บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 345 อานุภาพหมัดเดียว
ตอนที่ 345: อานุภาพหมัดเดียว
ตอนที่ 345: อานุภาพหมัดเดียว
ดาบเล่มนี้ใช้พลังร่างกายและพลังธาตุแท้แทบทั้งหมดที่ซูอี้มี
ฟ้าดินราวกับไม่อาจต้านทานไหว อากาศฉีกขาดราวกับผืนผ้าสำหรับวาดภาพ เสียงดาบดังก้องทั่วแผ่นฟ้าและผืนดิน พลังดาบที่เฉิดฉายแทบจะบดทับแผ่นฟ้าบริเวณนี้ ปะทะพลังของกลุ่มมังกรเร้นหกคนนั้น
ครืน!
ฟ้าเขย่าดินสะเทือน ดวงตะวันอับแสง
ด้านหน้าของผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปมีแต่สีขาว ผืนฟ้าและแผ่นดินราวกับถูกผสมผสานรวมกันไร้ขอบเขต พละกำลังอันยิ่งใหญ่แผ่ออกไปสู่สี่ทิศทางรอบแปดด้าน
มองจากไกล ๆ จะเห็นว่าท่ามกลางอากาศบริเวณนั้น ทุกสิ่งถูกทำลายล้างไม่มีเหลือ แสงสว่างเจิดจ้า
ทว่าภายในสายตาของบุคคลอย่างอาจารย์อวิ๋นหลาง พอเห็นดาบนี้ของซูอี้แล้ว ถึงแม้จะมีกำลังแข็งแกร่ง จนสามารถทลายการโจมตีของกลุ่มมังกรเร้นทั้งหกที่รุมเข้ามาได้ ทว่าร่างของเขาก็สั่นสะเทือนจนต้องกระเด็นออกไปเช่นกัน
กระเด็นออกไปไกลสิบกว่าจั้งจึงจะหยุดลงได้!
อาจารย์อวิ๋นหลางหรี่ตาลง
เวลานี้เอง สายตาของคนทั้งหลายจึงเริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้ง พอจะมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างชัดเจน
เห็นสองมือของซูอี้ไพล่หลัง ยืนกลางอากาศ นอกจากมีสีหน้าขาดซีดกว่าปกติแล้ว ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด
ทว่ากลุ่มมังกรเร้นทั้งหกนั้นกลับเผยรอยยิ้มออกมา
พวกเขารู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่า หลังจากฟันดาบเล่มนี้ออกไปแล้ว ซูอี้ก็เริ่มแสดงอาการอ่อนแรงเหนื่อยล้าออกมา สูญเสียธาตุแท้ที่เหลืออยู่ไม่มากไปจนหมด
“แย่แล้ว!”
เยว่ฉานซือ เก๋อฉางหลิง กับพวกของมู่ซีต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไป
พวกเขารู้สึกได้เช่นกันว่า พลังลมปราณของซูอี้เมื่อก่อนหน้านี้แข็งแกร่งถึงเพียงไหน ทว่าพลังลมปราณในตัวเขาเวลานี้ ราวกับถูกนำมาใช้จนหมดแล้ว ถดถอยลงราวกับตกเหว!
“ดี!”
จี้เหอ อวิ๋นจงฉี ฉือเฟิงหลิว กับคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือต่างก็ตื่นเต้นดีใจ และตั้งหน้ารอโอกาส
พวกเขาไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าโอกาสที่แท้จริงมาถึงแล้ว?
“สหายเต๋าซู กำลังการสู้รบของเจ้านั้นร้ายกาจมาก วิถีดาบไร้เทียมทาน สามารถต้านทานการบุกโจมตีร่วมกันของพวกเราทั้งหกได้ ภายใต้แผ่นดินต้าโจว คงจะหาคนที่สองไม่เจออีกแล้ว แต่ตอนนี้…”
โจวฉางอี้ยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าว “เจ้าตอนนี้เสมือนตะเกียงที่ไร้ซึ่งน้ำมัน จะฝืนทนได้อีกนานเพียงใดกัน?”
“มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เจ้าจึงเก็บดาบดุร้ายกับระฆังสีดำนั้นไว้ ที่แท้… เป็นเพราะไม่มีแรงกำลังจะขับเคลื่อนสมบัติล้ำค่าสองชิ้นนี้นี่เอง”
โจวชิงเซวียนเอ่ยพูดเนิบ ๆ ดวงตาฉายแววเวทนาสงสาร
กลุ่มมังกรเร้นคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงความพึงพอใจ สายตาที่มองดูซูอี้เปรียบประดุจกำลังจ้องมองดูคนที่ตายแล้วคนหนึ่ง
ทว่า เพื่อความปลอดภัย พวกเขาจึงไม่รีบร้อนลงมือ เพราะกลัวจะถูกซูอี้ตอบโต้ก่อนตาย
เวลานี้ กระทั่งผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอย่างหลานซัวก็ยังมองเงื่อนงำใด ๆ ไม่ออก
กลุ่มมังกรเร้นทั้งหกร่วมมือกัน ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
แข็งแกร่งยิ่งกว่าซูหงลี่ถูกมารปีศาจครอบงำ พวกเขาแต่ละคนมีสมบัติโบราณอันล้ำค่า ได้รับการถ่ายทอดวิชาโบราณ พื้นฐานและวิถีการฝึกล้วนเรียกได้ว่าสุดยอดในขอบเขตเดียวกัน
หันกลับมามองดูซูอี้ พลังลมปราณที่เหนื่อยอ่อนลงทุกทีในตัวเวลานี้ ไม่ว่าใครก็สามารถมองออก
“เวลาที่หมดแรงกำลัง ต่อให้กำลังการสู้รบของซูอี้จะแข็งแกร่งสักเพียงไหน อย่างไรเสียก็เป็นแค่ขอบเขตปรมาจารย์ เพิ่งผ่านการสู้รบอย่างดุเดือดไป ไหนเลยจะมีกำลังต่อสู้อีก?”
ไม่ว่ามีคนมากมายเท่าใดที่แอบถอนใจ
ทว่าเวลานี้เอง ซูอี้กลับหัวเราะพลางกล่าวอย่างเกินความคาดหมายของคนอื่น ๆ “เพียงแค่ก้อนหินลับมีดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น คิดว่าข้าซูผู้นี้รังแกกันได้ง่าย ๆ จริงหรือ?”
พูดพลาง เขาผ่อนคลายร่างกายเบา ๆ เริ่มเกิดเสียงดังประดุจเสียงฟ้าผ่าออกมาทั่วร่าง จากด้านในถึงด้านนอก
จากนั้น เขายืดขยายตัว
ชุดคลุมยาวสีเขียวพองตัวขึ้นในฉับพลัน ผมดำขลับปลิวสยาย
ภายใต้สายตาหลายคู่จับจ้องดูด้วยความคาดไม่ถึง ก็เห็นร่างสูงโปร่งของซูอี้ซึ่งเดิมทีอ่อนล้าอับเฉาราวกับกิ่งไม้แห้งอาบชโลมด้วยฝนแห่งวสันตฤดู ทันใดเกิดมีพลังเต็มเปี่ยมปะทุระเบิดออกมา
ครืน!
ชั่วขณะนี้เอง ซูอี้ราวกับโผล่ออกจากดักแด้กลายเป็นผีเสื้อ ผิวพรรณ เอ็นกระดูก เลือดเนื้อ ชีพจร จุดทวาร อวัยวะภายในทั่วร่าง…. ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าจากภายในถึงภายนอก
แสงวิถีสีใสเดือดพล่านอยู่ในร่างของเขาราวกับภูเขาถล่มมหาสมุทรถาโถม ชั่วพริบตา ทั้งตัวของเขาราวกับดวงตะวันอันยิ่งใหญ่ เป็นแสงสว่างสาดส่องไปทั่วพิภพ!
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังต้นกำเนิดแห่งฟ้าดินบนท้องฟ้าของนครหลวงอวี้จิงราวกับถูกชักพามาจากสี่ทิศแปดด้าน ไหลรวมเข้าสู่ร่างของซูอี้อย่างบ้าคลั่ง
ครืน!
ผืนดินที่ซูอี้ยืนนั้นแปรเปลี่ยนเป็นมรสุมพายุกำลังต้นกำเนิดทะลุฟ้าทะลุดิน ช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!
“นี่…”
มีคนเบิกตากว้าง ตื่นตระหนกอยู่ตรงนั้นราวกับเห็นเทพสวรรค์
“การบรรลุขอบเขต!”
มีคนถึงกับสูดปาก สีหน้าเปลี่ยนไป
“บรรลุวิถีการฝึกตนของตนเองท่ามกลางการต่อสู้เช่นนั้นหรือ? ไม่น่าเชื่อเลย!”
อาจารย์อวิ๋นหลางซึ่งเดิมทีรู้สึกเป็นกังวลเตรียมตัวพร้อมจะเข้าไปช่วยถึงกับตาสว่างลุกวาว อดตื่นตะลึงขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
กระทั่งเขาก็ยังคาดไม่ถึงว่า ภายใต้สถานการณ์ที่อับจนหมดหนทางเช่นนี้ ซูอี้กลับสามารถบรรลุขอบเขต ก้าวสู่ขอบเขตแห่งบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์!
เมื่อมองเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้ว โจวฉางอี้กับคนอื่น ๆ อีกห้าคนในกลุ่มมังกรเร้นต่างก็สีหน้าเปลี่ยน แสดงสีหน้าหวาดกลัวตื่นตระหนกขึ้นมาราวกับเห็นผี
“ให้ตายสิ!”
“เมื่อสักครู่คน ๆ นี้ให้พวกเราเป็นหินลับมีดเพื่อบรรลุขอบเขต!”
“เร็ว ถือโอกาสตอนที่เขาเพิ่งบรรลุ ขอบเขตยังไม่นิ่ง ฆ่าเขาเสีย!”
โจวฉางอี้ร้องตะคอก สายตาพิฆาตผุดขึ้นมา ไม่มีท่าทีผ่อนคลายเหมือนเมื่อสักครู่อีก
“ได้ บุกพร้อมกัน!”
คนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้า
ครืน!
โจวฉางอี้บุกก่อนเป็นคนแรก ควงดาบสายฟ้าอินทนิล ขับเคลื่อนการฝึกตนทั้งหมดที่มี แสดงท่าสุดยอดสุดท้ายออกมาโดยไม่ลังเล
เขาต้องแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ไม่กล้าหมกเม็ดอีก เพราะหากปล่อยให้ซูอี้ก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อย่างมั่นคงแล้ว ความสามารถของซูอี้จะต้องน่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อสักครู่เป็นแน่!
“ฆ่า!”
กลุ่มมังกรเร้นคนอื่น ๆ อีกห้าคนก็คิดในแบบเดียวกัน และต่างก็ยกเอาท่าไม้ตายของตัวเองออกมา
กลุ่มมังกรเร้นผู้ซึ่งมีเคล็ดลับโบราณกับสมบัติล้ำค่าโบราณลงมือพร้อมกัน ภาพเหตุการณ์นั้นจะน่าตกตะลึงเพียงใด?
ขณะนี้เอง…
ครืน! ครืน!
ระหว่างฟ้าดิน พลังดาบแข็งแกร่ง คมมีดเป็นประกาย ตราประทับส่งเสียงกึกก้อง อัสนีวายุโหมกระหน่ำ…
เคล็ดลับและสมบัติล้ำค่าอันยิ่งใหญ่แต่ละอย่างแผ่กระจายเต็มท้องฟ้าประดุจน้ำป่าท่วมเขื่อนแตก พลังทำลายล้างรุนแรงจนแผ่นฟ้าและผืนดินบริเวณนั้นแตกร้าว
แทบจะขณะเดียวกัน จี้เหอหยิบบาตรสีแดงออกมา บาตรขยายใหญ่กลางอากาศ รุ้งทิพย์เฉิดฉายบาดตาไหลออกมาจากตัวบาตร
สายตาของอวิ๋นจงฉีประดุจสายฟ้าแลบ ร้องคำรามขึ้นมาทีหนึ่ง ผลักดันรอยวิถีในมือ ราวกับเทพเซียนในบรรพกาล บดขยี้ลงมากลางอากาศ
ฉือเฟิงหลิวสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง หยิบดาบบินสีเงินออกมา แข็งแกร่งประดุจฟ้าผ่า
เซียนฮัวซงสะบัดแขนเสื้อ มังกรเพลิงอัคคีตัวยาวหลายตัวพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นค่ายกลมังกรไฟอันดุเดือด
ในชั่วขณะนี้ ฉางกั้วเค่อโกรธแค้นจนตาแทบถลน หัวใจราวกับถูกมีดเฉือน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าอาจารย์จะเข้าไปร่วมกับเทพเซียนเดินดินคนอื่น ๆ
ชิงจินก็คาดไม่ถึงเช่นกัน นิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น
และในชั่วขณะนี้เอง ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือ ดวงตาลุ่มลึกเปลี่ยนไป มีแต่ความราบเรียบ ไม่มีความรู้สึกอันใดอีก
ฆ่าสุนัขเฒ่าเหล่านี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ดาบอีกแล้ว
โครม!
เขาปล่อยหมัดออกไป
พลังที่แปรสภาพอยู่ในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้ก่อตัวขึ้นในกายและเติมเต็มเข้าไปในหมัดหมัดนี้!
เมื่อปล่อยหมัดขึ้นฟ้า แผ่นดินแผ่นฟ้าสั่นสะเทือน กำลังแห่งฟ้าดินไร้คู่ต่อสู้ราวกับรวมตัวอยู่ในกำลังหมัดสีใสที่ทุกคนต้องสยบ
มองออกไปไกล ๆ พลังแห่งหมัดเดียวราวกับสามารถแบ่งแยกฟ้าดินให้ถล่มทลายได้!
หากต้องให้ตั้งชื่อ หมัด ๆ นี้สามารถเรียกได้ว่า ‘หมัดวิถี’
เพราะสิ่งที่เติมเต็มนั้นคือลมปราณแรกกำเนิดซึ่งเกินกว่าขอบเขตที่อยู่ไปตั้งนานแล้ว อยู่ในอันดับ ‘ขั้นวิถี’!
โครม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน
ก็เห็นหมัด ๆ นี้ของซูอี้ราวกับพุ่งทะลวงพายุหมุนและเมฆา บดขยี้ชั้นอากาศ พังทลายการจู่โจมที่ครอบคลุมลงมาจากสี่ทิศแปดทิศทาง!
ราวกับไร้ซึ่งอุปสรรคขวากหนาม!
กลุ่มมังกรเร้นทั้งหกและพวกของจี้เหอต่างก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนก ยากนักจะเชื่อออกมา
คงเป็นเพราะคาดไม่ถึงว่ากำลังเพียงหมัดเดียวของซูอี้ผู้ที่เพิ่งบรรลุขอบเขตจะแข็งแกร่งได้จนถึงขั้นนี้!
ผู้ชมการสู้รบที่อยู่ห่างไกลออกไปต่างก็ตื่นตระหนกมากเช่นกัน จนถึงกับอ้าปากค้าง
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้รวดเร็วเกินไป
ซูอี้เมื่อก่อนหน้านี้ยังมีท่าทางราวกับตะเกียงไร้ซึ่งน้ำมัน อ่อนแอเสียเหลือเกิน ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น เขาก็ทะลุขอบเขตปรมาจารย์ ก้าวกระโดดสู่ขอบเขตปฐมสวรรค์!
อานุภาพแห่งหมัด ๆ เดียวนี้ราวกับการโจมตีของเทพสวรรค์!
“ทุกท่าน หากไม่ลงมือพร้อมกัน เกรงว่าวันนี้มันผู้นี้จะต้องพลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบแน่!”
โจวฉางอี้กัดฟันพูด สีหน้าคร่ำเคร่งน่ากลัว
“ฆ่า!”
ราวกับรู้ใจ ในช่วงเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มมังกรเร้น หรือว่าจี้เหอกับพวกของอวิ๋นจงฉีล้วนลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน
“เพียงแค่ตั๊กแตนขวางรถเท่านั้น”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
เขาก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์แล้ว ไม่มีทางยอมเสียเวลาอีก
นับตั้งแต่ชั่วขณะนี้เป็นต้นไป เขาจะลงมืออย่างเต็มที่เช่นกัน!!
โครม!
พลังแห่งปราณแรกกำเนิดไหลเวียนอยู่ในร่างสูงโปร่งของเขา ส่องสว่างไม่อาจแตะต้องได้ เต็มไปด้วยแสงวิถี
ซูอี้ผู้ลงมืออย่างเต็มที่จะมีความน่ากลัวเพียงใด?
คนทั้งหลายจะได้เห็นในตอนนี้
โครม!
กลางอากาศ ปรากฏเสียงระเบิดอย่างรุนแรง
ช่วงเวลาดีดครึ่งนิ้ว ซูอี้ก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าโจวซานเจี่ยผู้ที่อยู่ใกล้กับเขาที่สุด
ถึงแม้จะด้วยระดับการฝึกตนอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานของโจวซานเจี่ย อีกฝ่ายก็ทำได้เพียงแค่ชูหมัดขึ้นแสดงเคล็ดวิชาป้องกันร่างกายซึ่งเป็นวิชาฝ่ายพุทธวิชาหนึ่งเท่านั้น
เห็นแต่เพียงเกราะครอบแสงสีทองซึ่งคล้ายกับระฆังคว่ำสีทองปกป้องอยู่รอบตัวโจวซานเจี่ย เสียงบทสวดภาษาสันสกฤตซึ่งคล้ายกับเสียงคำรามของมังกรกับเสือดังมาจากเกราะครอบแสงสีทอง
เพียงชั่วพริบตา ราวกับมีองค์อรหันต์ขี่เสือดุ มังกรสีทองวนเวียนรอบตัว คอยปกป้องอยู่ในเกราะครอบแสงสีทองนั้น
เกราะระฆังทองคำ!
นี่คือวิชาถ่ายทอดวิชาหนึ่งของฝ่ายพุทธโบราณ มีกำลังการป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งนัก
ทว่าเมื่อโดนหมัดของซูอี้ซัด…
ปัง!!
ได้ยินแต่เสียงระเบิดดังจนแทบหูหนวก
เกราะระฆังทองคำอันลึกล้ำเกินใครกลับแตกสลายไปอย่างง่ายดายราวกับกระจก เพียงถูกซูอี้ปล่อยหมัดซัดไปเพียงหมัดเดียวก็แตก
ครู่ถัดมา เสียงดังราวกับเสียงกระจกแตกร้าวก็ดังขึ้นติด ๆ กัน ลูกประคำ จีวร ดาบตัดกิเลส ซึ่งเป็นสมบัติป้องกันตัวของโจวซานเจี่ยล้วนต้านทานกำลังหมัด ๆ นั้นไม่อยู่ พากันแตกกระจุย
สุดท้าย ตัวของโจวซานเจี่ยราวกับถูกลูกธนูยิงอย่างแรง กระเด็นออกไปไกลร้อยจั้งจึงจะสามารถฝืนยืนได้
สีหน้าของเขาหม่นหมองขาวซีด พลังลมปราณถดถอย เลือดทะลักออกจากริมฝีปากไม่หยุด
ส่วนที่หน้าอก กลับมีรอยหมัดลึกถึงสามนิ้วปรากฏ ที่ตรงนั้นเป็นบริเวณหัวใจของโจวซานเจี่ย!
“ข้า… รับหมัด ๆ นี้ไม่ได้เช่นนั้นหรือ?” โจวซานเจี่ยแสดงสีหน้าสงสัย
จากนั้น ภายใต้สายตาตื่นตระหนกของคนทั้งหลาย ร่างกายบึกบึนซึ่งเรียกได้ว่าเป็นร่างทองคำของโจวซานเจี่ยก็แตกแยกเป็นชิ้นย่อยกลางอากาศ!
ตุบ!
ก้อนเนื้อร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศชิ้นแล้วชิ้นเล่า
ภาพความตายอันน่าสลดเช่นนั้นทำให้คนจำนวนมากมายถึงกับขนลุกซู่ สูดปากด้วยความหวาดกลัว
ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดซึ่งสืบทอดเคล็ดวิชาฝึกร่างสำนักพุทธกลับต้านทานอานุภาพหมัดเพียงหมัดเดียวของซูอี้ไม่ได้!?