเจ้าก้มหัว ยอมกลับเนื้อกลับตัว พวกเราจะให้โอกาสเจ้าแก้ตัว”
โจวอวิ๋นไห่เอ่ยพูดเสียงเนิบ ๆ มือถือหยกสมปรารถนา ชุดเต๋าสีเหลืองโบกสะบัด แลดูสงบนิ่งมาก
“สามารถให้โอกาสเขาแก้ตัวได้ แต่ต้องจงรักภักดีต่ออาณาจักรต้าโจวของพวกเรา เชื่อฟังคำสั่งของพวกเรา”
โจวถูหงเอ่ยพูดเสียงเย็นยะเยือก ผมเคราสองสี มือถือดาบยาว แววตาคมกริบดุดัน
“ซูอี้ อย่าได้เอาตัวเข้าเสี่ยงเลย!”
โจวซานเจี่ยกล่าวง่าย ๆ ได้ใจความ ผู้ฝึกสำนักพุทธคนนี้หน้าตาแข็งกร้าวดุดัน เลือดลมสงบประดุจเหล็ก ราวกับร่างทองคำหน้าโกรธ น่าเกรงขามยิ่งนัก
“ทุกท่านยินดีจะจับกุมคนชั่วคนนี้พร้อมกับพวกข้าหรือไม่?”
พอโจวเป่ยหลินกวาดตามองไปที่อวิ๋นจงฉี จี้เหอ กับฉือเฟิงหลิวแล้ว เขาก็หัวเราะพลางเอ่ยขึ้นมา
เขาสวมชุดผ้าแพรผูกสายรัดเอว หน้าตาคมเข้ม รอบตัวมีเพลิงไฟรายรอบ เหนือธรรมดา
อวิ๋นจงฉีกับคนอื่น ๆ ต่างก็มองตากัน จิตใจคล้อยตาม
“ฉือผู้นี้ยินดีจะออกแรงช่วยด้วยอีกแรง”
ฉือเฟิงหลิวก้าวออกมาเป็นคนแรก พร้อมกับกล่าวเสียงดุดัน
พลันสถานการณ์เกิดความระส่ำระสาย สีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนไป รู้ได้ว่าการมาของกลุ่มมังกรเร้นเหล่านี้สร้างความปลื้มปีติให้แก่เทพเซียนเดินดินที่คิดเป็นศัตรูกับซูอี้ในตอนแรก
“ขอบอกต่อสหายเต๋าทุกท่านโดยไม่ปิดบัง ซูอี้คนนี้เคยฆ่าผู้สืบทอดสำนักวงเดือนของข้า ในเมื่อวันนี้มีโอกาสอันดีเช่นนี้ อวิ๋นผู้นี้จะดูดายได้เช่นใด?”
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวงเดือนในอาณาจักรต้าเว่ย อวิ๋นจงฉีก็ก้าวออกมาเช่นกัน กล่าวเสียงดังราวกับฟ้าผ่ากึกก้องไปทั่วบริเวณ
จี้เหอก็ก้าวตามออกมาติด ๆ สองมือพนม กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “สรรเสริญพระพุทธแสงอนันต์ วันนี้สามารถร่วมกำจัดภัยหายนะของโลกพร้อมกับทุกท่านได้ อาตมารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก”
ในที่สุดผู้อาวุโสอารามหลานฮั่นวัดซ่างหลินก็แสดงเจตนารมณ์ออกมาเช่นกัน!
เพียงครู่เดียวสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เมฆาวายุเกิดความเปลี่ยนแปลง
คนทั้งหลายที่คอยดูสถานการณ์อยู่ไกล ๆ ไม่มีใครที่ไม่หนาวสะท้าน และต่างก็แสดงสีหน้าสับสน
จนถึงเวลานี้แล้ว ยังมีใครที่มองไม่ออกอีกว่าเทพเซียนเดินดินเหล่านั้นต่างก็ต้องการจะถือโอกาสนี้ฆ่าซูอี้ให้ตายตรงนี้?
เยว่ซือฉานกับเก๋อฉางหลิงขมวดหัวคิ้วแน่น จิตใจเป็นกังวล
ในที่สุดภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้
สาเหตุนั้นง่ายมาก คนเหล่านี้ต่างก็เข้าใจว่าซูอี้เสียแรงกำลังไปมากแล้ว และไม่มีทางหนีอื่นอีก จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะฆ่าซูอี้!
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ซูอี้ยังมีกำลังต่อสู้ ทว่าผู้ที่ต้องเผชิญหน้าด้วยในตอนนี้ต่างก็เป็นผู้ฝึกธาตุวิถีในขอบเขตวิถีต้นกำเนิดทั้งสิ้น
ยังจะสู้เช่นใดได้อีก?
ในเมื่อกลุ่มมังกรเร้นอย่างโจวฉางอี้กล้าที่จะมา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เตรียมไพ่ใบสุดท้ายที่น่ากลัวที่สุดมาด้วย?
เห็นเช่นนี้แล้ว โจวชิงเซวียนในชุดยาวสีขาวทั้งตัว พลังลมปราณครอบคลุมประดุจหมอกก็ส่งเสียงใสเยือกเย็น
“ซูอี้ เห็นแล้วใช่หรือไม่ นี่คือสิ่งที่ต้องเป็นไป เป็นความคาดหวังของทุก ๆ คน ต่างก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวหายนะอย่างเจ้ามีชีวิตอยู่บนโลกได้อีก!”
ฟ้าดินกดดัน ทุกอย่างราวกับหยุดชะงัก
เทพเซียนเดินดินแต่ละคนต่างก็สำแดงอานุภาพในตัว ทำให้ผู้ที่มองดูสถานการณ์อยู่ไกล ๆ รู้สึกหายใจลำบาก ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
“หลานซัว หากว่าซูอี้ไม่อาจรับมือได้จริง ๆ ข้าไม่อาจนิ่งเฉยดูดายได้ แต่ว่า ด้วยความสามารถของข้า มากสุดก็ทำได้เพียงแค่คว้าโอกาสรอดให้ซูอี้เท่านั้น สุดท้ายผลจะเป็นเช่นใด ข้าไม่กล้ารับปาก เจ้าจงจดจำไว้ให้ดี เมื่อเห็นข้าลงมือ เจ้าจะต้องไปจากที่นี่ในทันที”
เวลานี้ อาจารย์อวิ๋นหลางถ่ายทอดเสียงมาให้หลานซัวราวกับตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“อาจารย์…”
หลานซัวนิ่งตะลึง ในใจสั่นสะท้านราวกับมีคลื่นทะเลถาโถม
“สหายเต๋าซู เจ้าตัดสินใจเช่นใด?”
โจวฉางอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าสงบนิ่ง
“ยังมีใครต้องการจะต่อกรกับข้าซูผู้นี้อีก สามารถก้าวออกมาพร้อมกันในตอนนี้ได้”
ซูอี้กวาดสายตามองไปรอบสี่ด้าน น้ำเสียงแผ่กระจายออกไปไกล
คำพูดประโยคเดียว ทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ถึงกับส่งเสียงร้องอุทาน
ไม่มีใครคาดคิดว่า ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากไร้ที่พึ่งเช่นนี้แล้ว ซูอี้กลับยังคงไม่มีความหวาดเกรงแม้แต่น้อย ทั้งยังดูแคลนว่าศัตรูมีจำนวนน้อยเกินไป!
นิ่งเงียบไปนานก็ยังไม่มีใครตอบ ทำให้ซูอี้ถึงกับส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
“ดูท่าแล้ว สหายเต๋าซูคิดจะดื้อรั้นต่อสู้ ไม่ยอมแก้ไขตัวเองใช่หรือไม่?” โจวฉางอี้เลิกคิ้ว
ซูอี้เก็บระฆังทองแดงสีดำกับดาบตัดโศกา จากนั้นบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ กวาดตามองดูโจวฉางอี้กับคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ เผยอรอยยิ้มที่มุมปาก พลางกล่าว
“วันนี้ ข้ากำจัดความคับข้องใจไปแล้ว ความคิดโลดแล่น ไม่มีพันธะผูกพันอีก เดิมเป็นเรื่องดีควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง ในเมื่อทุกท่านต้องการเอาชีวิตมามอบ ข้าซูผู้นี้มีเหตุผลอันใดที่จะปฏิเสธ?”
ชุดยาวสีเขียวเข้มของเขาโบกสะบัด ผมยาวสีดำขลับสยายพลิ้ว ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นแฝงด้วยความดูแคลน
เมื่อชาติที่แล้วเขา ซูเสวียนจวิน เกรียงไกรในแดนดินได้ล้วนอาศัยปราณวิญญาณกับพละกำลังที่ไม่เคยหวาดเกรงต่อสิ่งใด ต่อให้ถูกคนทั้งหลายทรยศ เป็นศัตรูกับคนทั้งโลกก็ไม่เคยสนใจ!
ข้าฟันแหลกในดาบเดียว!
สายตาคนทั้งหลายล้วนจับจ้องอยู่ที่ตัวซูอี้ มีทั้งสายตาตื่นตระหนก คาดไม่ถึง และสงสัยไม่เข้าใจ
ถึงเวลานี้แล้ว อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดซูอี้ผู้ที่เผชิญหน้าต่อศัตรูกลับยังดูอยู่ดีมีความสุขได้อีก?